เขาเป็นคนทำงานเชิงยุทธศาสตร์ในภาคราชการมากว่า 20 ปี เมื่อก้าวมาสู่ภาคเอกชนครั้งแรก
ย่อมเป็นงานที่มีความหมายกับเขาพอสมควร
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจมาทำงานกับคนที่คุ้นเคยและเข้าใจกันดี ไม่เพียงแนวคิดและอุปนิสัย
เขายังมีความแนบแน่นระดับรากเหง้า แม้ทั้งสองจะกล่าวเหมือนกันว่า เป็นญาติห่างๆ
แทบจะไม่เรียกว่าญาติ แต่พิจารณาจากสาแหรกและบุคลิกแล้ว ทั้งสองใกล้ชิดกันมากทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นอายุยังรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งสองเกิดปี 2496 ปีเดียวกัน
เพียงแต่บัณฑูรเกิดต้นปี ปิยสวัสดิ์เกิดกลางๆ ปี "รู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก"
ปิยสวัสดิ์ยอมรับขณะที่บัณฑูรบอกว่ามารดาของปิยสวัสดิ์เป็นครูสอนภาษาอังกฤษก่อนที่เขาจะไปเรียนเมืองนอก
(มารดาปิยสวัสดิ์ เรียนหนังสือเก่งมาก เรียนจบประวัติศาสตร์จาก Oxford University
รายละเอียดหาอ่านใน www.gotomanager.com) หลังจากนั้นแยกย้ายกันไปคนละทาง
คนหนึ่งไปสหรัฐฯ เรียนที่นั่นเกือบ 10 ปี อีกคนไปเรียนที่อังกฤษนานถึง 12
ปี คนหนึ่งทำงานธุรกิจ อีกคนรับราชการ
ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ลาออกจากราชการตำแหน่งสุดท้ายคือรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ด้วยเหตุที่ความเห็นของเขาไม่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในเรื่องพลังงานบางประการ
"ผมเคลียร์งานจนถึงวันสุดท้าย แล้วมาทำงานที่นี่" เขาเล่าถึงช่วงต่อของอาชีพที่ไม่มีโอกาสได้พัก
ปิยสวัสดิ์เริ่มงานในตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทจัดการกองทุนรวมกสิกรไทย
เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2546 โดยใช้เวลาตัดสินใจเพียงสัปดาห์เดียว หลังจากได้รับการทาบทามจากบัณฑูร
ล่ำซำ "ผมมาเป็นประธานเต็มเวลา เพราะแต่ก่อนไม่เคยมีประธานเต็มเวลา
คนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่งานเต็มเวลา สมัยก่อนนั้นก็จะเป็นคุณบรรยง ล่ำซำ
สมัยนั้นยังไม่มีข้อห้ามเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งในธนาคาร และบริษัทหลักทรัพย์จัดการการลงทุน
ต่อมามีกฎหมายใหม่ออกมา ก็ต้องแยกกัน ประธานคนอื่นๆ ต่อมาไม่ได้เป็นประธานเต็มเวลา"
เขาขยายความถึงบทบาทใหม่ของเขาที่ย่อมไม่ธรรมดา
บางส่วนของบทสนทนาระหว่าง "ผู้จัดการ" กับปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์
ที่สำนักงานบริษัท ในขณะที่การตกแต่งยังไม่เรียบร้อย บทสนทนาข้างล่างนี้
ย่อมจะทำให้ภาพเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์ของธนาคารกสิกรไทยเชิงขยายมากขึ้น
- มีอะไรเป็นพิเศษที่คุณปั้น (บัณฑูร ล่ำซำ) ขอให้มาดูแล
เรื่องแรก อยากให้มาดูภาพรวม เพราะผมเคยดูเรื่องเศรษฐกิจส่วนรวมมาก่อน
คุ้นเคยกับเรื่องนโยบายเศรษฐกิจ เรื่องการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจส่วนรวม เพราะงานด้านการลงทุนนั้น
เกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจส่วนรวมค่อนข้างจะมาก
เรื่องที่ 2 บอกว่าผมเป็นคนที่จบคณิตศาสตร์มา การลงทุนจะต้องดูเรื่องการบริหารความเสี่ยง
เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ ก็น่าจะมาช่วยในเรื่องของความเสี่ยงได้
เรื่องที่ 3 เห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากคือ good governance เรื่องของการดำเนินงานที่โปร่งใส
ไม่ใช้ข้อมูลภายในไปหาผลประโยชน์ส่วนตัว เพราะว่าเป็นกองทุนที่ใช้ระบบการลงทุนที่เอาเงินของคนอื่นไปลงทุน
ของคนที่มาซื้อหน่วยลงทุน จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก จึงขอให้ผมเข้ามาดูแลจุดนี้เป็นพิเศษ
ไม่ได้หมายความว่าที่นี่มีปัญหานะ ที่นี่ดีอยู่แล้วเพียงแต่เพื่อความสบายใจ
เพื่อความมั่นใจของผู้ลงทุนเป็นประเด็นที่ต้องการให้ผมเข้ามาดูแลเป็นพิเศษ
- เท่าที่ศึกษา Portfoilo ของ บลจ.กสิกร ดูเหมือนการบริหารสินทรัพย์ที่มาจากวิกฤติเศรษฐกิจ
มีสัดส่วนมากที่สุด
จะมีกองทุนพิเศษที่ถือ SLIPS ของธนาคารกสิกรไทยอยู่จำนวนหนึ่ง ประมาณ 4
หมื่นล้าน ขณะเดียวกันกองทุนอื่นก็มี SLIPS หรือ CAPS เหมือนกัน อย่างเอเจเอฟ
เขาก็มีของธนาคารกรุงศรีอยุธยา บัวหลวงก็มีของธนาคารกรุงเทพ ซึ่งพอ SLIPS
ครบกำหนดต้นปีหน้า ก็เป็นจุดที่เราจำเป็นที่จะต้องหาสินค้าอื่นทดแทน เพราะว่าคนที่ถือ
SLIPS อยู่ตอนนี้ ก็คงต้องคิดหนักอยู่เหมือนกันว่า จะเอาเงินที่จะได้กลับมาถึง
4 หมื่นล้านบาทนี้ไปทำอะไร และขณะนี้คนที่ถือ SLIPS อยู่ก็ได้ดอกเบี้ยค่อนข้างสูงมาก
เรามีความจำเป็นที่จะต้องหาสินค้าอื่นเข้าไป ที่จะดึงเงินจำนวนนี้ เพื่อเก็บรักษาเอาไว้
หรืออาจจะพยายามดึง SLIPS หรือ CAPS ของคนอื่นที่จะหมดอายุใน 1-2 ปีนี้ เข้ามาด้วยก็ได้
- คุณปั้นก็ดูเหมือนจะให้ความสำคัญตรงนี้ เพราะตัวนี้เป็นตัวที่ทอนกำไรของแบงก์แต่ละปีไปมาก
ก็พยายามจะปลด ทางนี้มีส่วนในการให้คำแนะนำอะไรบ้าง
นี่คือสิ่งที่คงจะต้องทำกันมากขึ้น คือคงจะต้องคุยกันมากขึ้น ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
ออกมาที่มีความสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า เพราะว่าลูกค้าในขณะนี้ ก็คงต้องการผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
ลูกค้าจำนวนหนึ่งมีความรู้สึกไม่ค่อยดีกับกองทุนรวม เพราะว่าซื้อไว้ตั้งแต่สมัยตลาดหุ้นราคาดีมาก
แล้วตอนนี้พอราคามันตกลงมา ก็มีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีฝังใจอยู่ ในขณะนี้ดอกเบี้ยต่ำมาก
คนฝากเงินมีจำนวนมากเงินฝากมันทั้งหมด 5 ล้านล้านบาท ในขณะที่การลงทุนในกองทุนรวม
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนส่วนบุคคลรวมทั้งหมดมีเพียง 8 แสนกว่าล้านบาทเท่านั้น
จึงมีโอกาสมาก ที่จะดึงเงินจากเงินฝาก มาลงทุนในกองทุนรวม นี่คือภาพรวมทั่วไป
และก็ในหลายๆ ประเทศ เงินที่มาลงในกองทุนลักษณะนี้ มันมีมากกว่าเงินฝากธนาคาร
ถ้าดูภาพรวมแล้ว โอกาสที่ธุรกิจกองทุนรวมจะเติบโตต่อไปมีมาก ดอกเบี้ยเองก็ต่ำมาก
ผู้ฝากเงินก็ไม่ค่อยได้รับประโยชน์ ธนาคารก็ไม่ค่อยต้องการเงินฝาก เพราะฉะนั้นที่เราคุยกัน
ตกลงกันชัดเจนว่า เราคงจะต้องคุยกันมากขึ้น เพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ร่วมกัน
ที่จะจูงใจให้มีการลงทุนในกองทุนรวมมากขึ้น และเป็นการแบ่งเบาภาระของธนาคารต่างๆ
ด้วย
- กองทุนที่บริหารเงินทุนส่วนบุคคลก็ดูเหมือนจะมีสัดส่วนไม่น้อยของ บลจ.กสิกร
กองทุนส่วนบุคคลก็เป็นตัวที่สำคัญ กองทุนส่วนบุคคลจะมีลูกค้าใหญ่ๆ อยู่
2-3 ราย ที่เอาเงินก้อนใหญ่มาให้เราบริหาร ก็มี กบข.รายใหญ่ที่สุด และก็มีกองทุนประกันสังคม
ที่เหลือก็เป็นธุรกิจ บริษัท มูลนิธิ และอาจจะเป็นบุคคลธรรมดาที่มีเงินมาก
ที่ตั้งเป็นกองทุนส่วนบุคคล
- สัดส่วนก็ไม่น้อย
สัดส่วนไม่น้อย แต่ผมว่ายังน้อยเกินไป ผมว่าควรที่จะพยายามดึงคนที่มีฐานะดีให้เข้ามามากขึ้นยกตัวอย่างง่ายๆ
อันนี้คือสิ่งที่เราได้คุยกับกสิกรแล้ว คือนอกจากเรื่องของผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีการพัฒนาร่วมกัน
แต่เรื่องของการตลาดนั้นเราก็อาศัยกสิกรพอสมควร แต่ในขณะเดียวกันเราก็มีตัวแทนขายอื่นด้วย
ที่เป็นธนาคารต่างชาติ สถาบันการเงินอื่น แต่กสิกรขณะนี้ก็ยังเป็นผู้ขายหน่วยลงทุนมากที่สุด
ก็อาจจำเป็นต้องมีการปรับกลยุทธ์ให้มีความชัดเจนมากขึ้น และเน้นลูกค้าที่มีเงินเยอะให้มากขึ้น
เป็นต้น เพราะอย่างธนาคารกสิกรนี่มีลูกค้าอยู่ 5,000 ราย ที่มีเงินฝากธนาคารเกิน
10 ล้านบาท จุดนี้ก็น่าจะเป็นกลุ่มสำคัญที่สามารถจะดึงเข้ามา โน้มน้าวเข้ามาให้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวม
หรืออาจจะเป็นกองทุนส่วนบุคคลได้
- ตอนนี้เริ่มทำหรือยัง
ตอนนี้ก็เริ่มคุยกันแล้ว และคงต้องเร่งดำเนินการให้มันเร็วขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็วมากขึ้น
- ส่วนกองทุนเปิดทั่วไปก็คงจะเกิดมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาดูเหมือนจะไม่ค่อยมีอะไรใหม่ๆ
ผลิตภัณฑ์ใหม่ก็คงต้องออกมา เพราะว่าลูกค้าเองก็คงอยากเห็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่กำลังเร่งกันอยู่ตอนนี้ก็คือเร่งที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมา
ผลิตภัณฑ์ที่เราอยากจะเห็นก็คือกองทุนประเภทประกันเงินต้น หรือว่าคุ้มครองเงินต้น
เพราะว่าผู้ฝากเงิน หรือคนที่มาลงทุนจำนวนหนึ่งก็เจ็บตัวจากภาวะเศรษฐกิจในปี
2540 กองทุนที่เราคิดอยู่ ที่อยากออกมาคุ้มครองเงินต้น ก็คือรับประกันว่าเวลาที่ครบอายุแล้ว
เงินที่อยู่ในกองทุนมันจะไม่น้อยไปกว่าเมื่อครั้งลงทุนตั้งแต่ตอนแรก เพราะฉะนั้นที่ว่าลงทุนไป
100 บาทแล้วในที่สุดเหลือ 50 บาทนั้นจะไม่มี แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะถ้าหากตลาดหลักทรัพย์ ดัชนีสูงขึ้น ก็มีโอกาสสูงที่มูลค่าของกองทุนจะเพิ่มขึ้นมามากขึ้นด้วยตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์
แต่ถ้าเผื่อสภาพตลาดทั่วไปไม่ดี อย่างน้อยก็ไม่ขาดทุน
อันนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เรากำลังคิดอยู่ในขณะนี้ และขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการหารือกับทางกสิกร
และเมอร์ริล ลินช์ (กสิกรไทยถือหุ้นอยู่ 49%) ที่จะเร่งให้มีกองทุนลักษณะนี้ออกมา
ซึ่งกองทุนนี้ก็จะต้องลงทุนในพันธบัตร ตราสารหนี้ และลงทุนในหุ้น แต่ว่าจะมีกลยุทธ์ในการที่จะซื้อหุ้น
และขายหุ้นที่จะรับประกันว่า อย่างน้อยเวลาที่ครบอายุของกองทุนแล้ว เงินที่เหลืออยู่จะไม่ต่ำไปกว่าเงินต้นที่มีการลงทุนลงไป
- เรียกว่ามีนโยบายในเชิงรุกมากขึ้น จากนี้ไป
ก็ต้องรุกมากขึ้น และรุกอย่างเร็วด้วย เพราะคู่แข่งเขา aggressive มาก เรามามองถึงสภาพทั่วไปเงิน
5 ล้านล้านบาทที่อยู่ในเงินฝาก เทียบกับ 8 แสนล้านบาท ที่อยู่ในกองทุน 8
แสนถือว่าน้อยมาก