หวั่นดัชนีไทยหลุด400 ทิ้งพลังงานถือเงินสด


ผู้จัดการรายวัน(13 ตุลาคม 2551)



กลับสู่หน้าหลัก

ผู้บริหารบลจ.เตือนนักลงทุน เลิกกังวลวิกฤตต่างประเทศ หวั่นฉุดดัชนีหุ้นไทยรูดแตะ 400 จุด คาด 2-3 เดือนจากนี้ยังไม่เห็นแนวโน้มต่างชาติขนเงินกลับมาลงทุน ย้ำราคาหุ้นช่วงนี้ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่แท้จริงและเป็นโอกาสที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมกองทุนรวมในการช้อนเก็บหุ้นดีราคาถูก ระบุก่อนหน้านี้หลายค่ายทยอยปล่อยหุ้นพลังงานที่ดิ่งหนัก เพื่อถือเงินสดเพิ่ม และรอโอกาสเข้าไปเก็บใหม่

นาย ณัฐพัชร์ ลัคนาธรรมพิชิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านวิจัยและบริหารความเสี่ยง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บีที จำกัด กล่าวว่า จากกรณีที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงอย่างหนักจากความกังวลในเรื่องวิกฤตสถาบันการเงินในสหรัฐฯว่า การที่ดัชนีตล่าดหุ้นจะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 400 จุดหรือไม่นั้น หากมองดูเทคนิคแล้วไม่มีแนวรับที่แน่นอน เหตุการที่เกิดขึ้นคล้ายกับวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งเมื่อ ค.ศ. 1997 ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับตัวลดลงจาก 1,400 จุด เหลือเพียง 200 กว่าจุด ขณะที่ปัจจุบันนี้ดัชนีได้ปรับตัวลดลงจาก 800 จุด เหลือเพียง400 กว่าจุด แต่ก็มีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงไปเหลือ 400 จุด เพราะขณะนี้ดัชนีได้ปรับตัวลดลงรุนแรงพอสมควร

“สาเหตุเรื่องนี้ มาจากวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาและกำลังลุกลามไปทั่วโลก ทำให้ต่างชาติต่างเทขายหุ้น เพื่อนำเงินกลับไปยังประเทศของนักลงทุนเพื่อดึงสภาพคล่องของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ได้มีแรงรับจากนักลงทุนภายในประเทศพอสมควร ซึ่งหากมองในระยะสั้นดัชนีไม่น่าที่จะหลุด 450 จุด แต่ทั้งนี้นักลงทุนอาจมองว่าจะนำหุ้นออกมาขายที่Index เท่าไหร่มากกว่า ส่วนจะให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงนั้นคงจะไม่มีให้เห็นไปจนถึงปลายปีนี้”นายณัฐพัชร์ กล่าว

ทั้งนี้ หากนักลงทุนชาวต่างชาติ ทยอยขายหุ้นไปจนหมดแล้ว ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.บีที กล่าวว่า ราคาหุ้นที่มีอยู่นั้นไม่ใช่ราคาพื้นฐานที่แท้จริงของตลาดหุ้น เพราะขณะนี้ราคาหุ้นที่ปรากฏอยู่ในประเทศนั้น ต่ำกว่าราคามาตราฐานที่แท้จริงมาก เพียงแต่ตอนนี้นักลงทุนไม่ได้มองในเรื่องของราคาพื้นฐาน แต่มองหาว่าจุดต่ำสุดของราคาจะหยุดอยู่ที่ใด อย่างไรก็ตามในการลงทุนนักลงทุนจะต้องนำเอาผลประกอบการณ์มาร่วมในการพิจารณา ซึ่งจะพบว่าราคาหุ้นขณะนี้จะต่ำกว่ามูลค่าที่คววรจะเป็น และอีกสาเหตุหนึ่งที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงเนื่องมากจากไม่มีเงินทุนใหม่เข้ามาลงทุน ซึ่งบริษัทคาดว่า ในระยะเวลา 2-3 เดือนข้างหน้าจะไม่มีเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามา เนื่องจากเศรษฐกิจในสหรัฐฯส่งผลกระทบต่อตลาดโลกและก่อปัญหาเป็นลูกโซ่ลามไปยังประเทศต่างๆด้วย

ขณะเดียวกัน หากนักลงทุนต้องการที่จะลงทุนในตลาดตราสารทุน เนื่องมาจากราคาหุ้นทุกตัวมีราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมาก จึงจำเป็นที่นักลงทุนจะต้องอาศัยหลักการซื้อตามปัจจัยพื้นฐาน โดยเมื่อซื้อแล้วจะต้องถืออย่างน้อย 1-2 ปี จึงจะสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้

สำหรับ อุตสาหกรรมกองทุนรวมในขณะนี้ นาย ณัฐพัชร์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวมองว่าเป็นโอกาสอันดี โดยบริษัทได้มีการวางแผนออกกองทุนที่ลงทุนในตราสารทุน แต่ทั้งนี้จะต้องรอเวลาและจังหวะในการออกกองทุน หรือรอให้ทุกอย่างมีความมั่นคงมากกว่านี้ เพราะช่วงนี้บริษัทมองว่าหากมี บริษัทใดออกกองทุนตราสารทุนก่อนโอกาสที่จะขาดทุนก็มีพอสมควร อีกทั้ง การลงทุนในตราสารหนี้ ในขณะนี้อัตราดอกเบี้ยได้มีการปรับตัวลดลงมาพอสมควร

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ให้น้ำหนักการลงทุนที่ต่ำกว่าตลาด พร้อมทั้งมีนโยบายในการถือครองเงินสดเพิ่มขึ้น โดยขณะนี้บริษัทมีสัดส่วนการลงทุนในกองหุ้น 80% ของกองทุน เงินสดอีก 10%ที่พร้อมจะซื้อหน่วยลงทุนเพิ่ม และที่เหลือลงทุนในอื่นๆ ซึ่งเมื่อบริษัทรอเวลาที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาจนถึงจุดต่ำสุดแล้วจะนำเงินสดในพอร์ตการลงทุนเข้าไปลงทุน

"ตอนนี้บริษัทมีหุ้นที่มีพื้นฐานดีอยู่ในพอร์ตการลงทุน หรือเรียกว่าหุ้นกลุ่มชั้นนำของตลาด อาทิ เช่น กลุ่มธนาคาร กลุ่มสื่อสาร ไว้ในพอร์ตการลงทุน โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้ทำการลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากที่บริษัทเล็งเห็นถึงการลดลงของหุ้นกลุ่มนี้ทำให้บริษัทได้เทขายหุ้นในกลุ่มนี้ไปก่อนที่ราคาจะปรับตัวลดลง จึงทำให้บริษัทไม่ได้รับผลกระทบที่ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวลดลงมา"

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมาที่ดัชนีปรับตัวลดลงมาอย่างหนักนั้น แต่บลจ.บีทียืนยันว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลดลงของดัชนีเนื่องจากบริษัทมีหุ้นอยู่ในพอร์ตการลงทุนเป็นจำนวนไม่มากนัก อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาได้มีการซื้อเข้าหรือขายออกหุ้นตามภาวะตลาด ส่วนของกลยุทธ์การลงทุนของบริษัท บริษัทย้ำว่าเมื่อใดที่ผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้ปรับตัวลดลง บริษัทจะนำเม็ดเงินจากตราสารหนีมาลงทุนในหุ้น โดยจะเลือกหุ้นที่ราคา และผลการดำเนินงานมาพิจารณาประกอบการลงทุน

นาย กรวุฒิ ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงไปอยู่ที่ 400 จุด นั้น น่าที่จะมีแนวโน้มเป็นไปได้เพราะ ความกังวลจากนักลงทุนทั่วโลก ในเรื่องของเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยขณะนี้ทีนักลงทุนมีความกังวลเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนไม่ทราบถึงสถานะการณ์ของธนาคารทั่วโลก ถึงแม้ว่าประเทศต่างๆจะมีการออกมาตราการต่างเพื่อช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ได้ทำให้นักลงทุนรู้ถึงระบบภายในของประเทศนั้นเลย

โดยจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนต่างชาติหรือนักลงทุนต่างทยอยขายคืนหน่วยลงทุน เนื่องมาจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในการลงทุน แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับราคาหุ้นที่มีการปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง และจากเหตุการณ์ดังกล่าว อาจจะทำให้นักลงทุนบางประเทศถือโอกาสที่หุ้นร่วงมากเข้ามาซื้อหน่วยลงทุนเพื่อทำกำไรในอนาคต

"ในส่วนของบริษัทยังไม่ได้มีการวางแผนปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนแต่อย่างได โดยขณะนี้กองทุนจะถือครองเงินเงินสดมากกว่าเมื่อก่อน ซึ่งกองทุนได้มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 90% และถือครองเงินสด 10% นอกจากนี้หุ้นกลุ่มหลักๆที่บริษัทถือครองอยู่ได้แกหุ้นกลุ่มพื้นฐานทั่วไป เช่น หุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร ขณะเดียวกันบริษัทมีการปรับการลงทุนจากตราสารทุนไปลงทุนในตราสารหนี้ หรือลดการถือหุ้นไปถือตราสารหนี้แทนแล้วแต่กลยุทธ์ของแต่ละบริษัท โดยบริษัทจะถือเงินสดเพิ่นขึ้นเนื่องจากความไม่แน่นอนของตลาดที่มีความผันผวนสูง"

ทั้งนี้ จากการสอบถามผู้จัดการกองทุนหลายราย พบว่า หุ้นในกลุ่มพลังานได้ถูกลดน้ำหนักการลงทุนลงไปจำนวนมาก เนื่องจากที่ผ่านมาราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้โดยรวมการถือครองหุ้นกลุ่มพลังานงานของกองทุนรวมสารทุนยังอยู่ในระดับสูง โดยบางบริษัทแม้ปรับลดสัดส่วนการถือครองหุ้นกลุ่มดังกล่าวแล้ว แต่ยังมีอยู่ในพอร์ตถึงประมาณร้อยละ50 ส่วนหุ้นที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มสื่อสารเทคโนโลยี และกลุ่มพาณิชย์


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.