การกลับมาอีกครั้งของ SSPORT


ผู้จัดการรายวัน(1 สิงหาคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

หลังจากกลุ่มสยามสปอร์ต (SSPORT) ปรับโครงสร้างหนี้ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม และกลับมาดำเนินธุรกิจตามปกติอีกครั้ง ทำให้ตลาดจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าจะสามารถทวง บัลลังก์ความยิ่งใหญ่แห่งธุรกิจสื่อกีฬาได้หรือไม่ แต่ปัจจุบันนักวิเคราะห์หลักทรัพย์มั่นใจศักยภาพการดำเนินงานแนะนำซื้อลงทุน

สำหรับผู้ชื่นชอบกีฬาและไม่พลาดกับผลการแข่งขันอาจจะเคยเป็นลูกค้าหนังสือพิมพ์ สตาร์ซอกเกอร์, สปอร์ตพูล, สยามกีฬารายวัน, มวยสยาม, สแลมดั้ง หรือผู้ที่คอยติดตามความเคลื่อนไหวโลกดนตรีต่างประเทศอาจจะเป็นสมาชิกนิตยสารมิวสิคเอ็กซ์เพรส และสำหรับนักท่องเที่ยวต้องเคยซื้อนิตยสารแค้มปิ้ง

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ บมจ. สยามสปอร์ตซินดิเคท (SSPORT) ที่มีกลุ่มนายระวิ โหลทอง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และถือว่าเป็นเจ้าตลาดแห่งสื่อวงการกีฬาในประเทศไทย อย่างแท้จริงด้วยส่วนแบ่งตลาด 90%

ปีนี้ SSPORT ฉลองครบรอบการดำเนินธุรกิจปีที่ 30 ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาดูเหมือนว่าต้องต่อสู้มาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการยอมรับจากประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือพิมพ์กีฬาซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ และท้าทาย

อย่างไรก็ตามภายใต้การนำของนายระวิ สามารถสร้างอาณาจักร SSPORT ได้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมกับการขยายฐานธุรกิจออกไปอย่างกว้างขวางท่ามกลางการเติบใหญ่ของระบบเศรษฐกิจ ในที่สุดด้วยเม็ดเงินที่จมไปกับการลงทุนขณะที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจเริ่มซวนเซและดำดิ่ง ส่งผลให้บริษัทล้มเหลวจากการดำเนินธุรกิจ

หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจเป็นต้นมา SSPORT ประสบภาวะขาดทุนในช่วงปี 2541-2543 เนื่องเพราะการขยายธุรกิจอย่างหนัก และเม็ดเงินลงทุนส่วนใหญ่มาจากการกู้สถาบันการเงินและไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด

ตัวอย่างการลงทุนขยายธุรกิจที่ไม่ก่อให้เกิดผลกำไร ได้แก่ การลงทุนในวรรคสรโปรโมชั่น ธุรกิจค้าปลีกโดยจัดจำหน่ายสินค้าที่ระลึกลิขสิทธิ์ของสโมสรฟุตบอลต่างประเทศผ่านร้านสตาร์ ซอกเกอร์ที่มีมากถึง 21 สาขา

กระนั้นก็ตาม SSPORT ได้ทำการขายหุ้นในบริษัทวรรคสรโปรโมชั่นทั้งหมดออกไปในปี 2542 เนื่องจากประสบปัญหาสินค้าลอกเลียนแบบซึ่งมีราคาถูกกว่า รวมถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ

อีกทั้งการลดค่าเงินบาทส่งผลให้ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ปิดตัวลง หนังสือพิมพ์ นิตยสารหลายฉบับหายไปจากแผงหนังสือ ขณะที่หนังสือพิมพ์ดำเนินการอยู่ต้องประสบปัญหายอดโฆษณาหดหาย และยอดจำหน่ายลดลง

ปัจจัยดังกล่าว ทำให้ SSPORT เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ พร้อมกับมุ่งเน้นธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญมาอย่างยาวนาน นั่นคือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารกีฬา ผลลัพธ์ คือ ความสำเร็จของการจัดการปัญหา

"ช่วงปี 2541-2543 ขาดทุนอย่างหนัก ทำให้สิ้นปี 2545 มียอดขาดทุนสะสมถึง 159.9 ล้านบาททำให้ไม่สามารถจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้" นักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลักทรัพย์ บล. พัฒนสินเล่า "แต่ในไตรมาสแรกปีนี้พวกเขาได้ นำเงินสำรองตามกฎหมายและส่วนล้ำมูลค่าหุ้น จำนวน 167.5 ล้านบาท มาล้างขาดทุนสะสมออกทั้งจำนวนทำให้มียอดกำไรสะสม 26 ล้านบาท"

สะสางหนี้เก่า เริ่มฟื้นตัว

แม้ว่า SSPORT จะมีกลุ่มเจ้าหนี้มากราย แต่ก็ได้พยายามเจรจากับทุกรายเพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่องจนประสบผลสำเร็จ ทำให้ภาระหนี้ปรับลดลงจากกว่า 1,000 ล้านบาท ในปี 2541 เป็น 637.23 ล้านบาท ในไตรมาสแรกปีนี้

โดยจำนวนหนี้ดังกล่าวเป็นเงินกู้ระยะยาว 282 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะครบกำหนดชำระคืนในปีนี้ และปีถัดไป "พวกเราเชื่อว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานและเงินจากการใช้สิทธิวอร์แรนต์บางส่วนมีมากเพียงพอในการชำระหนี้ได้" นักวิเคราะห์ บล.พัฒนสิน กล่าว

นอกจากทยอยชำระคืนหนี้เดิมแล้วก็ไม่มี การก่อหนี้ใหม่เพิ่ม และในปีที่ผ่านมาบริษัทได้เพิ่มทุนด้วยการวอร์แรนต์จำนวน 10.5 ล้านหน่วยให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม มีอายุ 5 ปี อัตราการใช้สิทธิ 1:1 ที่ราคา 10 บาท

อีกทั้ง ได้ออกวอร์แรนต์อีก 1.05 ล้านหน่วยให้แก่กรรมการและพนักงาน โดยกำหนด อัตราใช้สิทธิ 1:1 ราคาใช้สิทธิ 15 บาท เนื่อง จากราคาหุ้นในปัจจุบันสูงกว่าราคาใช้สิทธิอยู่ประมาณ 43% ประเมินว่าผู้ถือวอร์แรนต์บางส่วนจะทยอยใช้สิทธิ

"ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นปรับตัวสูงขึ้น และหนี้สินสุทธิต่อทุนของบริษัทลดลง"

นอกเหนือจากสถานะทางการเงินเริ่มแข็ง แกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ผลจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทำให้ธุรกิจสิ่งพิมพ์ได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย สังเกตได้จากยอดขายหนังสือและยอดโฆษณาเริ่มทยอยปรับตัวสูงขึ้น

จากผลสำรวจยอดโฆษณาของสมาคมโฆษณาคาดการณ์การใช้จ่ายงบประมาณปี 2546 ว่าจะขยายตัวสูงกว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม ภายในประเทศ (จีดีพี) โดยงบโฆษณาจะเพิ่มขึ้น 15% เป็น 70,393.9 ล้านบาท โดยครึ่งหลังของปีจะมีการเร่งใช้จ่ายงบดังกล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง

"จากการเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินโฆษณาและการฟื้นตัวของการจับจ่ายของผู้บริโภค และการ แข่งขันของสินค้าอุปโภคบริโภคจะเป็นประโยชน์ต่อ SSPORT" สุทธาทิพย์ พีรทรัพย์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้ความเห็น

ปัจจุบัน SSPORT ผลิตหนังสือพิมพ์กีฬารายวัน 5 ฉบับ โดยมียอดจำหน่ายก่อนหักรับคืนประมาณ 400,000 ฉบับต่อวัน อีกทั้งยังผลิตนิตยสารกีฬาและบันเทิงหลายฉบับ และผลิตรายการโทรทัศน์ 3 รายการ

"พวกเขามีรายได้หลัก 61% มาจากการขายหนังสือซึ่งแตกต่างจากค่ายสิ่งพิมพ์อื่นที่มีรายได้หลักจากค่าโฆษณา" สุทธาทิพย์ บอก

จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ SSPORT เริ่มเข้าที่เข้าทางและพร้อมกลับมาอยู่ในเส้นทางที่ตนเองเชี่ยวชาญอีกครั้ง ซึ่งหากพิจารณาในภาพรวมแล้วพบว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสมต่อการทวงบัลลังก์ความยิ่งใหญ่

เนื่องเพราะธุรกิจสิ่งพิมพ์กีฬามีคิกออฟรายวัน ในเครือฐานเศรษฐกิจ และถือเป็นคู่แข่งรายเดียวในขณะนี้ ดังนั้น SSPORT มีความได้เปรียบอย่างยิ่งในแง่ประสบการณ์และความโดดเด่นของเนื้อหา ประกอบกับการเข้ามาคู่แข่งรายใหม่เป็นไปได้ยากทำให้บริษัทโดดเด่นพอสมควร

คาดกำไรโต

การที่ SSPORT มีการปรับโครงสร้างหนี้ ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำให้อัตราหนี้สินสุทธิต่อทุน (D/E Ratio) ลดลงอย่างมากจาก 14.34 เท่าในปี 2543 เป็น 4.16 เท่าในปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะลดลงเหลือ 3.19 เท่าในปีนี้ และ 1.74 เท่าในปีถัดไป

จากเหตุผลดังกล่าว ประกอบกับการหยุดขยายกิจการและการฟื้นตัวธุรกิจสิ่งพิมพ์ทำ ให้ไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมียอดขาย 256 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าเพียงเล็กน้อย โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) 20.9% ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสแรกปีที่ผ่านมา

กระนั้นก็ดี SSPORT ยังโชว์กำไรสุทธิ 19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.33% จากงวดเดียวกันของ ปีก่อนหน้า ที่อยู่ระดับ 12 ล้านบาท

"ถ้าไม่รวมกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ กำไรจะมีจำนวน 16 ล้านบาท และจากการปรับโครงสร้างทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง 37% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีที่แล้ว" สุทธาทิพย์ กล่าว

สำหรับปีนี้เธอประเมินว่ารายได้ของ SSPORT จะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเล็กน้อย 2% เป็น 1,154 ล้านบาท และคาดว่าจะเติบโต 12% ในปีหน้า จากการที่มีการปรับราคาขายหนังสือพิมพ์สปอร์ตพูล 25% และการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการจัดรายการที่เกี่ยวเนื่องกับฟุตบอลยูโร 2004

ด้านนักวิเคราะห์ บล.พัฒนสินคาดว่า ยอดโฆษณาของ SSPORT จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 3.5% เป็น 421.6 ล้านบาทในปีนี้ และจะบันทึกกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้อีกประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่จะมีรายการพิเศษเช่นนี้

เมื่อรวมกับกำไรจากการดำเนินงานที่เพิ่มสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ลดลงทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 71.6 ล้านบาทในปีนี้ และเชื่อว่าปีถัดไปจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็น 136.4 ล้านบาท "เป็นผลมาจากฤดูกาลการแข่งขันฟุตบอลยูโร และกีฬาโอลิมปิค"



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.