"ม.ล. ชูชาติ กำภู บิดาแห่งชลประทานซีเมนต์"

โดย สุปราณี คงนิรันดรสุข
นิตยสารผู้จัดการ( พฤษภาคม 2535)



กลับสู่หน้าหลัก

ชีวิตคน ๆ หนึ่งเกิดมาแล้วดับสิ้นไปแต่ร่างกาย แต่ชื่อเสียงและคุณความดีของบุคคลนั้นได้เล่าขานสืบต่อมาถึงรุ่นหลัง ม.ล. ชูชาติ กำภู กำเนิดในราชสกุล บิดาชื่อพลตรี พระยาสุรเสนา (ม.ร.ว. ชิต กำภู) จบการศึกษาระดับสูงด้านวิศวกรรมจากมหาวิทยาลัยลอนดอน แต่อุทิศร่างกายและจิตใจแก่งานมวลชน

ในฐานะนักสร้างสรรค์งานราษฎร์และงานหลวงแบบครบวงจร นับตั้งแต่งานสร้างคนและงานสมัยเป็นอธิบดีกรมชลประทานโดยก่อตั้งโรงเรียนช่างชลประทานในปี 2481 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นคณะวิศวกรรมชลประทาน มหาวิทยาลัยเกษตร เพื่อผลิตบุคลากรให้กับโครงการริเริ่มใหม่ ๆ ในอนาคต

ข้าราชการที่จิตสำนึกแห่งผู้ประกอบการผู้นี้ได้สร้างสรรค์งานในรูปของบริษัทหลายต่อหลายโครงการอาทิเช่น บริษัทชลประทานซีเมนต์ ซึ่งเกิดจากโครงการเขื่อนภูมิพล บริษัทปุ๋ยเคมีอันเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการเหมืองลิกไนท์ อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปางซึ่งให้ผลิตผลแอมโมเนียอันเป็นวัตถุดิบทำปุ๋ย โครงการนี้เป็นต้นกำเนิดแนวความคิดของบริษัทปุ๋ยแห่งชาติและบริาทอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลไทย

"ไม่ว่าท่านจะกู้เงินมาสร้างการชลประทาน มาสร้างเขื่อนภูมิพล มาสร้างโรงไฟฟ้า มาสร้างโรงซีเมนต์ มาสร้างโรงปุ๋ย ทุกเรื่องไม่ใช่ได้มาง่าย ๆ งานที่สำเร็จได้ก็เพราะท่านเป็นผู้เสียสละผลประโยชน์และความสุขส่วนตัว โดยมิได้เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย เรื่องการทำงานในวันหยุดวันเสาร์อาทิตย์ หรือทำงานกลางคืน รู้สึกว่าจะเป็นงานประจำของท่าน และข้าราชการกรมชลประทาน บางคนสมถะหน่อยก็ปรารภในเชิงเห็นใจว่า ท่านจะทำไปถึงไหน ทำแล้วก็ไม่เห็นได้อะไรกับตัวเองเลย เงินเดือนก็เต็มขั้นแล้ว ถ้าจะนั่งเฉย ๆ ก็ได้รับเงินบำนาญเท่าเงินเดือน เหรียญตราสายสะพายก็ได้รับจนเกือบครบทุกอย่างแล้ว ยังจะคิดทำอะไรอีก ควรจะพักผ่อนหาความสุขใส่ตัวเองเสียบ้าง" ฉลาด ไวทยานุวัติ อดีตข้าราชการกรมชลประทานที่เป็นลูกหม้อเก่าของบริษัทชลประทานซีเมนต์เล่าให้ฟัง

มูลค่างานที่ ม.ล. ชูชาติ กำภูได้สร้างสำเร็จไว้ในครั้งกระนั้นทั้งด้านชลประทานและบริษัทดังกล่าวคิดเป็นเงินจำนวนมหาศาลประมาณ 6,545 ล้านบาท ที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติเป็นเงินปีละ 2,589 ล้านบาท และมีคนจำนวนนับ 6-8 ล้านคนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการไฟฟ้า ชลประทานและก่อสร้างงานขนาดใหญ่นี้

กล่าวได้ว่า "บิดาแห่งชลประทานซีเมนต์" คือ ม.ล. ชูชาติ กำภู เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดโครงการนี้ ในยุคของจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลังจากที่รัฐบาลได้ตัดสินใจจะสร้างเขื่อนภูมิพลเพื่อเพิ่มกำลังผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำขึ้นอีกจำนวน 560,000 กิโลวัตต์หรือปีละ 2,300 ล้านยูนิต

โดยเหตุที่โครงการสร้างเขื่อนนี้ต้องใช้ปูนซีเมนต์พิเศษที่มีคุณสมบัติเฉพาะการก่อสร้าง และเพื่อให้ต้นทุนการก่อสร้างถูกลง ในเดือนกุมภาพันธ์ 2497 ม.ล. ชูชาติ กำภูก็ดำริและก่อตั้ง "บริษัท ชลประทานซีเมนต์" ได้สำเร็จในเดือนกันยายน 2499 โดยประเดิมทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 60 ล้านบาทและได้มีการกระจายหุ้นให้ข้าราชการกรมชลประทานเป็นผู้ถือหุ้นด้วย

ในขณะนั้นราคาปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ธรรมดาที่บริษัทปูนซีเมนต์ไทยผลิตนั้น ราคาถึงเมตริกตันละ 650 บาท ซึ่งเมื่อรวมค่าขนส่งอีกตันละ 350 บาท ราคาปูนซีเมนต์จะแพงขึ้นเป็นตันละ 1,000 บาท แต่เมื่อชลประทานซีเมนต์ผลิตออกจำหน่ายเพียงราคาตันละ 500 บาท และเมื่อรวมค่าขนส่งจะตกตันละ 600 บาทเท่านั้น และในเวลาต่อมาราคาปูนซีเมนต์ก็ต่ำลง เช่นในปี 2502 ปูนปอร์ตแลนด์ลดเหลือตันละ 520 บาท และปูนผสมเหลือตันละ 440 บาทเท่านั้น

โรงงานปูนซีเมนต์ของบริษัทชลประทานซีเมนต์ ตั้งอยู่ที่ตำบลโพนทอง อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ มีเนื้อที่ 1,025 ไร่ แต่เป็นที่ตั้งโรงงานเพียง 50 ไร่ ส่วนที่เหลือเก็บไว้สำหรับขุดดินขาวมาใช้เป็นวัตถุดิบ

ปูนซีเมนต์ที่บริษัทผลิตในระยะแรกเริ่มใช้ตรา "พญานาค" อันเป็นสัญลักษณ์ประจำของกรมชลประทานเป็นสำคัญ โดยประเภทของปูนซีเมนต์มีอยู่ 4 ชนิด คือ ปูนปอร์ตแลนด์ชนิดธรรมดา ปูนสำหรับตอม่อสะพานหรือเขื่อนกั้นน้ำ ปูนชนิดแข็งตัวเร็วพิเศษสำหรับงานคอนกรีตที่ต้องเทในน้ำ และปูนผสมหินปูนตรางูเห่า สำหรับงานก่อสร้างทั่วไป

การออกปูนซีเมนต์ใหม่ขึ้นมาในตลาดภาคเหนือ ได้ทำให้ราคาปูนซีเมนต์ที่เดิมขายแพงถึงตันละ 1,000 บาท (รวมค่าขนส่งด้วย) ก็ได้มีราคาถูกลงครึ่งหนึ่งคือ ขายเพียงราคาตันละ 500 บาทเท่านั้น เป็นเงินที่สามารถประหยัดต้นทุนได้ถึงปีละ 116 ล้านบาท

ด้วยปัจจัยการตลาดที่เอื้ออำนวย ทำให้ในเวลาช่วงนั้น ปูนซีเมนต์ "ตราพญานาค" ของบริษัทชลประทานซีเมนต์กลายเป็นผู้นำตลาดในภาคเหนือตอนบนทั้งหมด ขณะที่ปูนซีเมนต์ของค่ายบริษัทปูนซีเมนต์ไทยต้องตกเป็นรองเพราะต้นทุนค่าขนส่งสูงกว่าทำใหีราคาขายแพงกว่า ลูกค้าไม่นิยม

ยุคต้นของความเป็นปึกแผ่นของบริษัทชลประทานซีเมนต์ ม.ล. ชูชาติ กำภู ได้ทุ่มเทเวลา ไม่ต่ำกว่า 10 ปีสร้างทรัพยากรบุคคล วางแผนด้านเทคโนโลยีและกำลังเครื่องจักรเครื่องมือ อันเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญมาก

นอกจากนี้ ม.ล. ชูชาติ เป็นผู้มองการณ์ไกล ที่พิจารณาเห็นว่าไม่เฉพาะแต่เพียงปูนซีเมนต์เท่านั้นที่อยู่ในความต้องการ แต่ยังมีวัสดุก่อสร้างอื่นๆ เช่น กระเบื้องและท่อซึ่งเป็นผลผลิตของปูนซีเมนต์และใยหินสำลี (ASBESTOS) ที่จำเป็นต้องผลิตควบคู่กันไปด้วย จึงริเริ่มโครงการทำโรงงานกระเบื้อง มูลค่าประมาณ 7 ล้านบาทเศษขึ้นมาอีกแขนงหนึ่ง

ภายหลังจาการมรณกรรมของ ม.ล. ชูชาติ กำภู ซึ่งเป็นผู้จัดการใหญ่คนแรกของบริษัทชลประทานซีเมนต์ ได้มีการแต่งตั้งให้ ม.ล. ชวนชื่น กำภู น้องชายขึ้นรับตำแหน่งแทนจนกระทั่งถึงยุคการบริหารของสองผู้จัดการใหญ่ คือ นพ. สมภพ สุสังกรกาญจน์ และ ดร. รชฏ กาญจนวณิชย์ บริษัทได้ขยายตัวไปตั้งโรงงานอีกแห่งที่ ชะอำ จ. เพชรบุรี แต่ไม่นานนักศึกปูนเล็กระหว่างกลุ่มธนาคารเอเชียทรัสต์ซึ่งนำโดน วัลลภ ธารวณิชกุล กับ คุณหญิงลลิลทิพย์ ก็ได้ชัยชนะมีอำนาจครอบครองกิจการบริษัทชลประทานซีเมนต์จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.