สำรวจหุ้น "ปูนใหญ่-ปูนกลาง" หลากอารมณ์กับผลประกอบการชี้ "อนาคตยังแข็งแกร่ง"


ผู้จัดการรายวัน(4 สิงหาคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

หากมองเข้าไปในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง หุ้นที่สร้างความมั่นใจให้กับตลาดอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าสถานการณ์ตลาดจะเป็นอย่างไร หนีไม่พ้น SCC ขวัญใจนักลงทุน เช่นเดียวกับ SCCC เมื่อดูตัวเลขผลประกอบการในปัจจุบันและความมั่นใจในอนาคตพบว่าประสิทธิภาพไม่ต่างไปจากกันมากนัก นักวิเคราะห์ต่างเทใจให้ซื้อลงทุนระยะยาว

หลังจากผลประกอบการไตรมาส 2 ปีนี้ของ "ปูนใหญ่" บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) และ "ปูนกลาง" บมจ.ปูนซิเมนต์นครหลวง (SCCC) อารมณ์ของนักลงทุนในห้องค้าหลักทรัพย์แตกต่างกันออกไปทั้งผิดหวัง และสมหวัง

ผลประกอบการน่าผิดหวัง

แทบไม่น่าเชื่อว่า ความรู้สึกแรกมาจากตัวเลขกำไรจากการดำเนินงาน "ไม่ค่อยประทับใจมากนัก" คำกล่าวสั้นๆ ของสุรชัย ประมวลเจริญ-กิจ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เมื่อมองถึงผลประกอบการของ SCC

ในไตรมาส 2 ปี 2546 กลุ่มปูนใหญ่มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนรายการพิเศษ 3,510 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 3,576 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2% ขณะที่ยอดขายสุทธิอยู่ที่ระดับ 36,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% ส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เพิ่มขึ้น 13% เป็น 10,105 ล้านบาท

เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีนี้ กำไรจากการดำเนินงานก่อนรายการพิเศษลดลง 32% และกำไร สุทธิลดลง 35% เนื่องจากการปรับตัวลดลงของราคา ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีจากภาวะสงครามอิรักสิ้นสุดลง รวมถึงผลกระทบจากโรคซาร์ส แต่บริษัทมี EBITDA เพิ่มขึ้น 14% จากเงินปันผลจากบริษัทร่วม

"กำไรจากการดำเนินงานที่ออกมาเป็นผลมาจากโรคซาร์ส รวมไปถึงความผันผวนของมาร์จิ้น และรายได้ลดลงของธุรกิจปิโตรเคมี" นายชุมพล ณ ลำเลียง กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC อธิบาย

ดังนั้น กล่าวได้ว่าประเด็นสำคัญสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนอยู่ที่ส่วนได้เสียในกำไรของบริษัทร่วม (Equity from Subsidiary) โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเคมีปรับตัวลดลงมากถึง 53% จากไตรมาสแรก และลดลง 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เหลือเพียง 678 ล้านบาท

"ราคาปิโตรเคมีในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว มาจากสงครามตะวันออกสิ้นสุดอย่างกะทันหัน และโรคซาร์สระบาดในจีน ทำให้ส่วนต่างราคาเม็ดพลาสติกแนฟทาและ HDPE ปรับลดลงมาอยู่ระดับ 331 เหรียญสหรัฐต่อตัน จาก 340 เหรียญสหรัฐต่อตันในไตรมาสแรกของปี" จุฑามาศ รุจิวัตร ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายชุมพลคาดว่าไตรมาส 2 จะเป็นจุดต่ำสุดของธุรกิจปิโตรเคมีและพร้อมปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีความเด่นชัดในไตรมาส 3 โดยเฉพาะราคาผลิตภัณฑ์รวมถึงความต้องการจากประเทศจีนกลับมาสดใสอีกครั้ง

สำหรับธุรกิจซีเมนต์ ซึ่งถือว่าเป็นพระเอกของ SCC ตลอดกาล ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับหนึ่ง 43% และมีส่วนสำคัญช่วยให้ผลการดำเนินงานไม่ตกต่ำไปมากกว่านี้ จากความต้องการภายในประเทศเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ถึงแม้จะลดลง 5% ในไตรมาสแรกปีนี้ซึ่งเป็นผลของฤดูกาล

"ราคาขายปูนซีเมนต์ทรงตัวที่ระดับ 1,700-1,750 บาทต่อตัน การส่งออกเพิ่มจากไตรมาสแรก 21% โดยเฉพาะขายให้กับเวียดนามและอเมริกา ทำให้รายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 13%" นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนาสิน กล่าว

สำหรับแนวโน้ม แม้ว่าช่วงนี้เป็นฤดูฝนแต่ตลาดปูนซีเมนต์ยังคงได้แรงกระตุ้นจากความต้อง การที่อยู่อาศัยซึ่งขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงการก่อสร้างโครงการพื้นฐานต่างๆ ส่งผลให้ธุรกิจดังกล่าวของ SCC อยู่ในทิศทางที่ดีต่อไป

ด้านธุรกิจกระดาษ ราคาและมาร์จิ้นใกล้เคียงกับไตรมาสแรก แต่มีรายได้จากการขายในประเทศลดลง 11% กระนั้นก็ตามไตรมาส 3 บริษัทประเมินว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของความต้องการในเอเชีย และเป็นช่วงปกติของฤดูขาย (Peak Season)

ด้านการประมาณการผลประกอบการปีนี้ จุฑามาศเชื่อว่ายอดขายจะอยู่ที่ระดับ 137,780 ล้านบาท กำไรสุทธิ 14,911 ล้านบาท "ปัจจัยอยู่ที่ธุรกิจปิโตรเคมีฟื้นตัว ธุรกิจกระดาษเติบโตจากการเข้าถือหุ้นของไทยเคนเปเปอร์ และผลประกอบการปูนซีเมนต์แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น"

ประทับใจในปูนกลาง

หากมองความเคลื่อนไหวของ SCCC นักลงทุนอาจจะรอคอยความชัดเจนต่อการซื้อกิจการ บมจ.ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว แต่ด้วยผลประกอบการไตรมาส 2 ปีนี้ออกมาสามารถชดเชยบรรยากาศขมุกขมัวได้

"ตัวเลขที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ดีและน่าประทับใจแม้จะไม่ใช่ฤดูขาย เพราะศักยภาพการบริหารงานที่ดี" สุรชัย บอก

ในไตรมาส 2 SCCC มีกำไรสุทธิ 954 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่อยู่ระดับ 749 ล้านบาท แต่ทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี แม้ว่ายอดขายจะลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม EBITDA กลับเพิ่มมาอยู่ที่ 37.6% เนื่องเพราะความสามารถในการลดต้นทุนดอกเบี้ยได้ถึง 86% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีที่ผ่านมา และ 11% จากไตรมาสแรกปีนี้ หลังจากบริษัทจ่ายคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดมูลค่า 5,000 ล้านบาท ในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว

"บริษัทแทบไม่มีหนี้เหลืออยู่ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยต่ำ และมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ" นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เล่า

ด้านราคาขายเฉลี่ยปูนซีเมนต์ไตรมาส 2 ของ SCCC อยู่ที่ระดับ 1,700-1,750 บาทต่อตัน ใกล้เคียงกับไตรมาสแรก ซึ่งโดยปกติในไตรมาส 2 เป็นช่วงนอกฤดูขายเพราะเริ่มเข้าสู่หน้าฝน และมีวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้ราคาขายปรับลดลง แต่ปีนี้ราคากลับปรับตัวสูงขึ้น

แม้ว่าส่วนแบ่งทางการตลาดของ SCCC จะเป็นรอง SCC แต่ด้วยความพยายามสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ ประกอบกับการพัฒนาที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง นับตั้งแต่การเปิดตัวเว็บเซลล์หรือการสั่งซื้อปูนซีเมนต์ด้วยระบบออนไลน์เมื่อ 3 ปีที่แล้ว จนถึงการออกปูนอินทรีทอง นวัตกรรมใหม่แห่งวงการปูนฉาบของเมืองไทยที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบัน

"ปูนกลางวางกลยุทธ์ทางการตลาดโดยเน้นเรื่องราคาซึ่งสามารถทำกำไรให้ได้มากขึ้น จึงมองกลยุทธ์นี้ในเชิงบวก เนื่องจากเป็นสัญญาณบอกว่าบริษัทกำลังพยายามรักษาราคาไว้ในระดับนี้ โดยราคาปูนซีเมนต์ดังกล่าวเป็นราคาสำหรับปูนซีเมนต์ระดับพรีเมียมในประเทศไทย" นักวิเคราะห์ บล.เมอร์ริล ลินช์ ภัทร กล่าว

สำหรับการประเมินผลประกอบการปีนี้ สุรชัย คาดว่ายอดขายจะยังเติบโตในเกณฑ์ดีเท่ากับ 9% ประมาณ 18,409 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 3,505 ล้านบาท "ส่วนแนวโน้มระยะยาวยังขยายตัวต่อเนื่อง จากภาครัฐมีการเร่งใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น รวมถึงการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์"



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.