มูลนิธิซิเมนต์ไทย พัฒนาสังคมไทย


นิตยสารผู้จัดการ( มิถุนายน 2543)



กลับสู่หน้าหลัก

บ้านทรงไทย 2 ชั้น หลังเล็กๆ นี้อยู่หลังอาคารสำนักงานใหญ่ ของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เป็นที่ทำงานของกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนแต่เป็นผู้แบกภาระที่สำคัญของการสร้างสังคมไทย

คอนเซ็ปต์พื้นฐานของการทำกิจกรรมสังคม เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กรเป็นภารกิจ ที่ต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียวในการพิสูจน์ควมจริงใจ

มูลนิธิซิเมนต์ไทยใช้เวลามาแล้วนานถึง 27 ปี โดยมีรายได้หลักที่สำคัญจากการที่มีหุ้นของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย และบริษัทในเครือประมาณ 1 ล้าน 3 แสนหุ้น ดังนั้นในยุคหุ้นรุ่งเรือง รายได้จากเงินปันก็เลยพุ่งสูงตามไปด้วย ในปี 2538 สูงถึง 44.3 ล้านบาท ทำให้ในปีนั้นเอง มูลนิธิฯ ซึ่งฝังตัวอยู่กับงานทางด้านประชาสัมพันธ์ของบริษัทปูนซิเมนต์ ไทยก็ได้แยกออกมาเป็นหน่วยงานอิสระ เพื่อความคล่องตัวในการทำงาน ในปี 2539 รายได้ก็ยังสูงถึง 36.5 ล้าน ในปี 2540 ลดลงแต่ยังเป็นจำนวนเงิน 18.2 ล้าน การใช้เงินเพื่อสร้างกิจกรรมทางสังคมในช่วงนั้น สูงถึงปีละประมาณ 23-28 ล้านบาท

ในปี 2541 ซึ่งเป็นยุคที่เศรษฐกิจของประเทศประสบกับวิกฤติอย่างหนัก ยอดรายได้ของมูลนิธิเองลดลงเหลือแค่ 4.8 ล้านบาท เมื่อบริษัทปูนซิเมนต์ไทยขาดทุน มูลนิธิฯ ก็ไม่ได้รับเงินปันผลเลย และจำเป็นต้องใช้วิธีการขอบริจาคจากคณะกรรมการบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) แทน ทำให้เงินในการทำกิจกรรมต้องลดลงเหลือเพียงปีละประมาณ 8-10 ล้านบาทเท่านั้น

"เมื่อไม่มีรายได้จากเงินปันผลเราก็คงต้องใช้วิธีขอบริจาคต่อไปจนกว่าภาวะเศรษฐกิจจะดีขึ้น เพราะมูลนิธิก็ยังมีงานที่ต้องทำต่อเนื่องเราหยุดไม่ได้" ธนิษฏ์ชัย นาคะสุวรรณ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิคนปัจจุบัน ยืนยันกับ "ผู้จัดการ"

มูลนิธิซิเมนต์ไทยจัดตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2506 ต่อมาในปี 2535 ได้รับการประกาศเป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศลตามประกาศของกระทรวงการคลัง ธนิษฏ์ชัยได้อธิบายถึงข้อกฎหมาย ที่กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการทำงานขององค์การประเภทนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า 1. ต้องมีรายจ่ายกุศลสาธารณะไม่น้อยกว่า 60% ของรายได้ทั้งสิ้น 3 รอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมา 2. มีรายจ่ายกุศลสาธารณะไม่น้อยกว่า 65% ของรายจ่ายแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี และ 3. มีรายจ่ายกุศลสาธารณะไม่น้อยกว่า 75% ของรายจ่ายทั้งสิ้น 3 รอบระยะเวลาบัญชี ที่ผ่านมา

ด้วยเหตุผลของเงื่อนไขดังกล่าวทำให้มูลนิธิการกุศลที่เกิดขึ้นมากมายในเมืองไทย จึงเป็นเพียงมูลนิธิฯ ตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ ที่ไม่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว แต่ไม่ได้รับการประกาศเป็นองค์การหรือสาธารณกุศลแต่อย่างใด ปัจจุบันมูลนิธิซิเมนต์ไทยได้มีกิจกรรมหลักๆ ถึง 5 สาขาคือ

1. การสนับสนุนการศึกษาเพื่อผู้ด้อยโอกาส จนถึงปัจจุบันนี้มูลนิธิได้สนับสนุนทุนการศึกษา ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงระดับปริญญาเอกจำนวนทั้งสิ้น 2,459 ทุน กระจายอยู่ในสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ โดยไม่มีข้อผูกพันใดๆ ทั้งสิ้น

2. การส่งเสริมพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรครูสายวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีการผลิตสื่อการสอน และได้ร่วมกับภาครัฐและองค์กรเอกชนจัดโครงการค่ายวิทยาศาสตร์เยาวชนช้างเผือกซิเมนต์ไทย ร่วมกับสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยขึ้น และได้ส่งเด็กไปแข่งขันโอลิมปิกวิชาการ เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนเกิดความสนใจการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในปี 2543 นี้ จะเป็นรุ่นที่ 11 จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยบูรพาในเดือนตุลาคม

3. การอนุรักษ์พัฒนาและส่งเสริมด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม

"แนวคิดของเราจะไม่มีการสร้างวัด สร้างโบสถ์ สร้างรั้ว เราจะไม่สนับสนุน แต่เราจะสนับสนุนทางด้านการเผยแพร่หลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา" ธนิษฏ์ชัยกล่าวยืนยันถึงแนวทางนโยบายหลัก

ขณะนี้ทางมูลนิธิได้จัดพิมพ์หนังสือที่สำคัญๆ เพื่อไว้เป็นหลักฐานในการอ้างอิงทางศาสนา ศิลปวัฒนธรรมของชาติที่น่าสนใจหลายเล่ม เช่น หนังสือการบริหาร และการจัดการวัดในยุคโลกาภิวัตน์ หนังสือวัดหลวงสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งได้รวบรวมรายชื่อประวัติ ความสำคัญ และรายละเอียดของวัดหลวงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หนังสือหุ่นวังหน้า หรือหุ่นกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ซึ่งก่อนหน้านี้หุ่นเหล่านี้มีสภาพที่ชำรุดฉีกขาดเพราะมีอายุมากกว่า 100 ปี กรมศิลปากรจึงได้มอบให้อาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต ดำเนินการจัดการซ่อมแซมหุ่นที่ชำรุด และหมดสภาพ โดยมีเครือซิเมนต์ไทยให้ความสนับสนุนในเรื่องค่าใช้จ่าย และทางมูลนิธิซิเมนต์ไทยก็ได้สนับสนุนให้มีการจัดพิมพ์หนังสือบันทึกการซ่อมหุ่น และประวัติของหุ่นวังหน้า

หนังสืออีกเล่มหนึ่งที่อยู่ในระหว่างการจัดทำ และน่าสนใจเป็นอย่างมากก็คือ หนังสือ "วัฒนธรรมพัฒนาการทางประวัติศาสตร์เอกลักษณ์และภูมิปัญญา" ของจังหวัดต่างๆ 76 จังหวัด ซึ่งได้รับความร่วมมือจากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกรมศิลปากร โดยระดมทั้งผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ และปราชญ์ท้องถิ่น เพื่อค้นคว้าความถูกต้องด้านข้อมูลทั้งในอดีตและปัจจุบัน

4. กิจกรรมทางด้านส่งเสริมด้านการแพทย์และสาธารณสุข เช่น มีโครงการคัดเลือกเยาวชนจากชุมชนเข้ารับการศึกษา แล้วจะต้องกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในท้องถิ่นของตนเอง มีการสนับสนุนให้มีรถตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ และมีการจัดส่งเสริมให้มีการประกวดสาธารณสุขชุมชนต่างๆ ด้วย

5. กิจกรรมเพื่อสังคม โดยให้ความสำคัญต่อผู้ด้อยโอกาสในสังคมเป็นประการแรก เช่น การพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กที่ไร้ที่อยู่อาศัย มีโครงการปลูกจิตสำนึกให้กับครอบครัว ได้มีการใช้สื่อประเภทละครจัดแสดงในชุมชน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ และปฏิเสธคำชักชวนของผู้หลอกลวง

"ผมหวังว่าวันหนึ่ง เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น มูลนิธิได้เงินปันผลมากขึ้นกิจกรรมต่างๆ ที่ดี และมีประโยชน์ ก็จะเกิดขึ้นมาเพิ่มขึ้นเช่นกัน" ธนิษฏ์ชัยกล่าวถึงความหวังทิ้งท้ายไว้กับ "ผู้จัดการ" เขาเป็นบุคลากรเก่าแก่ของปูนซิเมนต์ไทย ที่ทำงานมานานถึง 25 ปี แม้ภาระของธนิษฏ์ชัยใกล้จะสิ้นสุดลง แต่บทบาทของมูลนิธิก็คงได้รับการสานต่ออย่างต่อเนื่องยาวนานต่อไป ตามอุดมการณ์ที่แน่วแน่ของผู้บริหารบริษัทปูนซิเมนต์แน่นอน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.