กองทุนร่วมทุน (Thailand Equity Fund) ซึ่งเป็นกองทุนร่วมทุนระหว่าง รัฐบาลไทยกับกลุ่มลอมบาร์ดจากแดนมะกัน
(Lombard Investments, Inc) ขนาดกองทุน 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.05 หมื่นล้านบาท)
จะลงทุนเพิ่มครึ่งปีหลังอีก 1-2 บริษัท กลุ่มส่งออก และพัฒนาสังหาริมทรัพย์ มูลค่าบริษัทละประมาณ
5 ร้อยล้านบาท หลังซื้อหุ้น บุริมสิทธิเซ็นทรัลพัฒนา ที่เน้นลงทุนโครงการเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เดิม
"ลอมบาร์ด (Lombard) มีนโยบายที่จะเข้าลงทุนระยะยาวในแต่ละบริษัท ซึ่งผลตอบแทน
ที่คาดหวังในการลงทุนแต่ละครั้ง ควรจะสูงกว่า ผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย
แต่ละปี จะลงทุนในบริษัทจำนวน 2-4 บริษัท ซึ่งปีนี้มีอีก 1-2 บริษัทที่จะเข้าลงทุนเพิ่ม
โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาจะคัดเลือกบริษัทใดบ้าง" นายพจน์ ป.วิเทศ กรรมการผู้จัดการ
บริษัท Private Equity (Thailland) จำกัด บริษัทในเครือ Lombard กล่าว
ลงทุนยาว 10 ปีขึ้น
การลงทุนแต่ละบริษัทจะใช้เวลานาน เพราะ นโยบายการลงทุนของบริษัท 5 ปีแรกจะลงทุน
5 ปีหลังจะรับผลประโยชน์จากการลงทุน การลงทุนบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เพราะเป็น
บริษัทน่าสนใจ
รวมถึงเมื่อ Lombard ลงทุนแล้ว จะช่วยเอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทได้ โดยเฉพาะการเงิน
และเรื่องบรรษัทภิบาลที่ดี ที่ผ่านมา กองทุนฯ ลงทุนบริษัท ทรีนีตี้ส์ วัฒนา 130
ล้านบาทช่วงปลายปีก่อน นอกจากนี้ Lombard ลงทุนถือหุ้นบริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่นส์
ประมาณ 6-7% ของทุนจดทะเบียนบริษัท ซึ่งกองทุนฯเห็นว่า เป็นบริษัทมีศักยภาพ สามารถสร้างผลตอบแทน
ให้บริษัทได้อีก
Lombard ซื้อหุ้นบุริมสิทธิ CPN พันล้าน
ทางด้านนายนริศ เชยกลิ่น รองผู้จัดการ และผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บมจ. เซ็นทรัล
พัฒนา กล่าวว่าเงินที่ Lombard ลงทุนซื้อหุ้นบุริมสิทธิของบริษัท 1 พันล้านบาท
เข้าบริษัทเมื่อวันที่ 18 ก.ค.แล้ว ส่วนหนึ่งเงินที่ได้รับครั้งนี้ จะลงทุนในเซ็นทรัล
เวิลด์ หรือเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์เดิม ซึ่งมูลค่าการลงทุนประมาณ 1 หมื่นบาท
"ภายหลังจากขายหุ้นครั้งนี้ ทำให้สัดส่วน ถือหุ้นกลุ่มตระกูลจิราธิวัฒน์ ลดลงจาก
60% จากเดิมที่ถือหุ้นอยู่ที่ 66% การลงทุนโครงการเซ็นทรัลเวิลด์ บริษัทหวังว่า
จะได้รับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 156%" นายนริศกล่าว
ผลดีการที่ Lombard เป็นผู้ถือหุ้นจะส่งกรรมการร่วมบริหาร 1 คน ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหา
จะได้รับผลดีเรื่องภาพลักษณ์และเรื่องธรรมาภิบาลที่ดี รวมถึงบริหารการเงิน เพราะกลุ่มนี้มีเครือข่ายทั่วโลก
ขณะนี้ นำเงินที่ได้ครั้งนี้ลงทุนแล้วมากกว่า 50% หรือประมาณ 500 ล้านบาท เงินทั้งหมดที่ลงทุน
จะนำมาจากการตั้งกองทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มูลค่า 5 พันล้านบาทบริษัทเพิ่มทุนอีก
1 พันล้านบาท และเพิ่มทุนจาก Lombard 1 พันล้านบาท ที่เหลือจะใช้เงินกู้สถาบันการเงิน
และกระแสเงินสดบริษัท