Mouton Rothschild ไวน์ดังจาก Bordeaux เจอหางเลขสงครามอิรัก
เมื่อคนอเมริกันพากันเมิน เหตุไม่พอใจฝรั่งเศสค้านสงคราม
การเป็นประธานในงานเปิดตัวไวน์ ชั้นดีที่คลาคล่ำไปด้วยแขกผู้มีเกียรติถึง
300 คน และจัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ Guggenheim ในนิวยอร์ก เมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่แล้ว
ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์สุดแสนประทับใจครั้งหนึ่งในชีวิตของการเป็นเจ้าของบริษัทผลิตไวน์
และนั่งอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของบริษัทมา 15 ปีของ Baroness Philippine de
Rothschild เลยทีเดียว ในงานเปิดตัวไวน์ชั้นเยี่ยม Chateau Mouton Rothschild
ปี 2000 นี้ บรรดาผู้มีชื่อเสียงในวงสังคมชั้นสูง นักธุรกิจ และนักสะสมไวน์
ต่างเต็มใจควักกระเป๋าไม่ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์ เพื่อให้ได้เข้าร่วมงานดังกล่าว
บรรดาแขกคนสำคัญเหล่านี้รวมไปถึงอดีตนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส Alain Juppe และภรรยาม่ายของอดีตนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส
อีกคนหนึ่งคือ Madame Georges Pompidou
เป้าความสนใจของงาน แน่นอนอยู่ที่ไวน์ปี 2000 ดังกล่าว ซึ่งได้รับการยกย่องเทียบเคียงกับไวน์ปี
1982 อันโด่งดังภายในเวลาอันรวดเร็ว ในคืนนั้น ไวน์ปี 2000 ที่บรรจุในขวดขนาดใหญ่พิเศษที่เรียกว่า
jeroboam สามารถทำเงินได้ถึง 40,000 ดอลลาร์ ในการประมูลเพื่อการกุศล ซึ่งบรรดาผู้มีเกียรติต่างแข่งกันเสนอราคาอย่างกระตือรือร้น
ไม่แพ้บรรดานักสะสมไวน์ที่แย่งกันเป็น เจ้าของไวน์ดังกล่าวในตลาดซื้อขายล่วงหน้า
อันส่งผลดันยอดรายได้ของบริษัท Baron Philippe de Rothschild (BPDR) บริษัทผลิตไวน์ของ
Baroness de Rothschild ซึ่งได้ชื่อตามบิดาของเธอ ให้พุ่งทะยานถึงราว 20%
สู่ระดับ 210 ล้านดอลลาร์เมื่อปีกลาย อันเป็นระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ความบาดหมางระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับฝรั่งเศสเกี่ยวกับสงครามอิรักในปีนี้
อันเป็นเหตุให้คนอเมริกันเกิดความรู้สึกต่อต้านฝรั่งเศส ส่งผลให้ยอดขายไวน์ของ
BPDR จนถึงเดือนพฤษภาคมปีนี้ ถึงกับทรุดลงถึง 30% ใช่แต่เท่านั้น ความไม่ใคร่นิยมในไวน์
ปี 2001 ส่งผลให้ราคาไวน์ Mouton ตกลงอีก 15% สภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำในสหรัฐฯ
ยังกดราคาไวน์ปี 2002 ให้ตกต่ำลงไปอีก 20% เหลือเพียงขวดละ 120 ดอลลาร์เท่านั้นในตลาดซื้อขายล่วงหน้า
ราคาไวน์ ปี 2002 ยังคงอ่อนตัวเนื่องจาก Robert M. Parker นักวิจารณ์ไวน์ผู้ชื่นชอบในไวน์จาก
Bordeaux ได้ชะลอการให้คำวิจารณ์ของเขาต่อไวน์ปี 2002 ออกไปหลังงาน VinExpe
ในเดือนมิถุนายนผ่านพ้นไป ทั้งนี้งาน VinExpo เป็นงานแสดงไวน์ครั้งใหญ่ และราคาของไวน์จาก
Bordeaux จะเป็นเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับงานนี้
แม้สถานการณ์ของไวน์ดังจากฝรั่งเศสในตลาดอเมริกันดูออกจะมืดมนในปีนี้ แต่ยอดขายที่ตกต่ำนี้ความจริงแล้วอาจเป็นเพียงอาการสะดุดชั่วคราวเท่านั้น
หลังจากที่ BPDR ทำมาค้าขึ้นในสหรัฐฯ ติดต่อกันมาหลายปีอย่างน่าทึ่ง การมีไวน์ดีๆ
ออกมาอย่างไม่ขาดสายบวกกับเศรษฐกิจที่เฟื่องฟูในช่วงก่อนหน้านี้ ช่วยส่งให้ราคาไวน์
Bordeaux ระดับพรีเมียม (premium Bordeaux price, first growth price) พุ่งขึ้นสูงลิบลิ่ว
ทั้งนี้ตัวเลขจาก Conseil Interprofessionel du Vin de Bordeaux ระบุชัดเจนว่า
ราคาไวน์ระดับ first growth พุ่งขึ้นเกือบ 350% ในช่วงเวลา 10 ปีจนกระทั่งถึงไวน์ปี
2000 (ในขณะที่ระดับราคา ไวน์ regular AOC Bordeaux price ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย)
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รายได้ของ BPDR ทะยานขึ้นไปเกือบ 70% แม้ว่าตัวเลขกำไรสุทธิจะไม่เป็นที่เปิดเผย
แต่ประมาณว่าน่าจะอยู่ที่ 17 ล้านดอลลาร์
ราคาไวน์ระดับเลิศที่พุ่งสูงเสียดฟ้านี้ อาจบดบังความจริงในตลาดไวน์อเมริกันที่ว่า
ขณะนี้ไวน์จากออสเตรเลีย สามารถเอาชนะไวน์จากฝรั่งเศสไปได้แล้ว ในฐานะไวน์นำเข้าที่คนอเมริกันนิยมดื่มมากที่สุดรองจากไวน์ของอิตาลี
(ไวน์ของแคลิฟอร์เนียเป็นเจ้าตลาดในสหรัฐฯ ด้วยส่วนแบ่งตลาด 67%) ซึ่งเป็นความจริงมาตั้งแต่ก่อนที่ฝรั่งเศสจะขัดแย้งกับสหรัฐฯในเรื่องอิรักเสียอีก
Olivier Lebret ผู้บริหารสูงสุดของกิจการในอเมริกาเหนือของ BPDR โต้เรื่อง
ยอดขายที่ตกต่ำว่า เกิดจากการที่ผู้บริหารร้านค้าปลีกบางรายตัดสินใจลดความสำคัญของไวน์ฝรั่งเศสลง
ในช่วงที่สงครามอิรักกำลังดำเนินอยู่ อย่างเช่นการที่ร้านสาขาในฟลอริดาของ
Publix เชนซูเปอร์มาร์เก็ตขนาด 760 ร้าน ได้ยุติการส่งเสริมการขายไวน์จากฝรั่งเศสโดยสิ้นเชิงในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
แม้ว่า Lebret จะไปขอร้องไม่ให้ Publix ทำเช่นนั้นด้วยตนเองก็ตาม (Publix
จำหน่าย Mouton Cadet ไวน์ระดับ low end ของ BPDR เป็นจำนวนมาก)
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน
หลังจากสงครามอิรักสิ้นสุดไปแล้ว ทั้งนี้เป็นความเห็นของ Caravelle Wine
Selections บริษัทนำเข้าไวน์ของสหรัฐฯ ซึ่ง BPDR เป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว
ความได้เปรียบประการสำคัญที่ Mouton มีอยู่เหนือผู้ผลิตไวน์อื่นๆ คือ ฐานลูกค้าอันกว้างขวาง
ผู้นิยมชมชอบ Mouton มีทั้งนักเก็งกำไร ซึ่งซื้อเป็นสัดส่วนถึง 15% ของ Mouton
จำนวน 300,000 ขวดที่ขายในตลาดล่วงหน้า เพราะสามารถนำไปขายต่อได้กำไรงาม
ส่วนนักสะสมก็มีจำนวนถึง 20% ของจำนวนผู้ซื้อ Mouton ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม
ยอดขายของ BPDR ส่วนใหญ่ยังคงมาจาก Mouton Cardet ไวน์ระดับ entry level
ซึ่งมียอดขาย 15 ล้านขวดใน 150 ประเทศ สำหรับในสหรัฐฯ ไวน์ที่มาจาก Bordeaux
ทุกๆ 1 ขวดใน 5 ขวดที่ถูกบริโภคนั้น คือ Mouton Cardet ซึ่งมีราคา 8 ดอลลาร์
BPDR เชื่อมั่นว่ายอดขายที่หายไปในช่วงไม่กี่เดือนก่อนจะต้องกลับคืนมาอย่างแน่นอน
ความเชื่อมั่นนี้มีมากพอจนทำให้บริษัทมีแผนจะแนะนำไวน์ขาวตัวใหม่ Mouton
Cardet Reserve ซึ่งผลิตที่แคว้น Graves ในฝรั่งเศส และจะวางขายปลีกในราคา
14 ดอลลาร์สหรัฐ
แม้ว่าอุตสาหกรรมไวน์ฝรั่งเศสมักจะถูกกระแนะกระแหนว่า ตกรถไฟของกระแสโลกาภิวัตน์เมื่อเทียบกับผู้ผลิตไวน์จาก
"โลกใหม่" ก็ตาม แต่ Mouton โชคดีที่มีคนอย่าง Lebret วัย 45 ปีผู้นี้ เขาเดินทางไปทั่วสหรัฐฯ
ตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว ทั้งยังแวะมาเปิดสำนักงานขายประจำภาคพื้นตะวันออกไกล
ในกรุงโตเกียวอีกด้วย นอกจากนี้ Lebret ยังทำให้ BPDR ร่วมมือกับ Robert
Mondavi Corp จากแคลิฟอร์เนีย ในการผลิต Napa's Opus One มาตั้งแต่ปี 1978
แล้ว และเมื่อ 6 ปีก่อนก็ได้ร่วมกันผลิต Almaviva ไวน์ระดับ icon level ในประเทศชิลี
(ซึ่งบริษัทมีหน่วยงานผลิตไวน์ Escudo Rojo ในระดับราคา 14 ดอลลาร์อยู่แล้ว)
ที่จริงแล้ว Lebret ชี้ว่า สิ่งที่น่าวิตกกังวลจริงๆ ในตลาดสหรัฐฯ หาใช่ยอดขายที่ตกต่ำชั่วคราวไม่
แต่เป็นแนวโน้มการมีผู้จัดจำหน่ายไวน์ลดลง แม้แต่ Mouton Rothschild เองก็ยังมีอำนาจต่อรองเพียงน้อยนิดกับผู้จัดจำหน่ายยักษ์ใหญ่
ซึ่งให้ความสำคัญกับธุรกิจจัดจำหน่ายสุรามากกว่าไวน์ เนื่องจากมีผลกำไรดีกว่า
นอกจากนี้ผู้จัดจำหน่ายยังไม่ชอบที่จะขายหลายๆ ยี่ห้อและหลายๆ ขนาดอีกด้วย
กลับไปที่ฝรั่งเศสยามนี้ Baroness de Rothschild ผู้มิใคร่ชอบออกงานสังคม
กำลังแช่มชื่นเบิกบานกับการเปลี่ยนฉลากไวน์ ปี 2000 มาเป็นรูปแกะสีทอง ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของไวน์ดังกล่าว
"จะไม่มีโปสเตอร์สำหรับ Mouton และคุณจะไม่ได้เห็นแม้แต่แผ่นเดียว" Baroness
กล่าว "เพราะสิ่งที่อยู่ข้างในขวดต่างหากที่สำคัญ"
แปลและเรียบเรียงจาก Forbes Global July 7, 2003
โดย >> เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์
linpeishan@excite.com