อเมริกันชนผู้น่ารังเกียจ...จริงหรือ?

โดย มานิตา เข็มทอง
นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

ดูเหมือนว่าหลังจากเหตุการณ์ 9/11 พฤติกรรมการท่องเที่ยวของชาวอเมริกันจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่ท่องเที่ยวด้วยความสบายอกสบายใจไปในทุกที่ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเพิ่มความระมัดระวังในสถานที่ที่เลือกจะเดินทางไป อีกทั้งประเภทของพาหนะที่ใช้เดินทางก็เปลี่ยนไปด้วย อย่างเช่น บางคนเคยท่องเที่ยวโดยเครื่องบินปีละสองสามครั้ง ก็เปลี่ยนเป็นเดินทางด้วยรถบัสปีละครั้งสองครั้งแทน บางคนก็ถึงขั้นตัดใจ เลิกเดินทางไปเลย...ที่กล่าวถึงนี้เป็นพฤติกรรมภายในประเทศอเมริกาเอง ในขณะที่อเมริกันชนที่รักการท่องเที่ยวระหว่างประเทศก็เริ่มหันมาใส่ใจว่า คนรอบข้างคิดอย่างไรกับเชื้อชาติตัวเองอย่างจริงจังมากขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น บางคนถึงขั้นไม่อยากถือยูเอสพาสปอร์ต บางคนพยายามหาเข็มกลัดสัญชาติอื่น เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย มาติดกระเป๋าหรือสวมเสื้อใส่หมวกสัญชาติอื่น เพื่อพรางตัวเองว่า ฉันไม่ใช่อเมริกันนะ โปรดอย่าเกลียดชังฉันเลย โปรดต้อนรับฉันเยี่ยงเดิมเถิด... ความรู้สึกเหล่านี้เกิดมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรัฐบาลอเมริกันเปิดฉากล้างแค้นบินลาดิน และซัดดัม ฮุสเซน...

นิตยสาร Conde Nast Traveller ได้ทำการสำรวจสมาชิกชาวอเมริกันผู้รักการท่องเที่ยว จำนวน 10,000 คน และใช้ข้อมูลจาก 1,100 คนแรกในการวิเคราะห์เกี่ยวกับความวิตกกังวลในความไม่เป็นมิตรที่พวกเขาจะได้รับในการท่องเที่ยวใน 17 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยในช่วงนี้ ซึ่งผลการสำรวจพบว่า ประเทศไทยอยู่ในลำดับกลางๆ เป็นอันดับที่ 8 ที่มีจำนวน 12% ที่คาดว่าจะพบการต้อนรับที่ไม่เป็นมิตร ในขณะที่เวียดนามอยู่ในลำดับ 7 (17%) ส่วนลำดับที่ 1-3 คือเมืองไคโร ประเทศอียิปต์ (64%), นครปารีส แห่งฝรั่งเศส (51%) และกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย (47%) ตามลำดับ

ทั้งนี้ ช่วงประมาณกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมาผู้สื่อข่าวประจำต่างประเทศของ Conde Nast Traveller รายงานว่า โดยส่วนมากประเทศต่างๆ มีการประท้วงเพื่อแสดงท่าทีที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของรัฐบาลอเมริกัน ด้วยการประท้วงเลิกบริโภคสินค้าอเมริกัน แขวนป้ายสโลแกนต่อต้านสงคราม เป็นต้น แต่ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ ที่แสดงการต่อต้านเจาะจงที่ตัวบุคคลชาวอเมริกันอย่างรุนแรง อาจจะมีบ้างการพูดจาเสียดสีประชดประชัน อย่างเช่นที่ปาร์ตี้ในเม็กซิโก ผู้สื่อข่าวของ Conde Nast Traveller เผชิญหน้ากับชาวฝรั่งเศสผู้อ้างข้อความจากหนังสือพิมพ์ USA TODAY ว่า ชาวฝรั่งเศสเรียกนักท่องเที่ยวสาวชาวอเมริกันว่า "Pigs" ซึ่งผู้สื่อข่าวผู้นั้นไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืด หากเดินเลี่ยงไปอย่างเงียบๆ ประเด็นที่น่าสนใจคือ คนที่วิจารณ์นั้นก็เป็นนักท่องเที่ยวเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ชาวเม็กซิกันแต่อย่างใด... มีเหตุการณ์คล้ายคลึงกันซึ่งเกิดขึ้นกับตัวดิฉันเอง ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา (ช่วงที่อเมริกากับอิรักกำลังรบกันพอดี) มีโอกาสติดตามสามีไปประชุมทางวิชาการที่นีซ ฝรั่งเศส ค่ำวันหนึ่งได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารเวียดนามชื่อ Hot Pot บังเอิญพนักงานเสิร์ฟเป็นคนไทย ด้วยความที่เจอคนชาติเดียวกันก็คุยทักทายกันอย่างดีใจ คนไทยผู้นั้นถามว่า ดิฉันมาจากที่ไหน ดิฉันก็ตอบไปว่ามาจากชิคาโก เขาก็สวนกลับทันควันว่า "อ๋อ ชิคาโกที่อยู่ใกล้กับแบกแดดใช่ไหม" ดิฉันอึ้งไปพักหนึ่ง จึงตอบกลับว่า "ใช่ค่ะ อยู่ใกล้กับแบกแดด มลรัฐที่ 52 ของอเมริกา และใกล้กับมลรัฐที่ 51 คือ อัฟกานิสถานไงคะ" จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องคุย นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่บางครั้งการเสียดสีประชดประชันนั้นเกิดจากนักท่องเที่ยวด้วยกันเอง ซึ่งไม่ได้เกิดจากคนพื้นเมืองในประเทศนั้นๆ เลย และเหตุการณ์เหล่านี้ก็เกิดขึ้นเป็นประจำก่อนการสู้รบระหว่างอเมริกากับอิรักจะเปิดฉากขึ้น... ทั้งนี้ Conde Nast Traveller ยังยืนยันว่า ฝรั่งเศสยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวในใจของนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันอันดับต้นๆ พร้อมการต้อนรับที่อบอุ่น ก็ยังมีอยู่เสมอ... แต่กระนั้นอเมริกันบางคนเองต่างหากที่เกิดความรู้สึกไวด้วยการผสมผสานเรื่องการเมืองที่ผ่านจากสื่อ... เกิดต่อต้านฝรั่งเศสกลับ ด้วยการไม่เดินทางไปเที่ยว ทั้งยังเลิกดื่มไวน์ที่มาจากฝรั่งเศสอีกด้วย...

ส่วนที่ประเทศสเปน ในช่วงเดือนมีนาคมผลการสำรวจพบว่า 90% ของชาวสเปนต่อต้านสงคราม และที่เมืองท่องเที่ยวอย่างเมือง Madrid ปรากฏว่า เป้าหมายของการโกรธเคืองของชาวสเปนอยู่ที่ตัวรัฐบาลของประเทศ เขาเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประธานาธิบดี Jose Maria Aznar ไม่ใช่อเมริกา... เช่นเดียวกับในเม็กซิโก ที่ประชาชนต่างไม่เห็นด้วยอย่างแรงกับรัฐบาลของพวกเขาและรัฐบาลอเมริกัน แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวอเมริกันอย่างดี สิ่งเดียวที่ชาวเม็กซิกันวิตกกังวลคือ การที่ประเทศต้องใช้จ่ายงบประมาณในการเข้าร่วมสงครามกับรัฐบาลอเมริกัน ยิ่งกว่านั้นพวกเขากังวลเกี่ยวกับเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อเรื่องปากท้องของพวกเขา ผู้สื่อข่าว Conde Nast Traveller เล่าว่า ขณะที่เขานั่งแท็กซี่ในเม็กซิโก คนขับหันมาถามเขาว่า ... เป็นความจริงหรือไม่ ที่รัฐบาลอเมริกันบอกชาวอเมริกันว่า "ไม่ให้มาเที่ยวในเม็กซิโก" ไม่มีคำตอบจากนักข่าวผู้นั้น...

ส่วนประเทศในเอเชียหลายประเทศ เช่น เวียดนาม ไม่พบว่ามีรายงานการต่อต้านชาวอเมริกันแต่อย่างใด แม้กระทั่งประเทศมุสลิมอย่างอินโดนีเซีย แม้ว่าก่อนหน้าการสู้รบจะมีรายงานข่าวการต่อต้านที่รุนแรงอยู่เสมอ แต่หลังจากสงครามเกิดขึ้น เหตุการณ์ต่างกลับสงบเงียบ แม้กระทั่งกลุ่มผู้ประท้วงยังไม่หนาแน่นเท่าการประท้วงในปี ค.ศ.2001 ช่วงที่อเมริกาเข้าตะลุยอัฟกานิสถาน อย่างไรก็ดี ในกรุงจาการ์ตามีรายงานว่า ชาวอเมริกัน 3 คนถูกกระชากออกจากรถแท็กซี่ แต่ก็หนีเอาตัวรอดได้อย่างปลอดภัย ส่วนในประเทศไทย Pavillion Resort ที่เกาะสมุยก็ปรากฏชื่ออยู่ในรายงานของ Conde Nast Traveller ว่าได้สร้างความประหลาดใจไม่น้อยที่ออกมาประกาศต่อต้านนักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน ในขณะที่ลูกค้าส่วนใหญ่ของรีสอร์ตเป็นชาวสวิสและชาวเยอรมัน ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้น่ากังวลมากนัก นิตยสาร Conde Nast Traveller ยังช่วยโปรโมตประเทศไทยให้ด้วยว่า ในช่วงนี้เป็นช่วงที่น่าเที่ยวมากที่สุด เพราะราคาที่พักถูกกว่าที่เคยเป็นมาถึง 20-30% ซึ่งในกรณีนี้นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันในประเทศไทยยังถือเป็นเปอร์เซ็นต์น้อย เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวชาวยุโรปหรือเอเชียด้วยกันเอง รัฐบาลไทยควรเก็บไปคิดว่า ทำอย่างไรจะโปรโมตให้คนอเมริกันมาเที่ยวเมืองไทยให้มากขึ้น เชื่อเถอะ ยังมีอเมริกัน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ ที่อยากมาเยือนแผ่นดินไทยอีกมากมาย... รายได้ที่มาจากการท่องเที่ยวในประเทศของเราเคยอยู่ในระดับพันๆ ล้าน...ช่วยกันปลุกให้ตื่นจริงๆ เสียที... ส่วนที่แย่หน่อยเห็นจะเป็นฮ่องกง ที่ได้รับผลกระทบจาก SARS อย่างหนัก หากถามชาวอเมริกันตอนนี้ว่าอยากไปฮ่องกงไหม คำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "Thanks, but no thanks" แม้ว่าราคาตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักจะถูกแบบสุดๆ... นี่แหละพิษของการเมืองและข่าวสารที่ไร้พรมแดน... ทีนี้จะรังเกียจใครดีล่ะ...



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.