"ซัมมิท โอโตซีทกรุ้ป" จำเป็นต้องโตต่อไป"

โดย สุปราณี คงนิรันดรสุข
นิตยสารผู้จัดการ( พฤษภาคม 2535)



กลับสู่หน้าหลัก

"ความสำเร็จในการซื้อกิจการสนามกอล์ฟไพน์เฮิร์ท แต่ต้องล้มเหลวในการซื้อกิจการไอทีเอฟหลังจากที่กลุ่มซัมมิท ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของ "สรรเสริญ จุฬางกูร" พี่ใหญ่ของตระกูลพี่น้องสกุล "จุฬางกูร" และ "จึงรุ่งเรืองกิจ" ต้องเจอปัญหานโยบายภาษียานยนต์และชิ้นส่วนเมื่อปีที่แล้วและแรงกดดันที่จะตามมาจากแกตต์ในอนาคต การโตของกลุ่มต่อไปทั้งในและนอกส่วนกิจการที่เกี่ยวเนื่องชิ้นส่วนรถยนต์ จึงเป็นหนทางที่ต้องดำเนินไปเพื่อวางโครงสร้างการเติบโตที่มั่นคงให้กลุ่มต่อไป"

การที่กลุ่ม "ซัมมิทโอโตซีท" เป็นธุรกิจหน้าใหม่ที่โดดเด่นขึ้นมาในยุทธจักรการเงินได้ในคราวประมูลไอทีเอฟนั้น อาจจะเป็นที่งุนงงสำหรับคนที่ไม่รู้จักดีเพราะว่าภาพพจน์ของสรรเสริญ จุฬางกูร ประธานกลุ่มบริษัทนี้เป็นคนประเภท "LOW PROFILE" มาก ๆ อันเป็นคุณสมบัติประการสำคัญของคนในตระกูลนี้ แม้แต่ในฐานะบทบาทอุปนายกสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ก็ตามที

สรรเสริญเป็นเศรษฐีใหม่ที่เริ่มต้นสร้างตัวมาจากอาชีพช่างซ่อมเบาะเมื่อ 28 ปีที่แล้ว ตำนานของการก่อร่างสร้างตัวของชาวจีนโพ้นทะเลแต่ละคนต่างก็มีสีสันของชีวิตที่แตกต่างกันไป ขณะที่เมื่อร่ำรวยแล้วจึงมีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกัน

สรรเสริญในอดีต เขามีชื่อว่า "ฮังตง แซ่จึง" ชาติกำเนิดเป็นชาวจีนแต้จิ๋วที่มณฑลกวางตุ้ง พ่อชื่ออาฮง และแม่ชื่อม้วยเฮียง น้องชายน้องสาวสี่คนคือพัฒนา โกมล สุริยะและอริสดาล้สนโชคดีที่เกิดในแผ่นดินไทย ขณะที่ฮังตงหนีความยากจนจากเมืองจีนมาสร้างตัวที่นี่เมื่อายุได้ 21 ปีแล้ว

"พ่อผมเป็นคนมองการณ์ไกล ท่านเป็นคนชี้ทางให้ผมไปฝึกงานเป็นลูกจ้างซ่อมเบาะรถ เพราะคิดว่ายังหากินกับรถได้อีกนาน เรียกว่ากินไม่หมดชั่วลูกชั่วหลาน" ประธานซัมมิทโอโตซีทย้อนรำลึกถึงคำพูดของพ่อ

จากชีวิตเริ่มต้นลูกจ้างร้านซ่อมเบาะได้สามปี สรรเสริญกับเพื่อนสนิทอีกสองคนก็มองเห็นลู่ทางการทำมาหากิน ทั้งสามจึงร่วมกันตั้งร้านซ่อมเบาะ "สามมิตร" รับจ้างซ่อมเบาะจักรยานยนต์และรถยนต์ ทำอยู่ได้ปีเศษก็แยกย้ายกันไป

ยุคปี 2511 บทบาทสำคัญยุคต้นของสรรเสริญคือเป็นเถ้าแก่วัย 26 ปีของ "ห้างหุ้นส่วนจำกัด สามมิตรชัยกิจ" ที่ถนนทรัพย์ นับว่าเป็นช่วงเริ่มต้นของการสะสมทุน กิจการห้างนี้มีทุนจดทะเบียนหนึ่งแสนบาท ที่ทำการก็อาศัยห้องแถวไม้คูหาเดียว ซึ่งระเกะระกะด้วยวัสดุเย็บซ่อมเบาะเช่นจักรเย็บผ้า ฟองน้ำและกาว มีพัดลมตัวเดียว การทำงานก็มีลักษณะแบบครอบครัวที่ทุกคนต้องช่วยกันบุกงาน โดยมีลูกจ้างแค่ 6 คน

"กลุ่มซัมมิทนี้เกิดจากซอยทรัพย์ด้วยกัน ตั้งแต่ผมยังเด็ก ๆ เห็นอาเจ็กขี่สกู๊ตเตอร์มารับออเดอร์จากเรา เดี๋ยวนี้เขาขยายใหญ่มาก" วัชระ พรรณเชษฐ์แห่งบริษัทเอ็มเอ็มซีสิทธิผลผู้ผลิตรตมิตซูบิชิเล่าภาพอดีตที่ทำการค้าด้วยกันให้ฟัง

ยุคต้น ๆ สรรเสริญมีน้องชายสองคนช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญคือพัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ และโกมล พัฒนาเปลี่ยนจากชื่อสกุลจีน "ฮั้งฮ้อ แซ่จึง" ในปี 2512 ขณะที่โกมลได้เปลี่ยนชื่อสองครั้ง ครั้งแรกเปลี่ยนจากชื่อ "เอี่ยมจุ่ง" เป็น "เสรี" ในปี 2516 และเปลี่ยนอีกครั้งเป็น "โกมล" เพื่อศิริมงคล

"น้อง ๆ ผมทุกคนเย็บเบาะเป็นหมด คุณพ่อผมก็ช่วยด้วย เราทำงานกันหามรุ่มหามค่ำ ช่วงแรกมีลูกจ้างแค่ 6 คนเดี๋ยวนี้กลุ่มเรามีพนักงาน 5,600 กว่าคนแล้ว" สรรเสริญเล่าด้วยความภูมิใจ

สามปีต่อมา ความเติบโตอย่างเงียบ ๆ ของกิจการซ่อมเบาะเริ่มมาถึงจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเนื่องจากผลกระทบของนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรมในปี 2514 บังคับให้โรงงานทุกแห่งใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ (LOCAL CONTENT) ในอัตรา 25% สำหรับรถจักรยานยนต์ และอัตรา 20% สำหรับรถยนต์ที่ประกอบภายในประเทศ

เงื่อนไขของนโยบายเศรษฐฏิจนี้ ได้เปิดโอกาสทองให้กับธุรกิจซ่อมเบาะขนาดย่อมอย่าง "สามมิตรชัยกิจ" พัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็น "บริษัท ซัมมิทโอโตซีท อินดัสตรี จำกัด" ในปี 2515 งานจำนวนมากได้ไหลมาเทมาจนกระทั่งไม่มีการรับซ่อมหรือทำเบาะขายปลีกเช่นแต่ก่อน หากแต่บริษัทใหม่นี้มีฐานะเป็น OEM ที่ทำหน้าที่ผลิตและจัดส่งมอบสินค้าให้กับโรงงานประกอบรถยนต์

"ลูกค้ารายแรกของเราคือ สยามยามาฮ่า เขาว่าจ้างให้เราทำเบาะรถจักรยานยนต์ ในช่วงต้น ๆ ก็ผลิตเบาะรถไม่ค่อยสูง ที่ทางร้านสี่คูหาก็ยังพอกล้อมแกล้มไปได้ แต่ต่อมามีแนวโน้มสูงขึ้น ๆ เราก็เลยขยายไปซื้อที่ดินและสร้างโรงงานที่สาธุประดิษฐ์ซึ่งสภาพเป็นสวน ตอนแรกซื้อได้ 357 ตารางวา ๆ ละพันบาท เดี๋ยวนี้เนื้อที่โรงงาน 14 ไร่และได้ขยายไปที่ใหม่ตรงบางนา-ตราดอีก 50 ไร่ซึ่งซื้อไว้ 5-6 ปีที่แล้ว" สรรเสริญกล่าวถึงการขยายกิจการ

ถึงตอนนี้แล้ว กิจการซัมมิทโอโตซีทก้าวทะยานไปข้างหน้าไม่หยุดยั้ง ทุนของครอบครัวเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นตามภาวะเติบโตของอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนในประเทศศึ่งถูกกระตุ้นโดยนโยบายของรัฐบาล ตั้งแต่ปี 2514 จนถึงปัจจุบันมีการเพิ่มอัตราการใช้ LOCAL CONTENT รถจักรยานยนต์เป็น 70% และรถยนต์นั่งให้ใช้ชิ้นส่วนในประเทศไม่ต่ำกว่า 54%

ปัจจุบันยอดขายของซัมมิทโอโตซีทไม่ต่ำกว่า 1,788 ล้านบาทและได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 30 ล้านบาท รับจ้างผลิตเบาะรถยนต์ แผงกันแดด ผ้าบุหลังคา พรมปูพื้น แผงประตู เบรก ให้กับรถยนต์ทุกแห่งกำลังผลิตเดือนละ 15,000 ชุด โดยแต่ละชุดจะมีชิ้นส่วนย่อย ๆ ประกอบนับได้ 13,000 รายการ

"ในขั้นต้นเทคโนโลยีเรายังไม่มี ก็เริ่มจากเอาชิ้นส่วนต่าง ๆ มาประกอบเป็นชิ้น เราก็ได้แต่เพียงแค่ค่าแรง แล้วหลังจากนั้นเราก็เริ่มเรียนรู้เองว่าชิ้นส่วนไหนที่พอจะทำเองได้" สรรเสริญเล่าให้ถึงยุคบุกเบิกโรงงาน

ซัมมิทโอโตซีทจึงเป็นบริษัทที่พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดนิ่ง แม้ว่าภาพพจน์การผลิตเบาะจะเป็นสินค้าที่ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีสูง แต่ในยุคเริ่มต้นสรรเสริญก้ได้ขอความรู้ด้านเทคนิคทำเบาะและวัสดุตกแต่งรถจากบริษัทญี่ปุ่น NAMBA PRESS WORKS เป็นแห่งแรกในปี 2517

"ช่วงนั้นหลังจากที่เราได้เบาะแล้ว ลูกค้าก็ยังให้เราทำชิ้นส่วนประเภทโครงเบาะเหล็กที่ต้องมาขึ้นรูปปั๊ม เราจึงเริ่มผลิตชิ้นส่วนที่ง่ายก่อน เช่นชิ้นส่วนพวกแบคเก็ตต่าง ๆ ซึ่งซ่อนอยู่ในตัวถังเพื่อเสริมให้แข็งแรง" สรรเสริญกล่าว

ในปี 2517 สรรเสริญได้ตั้งบริษัทใหม่ "ไทยออโต อินดีสทรี" เพื่อทำแม่พิมพ์ชิ้นส่วนและระบบท่อไอเสีย โดยให้พัฒนาน้องชายคนที่สองซึ่งอายุห่างกัน 5 ปีเป็นผู้ดูแล

สรรเสริญเรียนรู้ถึงการก้าวไปข้างหน้าโดยมีโนว์ฮาวจากญี่ปุ่นเป็นหัวหอก ในปีต่อมา เขาก็ได้เซ็นสัญญาด้านเทคนิคกับบริษัท IMASEN ELECTRIC INDUSTRIAL เพื่อสร้างสรรค์มูลค่าเพิ่มขึ้นในเบาะด้วยการเสริมเทคนิคเข้าไป

เมื่อโอกาสทางเศรษฐกิจเปิดเนื่องจากนโยบายรถยนต์ของรัฐบาล สรรเสริญก็ได้ประยุกต์การลงทุนของตนให้สอดคล้องกันในปี 2519 สรรเสริญได้ขยับฐานะบริษัทจากผู้รับจ้างผลิตกลายเป็นผู้ร่วมลงทุนกับ บริษัท เอเชียนฮอนด้ามอเตอร์ ซึ่งผลิตรถจักรยานยนต์มอเตอร์ไซค์ก่อตั้งบริษัท "เอเชียน ออโตพาร์ท"

"ในระยะหลังเราคิดว่าข่ายงานของเราเติบโตมาก ลำพังถ้าเราไปลงทุน 100% การดูแลก็ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะชิ้นส่วนบางอย่างต้องลงทุนสูงมาก ซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีของเขา และอีกอย่างญี่ปุ่นเขาก็อยากจะมาตั้งโรงงานที่นี่ซึ่งเขาก็อยากได้เราเป็นหุ้นส่วน" นี่คือเหตุผลการร่วมลงทุนที่สรรเสริญกล่าวถึง

สรรเสริญยังได้อธิบายถึงลักษณะของบริษัทร่วมทุนที่เขาทำอยู่มีสองลักษณะคือ หนึ่ง-ส่วนที่ผู้บริหารซัมมิทโอโตซีทเข้าไปบริหารแต่ด้านโรงงานญี่ปุ่นดูแล สอง-ส่วนที่กลุ่มซัมมิทโอโตซีทเข้าไปเพียงถือหุ้น เช่นบริษัทอีเกิลวิง

อย่างไรก็ตามบริษัทร่วมลงทุนอย่างเอเชียน โอโตพาร์ทแห่งนี้มีผลการดำเนินงานที่เด่นมากในกลุ่ม ยอดขายในปัจจุบันปีละ 1,340.7 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 136.6 ล้านบาท ปี 2530 สรรเสริญได้โอนตำแหน่งประธานให้กับพัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจ

ปัจจัยของความสำเร็จของเอเชียน ออโตพาร์ทมาจากโครงสร้างตลาดและความเติบโตของอุปสงค์กับราคาของรถจักรยานยนต์ที่สูงมากถึงปีละไม่ต่ำกว่า 3 แสนคัน ตลอดจนกระบวนการผลิตและการวิจัยพัฒนาก็อิสระจากบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นเพราะขนาดรถจักรยานยนต์ในไทยแค่ 70-150 ซีซี. ขณะที่ญี่ปุ่นนิยมใช้ไม่เกิน 250 ซีซี. ทำให้ผู้ประกอบการของไทยซึ่งมีอยู่ 5 รายสามารถพัฒนาไปสู่การผลิตทั้งคันได้ส่งผลถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนที่ได้รับประโยชน์นี้ด้วย

สรรเสริญพอใจกับสถานะใหม่แบบผู้ร่วมลงทุนนี้ เพราะทำให้กิจการของซัมมิทโอโตซีทมีความมั่นคงขึ้นและได้รับผลประโยชน์ด้านโนว์ฮาวและรับบการบริหารการผลิตแบบญี่ปุ่น

ตลอดเวลา 10 ปีที่พี่น้องตระกูล "แซ่จึง" ได้มุมานะสร้างฐานะ สรรเสริญจะเป็นผู้นำที่เชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก และมีอำนาจตัดสินใจแบบรวมศูนย์ในฐานะพี่ใหญ่ ที่ถือปรัชญาของชีวิตเพียงคำเดียวว่า "ซื่อสัตย์"

ภายใต้ชายคาเดียวกันที่มีลักษณะครอบครัวใหญ่ประกอบด้วยพี่น้อง 5 คน แต่ละคนมีครอบครัวมีลูกหลาน ทำให้ต่างคนต่างความคิดและไม่มีระบบชัดเจน

ความเป็นอยู่เช่นนี้ย่อก่อให้เกิดความรู้สึกต่อน้องชายคนรองอย่างพัฒนาอยู่มาก ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่พัฒนาคิดว่าเขารอบรู้วิทยายุทธได้เรียนรู้จัดสินค้าตลาด ลูกค้าจนครบถ้วนแล้ว ก็ถึงเวลาอันสมควรที่จะแยกตัวออกไปสร้างอาณาจักรเอง

ดังนั้นในปี 2520 "บริษัทซัมมิทโอโตพาร์ท อินดัสตรี" ภายใต้การนำของ "พัฒนา จุงรุ่งเรืองกิจ" ได้ก่อตั้งขึ้นใหม่ และสรรเสริญได้ยกตลาดลูกค้าที่มีอนาคตดีมากคือส่วนของรถจักรยานยนต์ทั้งหมดให้น้องชายทำ

นับว่าเป็นการเริ่มต้นสร้างดาวกันคนละดวงตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ความคิดในเรื่องแนวทางการบริหารและการลงทุนของพี่ชายกับน้องชายจึงเริ่มแยกกันอย่างชัดเจน

ความจริงการถือตนเป็นใหญ่ระหว่างสองพี่น้องที่มีนิสัยใจคอใกล้เคียงกันนี้ สามารถเห็นได้จากเหตุผลของการตั้งนามสกุลใหม่ของสรรเสริญซึ่งเปลี่ยนจาก "แซ่จึง" เป็น "จุฬางกูร" แทนที่จะใช้นามสกุล "จึงรุ่งเรืองกิจ" ของน้องชายเหมือนคนในครอบครัว นอกจากเหตุผลของการเป็นคนต่างด้าวแล้ว ความที่อยากสร้างข้อแตกต่างกว่าคนอื่น เพื่อสร้างความเป็นตัวของเขาเอง ก็ทำให้สรรเสริญตั้งนามสกุลที่เขาคิดว่าไพเราะกว่าของเดิม ทั้ง ๆ ที่นามสกุลของน้องชายเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการแล้ว ตั้งแต่ปี 2515 ที่พัฒนาหันมาใช้ชื่อสกุลไทย

เรื่องราวการตั้งตัวเป็นอิสระโดยลำพังของพัฒนากับครอบครัวของเขาซึ่งมีสมพรเป็นคู่ชีวิต คนภายนอกอาจจะมองว่าเป็นการแตกสามัคคี แต่จริง ๆ กลับเป็นเรื่องให้ผลดีเกินคาด เพราะในเวลาต่อมากลุ่มไทยซัมมิทโอโตพาร์ทนี้ก็มีศักยภาพเติบโตไม่แพ้กลุ่มบริษัทของพี่ชาย

"กลุ่มของน้องชายจะเพิ่มคำว่า "ไทย" เข้าไปในชื่อเช่น ไทยซัมมิทโอโตพาร์ท ส่วนของผมจะขึ้นต้นชื่อด้วย "ซัมมิท" ของเขาจะเน้นด้านเบาะและชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ ส่วนผมเน้นเบาะและชิ้นส่วนรถยนต์ ต่างคนต่างแยกการบริหารชัดเจน มีบ้างที่แต่ละฝ่ายจะถือหุ้นซึ่งกันและกัน" สรรเสริญแก้ความสับสนที่มีคนไม่เข้าใจภาพพจน์ของทั้งสองกลุ่ม

ผลการดำเนินงานปีที่แล้วของทั้งกลุ่มไทยซัมมิทฯ 5 บริษัทได้แก่ไทยซัมมิทโอโตพาร์ท ไทยชนาธรอุตสาหกรรม ไทยฮาร์เนส ไทยซัมมิทเอนจิเนียริ่งและไทยซัมมิทพีเค มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,865 ล้านบาท และมีทิศทางการเติบโตที่น่าจับตา เนื่องจากกลุ่มไทยซัมมิทเข้าไปเทคโอเวอร์บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์บีซีซีได้เมื่อต้นปีนี้ งานนี้สรรเสริญยืนยันหนักแน่นว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย

แม้น้องชายจะแยกตัวไปทำเอง ขณะนั้นซัมมิทโอโตซีทคงเหลือไว้เพียงงานชิ้นส่วนรถยนต์ และสรรเสริญก็ต้องเดินหน้าหาสิ่งใหม่ ๆ ต่อไป สรรเสริญได้ลงหลักปักฐานทีละน้อยอย่างแน่นหนา ในปี 2521 เกิด "บริษัทไทยสตีลเคเบิล (ทีเอสเค)" เพื่อผลิตสายเบรคของรถจักรยานยนต์และรถยนต์ และอีกสามปีต่อมาสรรเสริญได้ใช้กลยุทธ์ร่วมลงทุนกับบริษัทญี่ปุ่น NIPPON CABLE SYSTEM เพื่อพัฒนาการผลิตและการตลาดของสายเบรค

การลงสู่ภาคการผลิตที่กว้างออกไป ก่อให้เกิดบริษัทใหม่ ๆ ตามมาในปี 2522 คือบริษัทสามมิตร โอโตซีสแอนด์พาร์ท ซึ่งสรรเสริญให้น้องชายคนที่สาม "โกมล จึงรุ่งเรืองกิจ" ดูแลการผลิตภัณฑ์โพลียูริเทนและเบาะมอเตอร์ไซค์ให้กับอีกตลาดส่งออกและขายท้องตลาดโดยตรง มิใช่ป้อนโรงงาน เป็นคนละลูกค้ากัน

โกมล จึงรุ่งเรืองกิจเป็นน้องคนที่สามของสรรเสริญ มีบุตรสามคนกับยาใจ และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนสำคัญของครอบครัวที่สรรเสริญให้ความไว้วางใจมาก

ในที่สุดสรรเสริญก็ใช้กลยุทธ์ขยายตัวออกไประหว่างปี 2529 จนถึงปี 2534 ปีละไม่ต่ำกว่าสองแห่งหลังจากที่ไม่มีการตั้งบริษัทใหม่ตั้งแต่ปี 2522

สถาบันการเงินที่กลุ่มซัมมิทโอโตซีทใช้เป็นหลักก็มี ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทยและธนาคารโตเกียว ในสามแห่งนี้กลุ่มซัมมิทโอโตซีทจะใช้ธนาคารกรุงเทพมากที่สุด

การขยายกิจการครั้งหลังนี้ สรรเสริญเอื้อโอกาสแก่น้อง ๆ คือให้โอกาสน้องชายน้องสาวที่อยู่กันมานานและมีวี่แววไปได้ไกลออกไปตั้งบริษัทใหม่ และมีอิสระในการบริหารหรือลงทุนได้

บริษัทหนึ่งที่มีความสำคัญคือบริษัทซัมมิทโอโตบอดี้ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "เอสเอบี" ซึ่งตั้งในปี 2529 ได้กลายเป็นภาคการผลิตชิ้นงานใหญ่ เช่นชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์ซึ่งได้เช่าสิทธิบัตรเทคโนโลยี STAMPING DIES จากบริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น

"เราจะเน้นทำตัวถังรถยนต์ทั้งหมด เริ่มจากชิ้นส่วนตัวถังรถยนต์โดยเสริมเครื่องจักรหนักเช่นแม่พิมพ์ซึ่งเราได้สั่งซื้อ 5 ตัวมูลค่านับสิบล้าน ที่เอสเอบีเราจะเน้นชิ้นงานใหญ่ ส่วนที่ซัมมิทโอโตซีทเราจะผลิตแต่เบาะ" สรรเสริญอธิบายถึงการแบ่งแยกสายการผลิต ซึ่งเอสเอบีได้ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 50 ไร่ที่ถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 12

เป็นที่น่าสังเกตว่าผลการดำเนินงานของบริษัทซัมมิทโอโตบอดี้ยังอยู่ในภาวะขาดทุน หทัยรัตน์ จุฬางกูร ภรรยาของสรรเสริญซึ่งดูแลด้านบัญชีการเงินของกลุ่มบริษัทอยู่ได้เล่าให้ฟังว่า

"มันเป็นการลงทุนระยะยาว เราเพิ่งเปิดมาได้สามปี ได้ลงทุนด้านที่ดินและเครื่องจักรมูลค่านับร้อยกว่าล้านบาท ดิฉันคิดว่าปีหน้าจะพอมีกำไรบ้างแล้ว"

อย่างไรก็ตาม ทิศทางการแตกตัวของซัมมิทโอโตซีทในระยะ 5 ปีหลังนี้ มีความพยายามฉีกแนวไปจากเดิม เช่นกิจการผลิตรองเท้าเพื่อส่งออกแก่ดันลอปในนามบริษัท ซัมมิท ชูส์ อัปเปอร์ และบริษัทซัมมิท สปอร์ตแวร์ ทั้งนี้สรรเสริญได้ให้อริสดา น้องคนสุดท้องเป็นผู้ดูแลกิจการส่วนนี้ และกิจการสนามกอล์ฟไพน์เฮิร์ทซึ่งโกมล น้องชายคนที่สามบริหารอยู่

ส่วนสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ น้องชายคนที่สี่ของสรรเสริญยังได้บริหารบริษัทซัมมิท อีเล็คโทรนิค คอมโพเน้นท์ หรือ "เอสอีซี" ซึ่งก่อตั้งในปี 2530 ทำหน้าที่ผลิตวิทยุ ซีดีให้กับบริษัทโซนี่ ประเทศไทยด้วย

"ซัมมิทโอโตซีท" เป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักรผู้นำอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในชื่อของ "ซัมมิทโอโตซีทกรุ๊ป" และ "ไทยซัมมิทโอโตพาร์ทกรุ๊ป" ที่เป็นหัวรถจักรลากเอาความเจริญมั่งคั่งในรูปของการลงทุนแตกแขนงออกไปเป็นธุรกิจอีกมากมายไม่ต่ำกว่า 19 แห่ง ที่มีสินทรัพย์รวมไม่ต่ำกว่า 5,669 ล้านบาท มีรายได้รวมทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 7,447 ล้านบาท

ผลที่ได้จากการก่อรูปเงินทุนอันแข็งแกร่งนี้ ในระยะเวลาสองทศวรรษทำให้สรรเสริญกับครอบครัวมีนโยบายที่จะหาลู่ทางกระจายเงินไปลงทุนในกิจการ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สักแห่ง อันเป็นการประยุกต์การลงทุนให้เข้ากับเศรษฐกิจยุคสมัยปัจจุบัน ที่เปิดโอกาสทองให้โดยที่แบงก์ชาติเพิ่มใบอนุญาตขยายประเภทธุรกิจประกอบกิจการเงินทุนหลักทรัพย์ให้มากขึ้น

ขณะเดียวกันแนวความคิดนี้ก็ทำให้กลุ่มไทยซัมมิทโอโตพาร์ทของพัฒนา จึงรุ่งเรืองกิจซื้อ บงล. บีซีซี จะสังเกตว่าสไตล์การบริหารงานและการตัดสินใจของพัฒนาจะรวดเร็วกว่าพี่ชายที่ยังคงสไตล์ CONSERVATIVE มาก

บงล. ไอทีเอฟ เป็นเป้าหมายซึ่งมีผู้บริหารกลุ่มซัมมิทโอโตซีทสนใจ แรงดึงดูดที่เร้าใจ นอกจากสาขาไอทีเอฟทั้ง 6 แห่งแล้ว ยังมีสิ่งสำคัญคือการลงทุนเพื่ออนาคตที่สดใสจากใบอนุญาตไอทีเอฟ ซึ่งมีอยู่ 8 ใบ ประกอบด้วย หนึ่ง-ใบอนุญาตประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการลงทุนและพาณิชย์ สอง-ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพัฒนา สาม-ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการจำหน่าย สี่-ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการจำหน่าย ห้า-ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการบริโภค หก-เพื่อการเคหะ เจ็ด-ประกอบกิจการนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และแปด-กิจการค้าหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นแรงดึงดูดใจมาก ๆ สำหรับผู้ที่อยากได้ SEAT ในฐานะโบรกเกอร์ของตลาดหลักทรัพย์

"เหตุผลที่เข้าไปจะซื้อไอทีเอฟ เพราะปัจจุบันกิจการของเรา 90% เป็นด้านธุรกิจยานยนต์ทั้งหมด เราทำมา 20 ปีก็บริหารได้อยู่ตัวแล้ว จึงอยากจะทำธุรกิจอื่น ๆ ที่มีอนาคตดีอย่างบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่แหวกแนวออกไป แต่ไม่ใช่ว่าจะมาเป็นฐานเงินทุนที่สนับสนุนอุตสาหกรรมของเรา เราคิดว่าที่น่าสนใจคือตัวใบอนุญาตค้าหลักทรัพย์ซึ่งมีราคาแพงมาก และเรื่องบุคลากรเราก็ไม่ห่วงเท่าไหร่ แต่เผอิญมีเรื่องขัดข้องทางเทคนิคเกี่ยวกับดอกเบี้ยว่า 9% หรือ 12% แต่ก็ยุติแล้ว เราก็คิดว่าในอนาคตก็ยังสนในด้านนี้อีก" สรรเสริญเปิดเผยการรุกขยายไปในไอทีเอฟ

แต่การก้าวเข้าไปในธุรกิจที่ตนเองไม่มีความรอบรู้อย่างละเอียดนำมาซึ่งความจริงอันยากปฏิเสธว่า ในความสำเร็จนั้นย่อมมีความล้มเหลวผิดพลาดบ้าง ประโยชน์ของความล้มเหลวก็คือบทเรียนอันมีค่าที่ผู้บริหารซัมมิทโอโตซีทต้องจำให้แม่นและถือเป็นข้อเตือนใจครั้งต่อไป

ศึกประมูล บงล. ไอทีเอฟประกอบด้วยสี่กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่เสนอตัวเข้ามาชิงชัย กลุ่มแรก ทักษิณ ชินวัตร ผู้บุกเบิกธุรกิจโทรคมนาคมชื่อดัง ซึ่งให้ ดร. ทนง พิทยะเป็นตัวแทนเสนอราคาในนามของกลุ่มชินวัตร กลุ่มที่สอง-สุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์แห่งกลุ่มเซ็นทรัลยักษ์ใหญ่ห้างสรรพสินค้าที่มาเอง โดยที่ปรึกษาคือเจเอฟธนาคมเป็นผู้ยื่นซอง กลุ่มที่สาม-สรรเสริญ จุฬางกูร ผู้บริหารหมายเลขหนึ่งของกลุ่มซัมมิทโอโตซีท ซึ่งเป็นม้ามืดในงานนี้ และกลุ่มที่สี่-วิชัย กฤษดาธานนท์ แลนด์ลอร์ด ผู้ร่ำรวยจากการพัฒนาที่ดินและนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในนามของ "กลุ่มกฤษดานคร"

บทเรียนบทที่หนึ่งเริ่มบนเงื่อนไขในวันที่ 30 มีนาคมที่แต่ละกลุ่มได้รับทราบด้วยวาจามิใช่ลายลักษณ์อักษรจาก จรุง หนูขวัญ ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คือ หนึ่ง-จำนวนหุ้นของไอทีเอฟที่ถือครองโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงนจำนวน 67,442,846 หุ้น สอง-"การยกตัวอย่าง" อัตราดอกเบี้ย (DISCOUNT RATE) 12% แก่ผู้บริหารทั้งสามกลุ่ม แต่มีกลุ่มกฤษดานครที่ไม่ทำตามตัวอย่างซึ่งให้ผลดีเกินคาด และสาม-ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเงินปันผลไอทีเอฟที่จะจ่ายหุ้นละ 25 ส.ต. ที่เตือนให้อย่าลืมคิดลงไปด้วย

ข้อมูลทั้งหมดนี้ผู้บริหารซัมมิทโอโตซีทได้ป้อนให้กับไพบูลย์ เสรีวิวัฒนาที่ปรึกษาประเมินราคาหุ้นไอทีเอฟ ทุกอย่างดำเนินไปอย่างปิดลับเป็นระยะเวลาศึกษา 10 วัน แม้แต่ธนาคารกรุงเทพซึ่งเป็นสถาบันการเงินหลักของกลุ่มซัมมิทโอโตซีทและเป็นผู้อาวัลเงินก้อนใหญ่จำนวนไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาทก็ปกปิด

จนกระทั่งถึงวันที่ 7 เมษายนซึ่งเป็นวันเปิดซองประมูล เมื่อจับภาพเฉพาะกลุ่มซัมมิทโอโตซีทจะเห็นว่าสรรเสริญซึ่งเป็นคนไปเซ็นชื่อนั่งใกล้กับน้องชายสุริยะ ส่วนหทัยรัตน์อยู่ด้านข้างกับไพบูลย์

เมื่อซองแรกของชินวัตรเปิดขึ้นด้วยราคาต่อหุ้น 24 บาท ตามด้วยซองที่สองของเซ็นทรัลให้ราคาต่อหุ้น 23 บาท อันดับสามกลุ่มกฤษดานครให้ราคาสูงถึง 41.25 บาทและกลุ่มสุดท้ายคือซัมมิทโอโตซีทเสนอราคาต่อหุ้นสูง 37.88 บาท

เมื่อพิจารณาให้ละเอียดระหว่างคู่ชิงดำระหว่างกลุ่มกฤษดานครกับกลุ่มซัมมิทโอโตซีท จะพบว่าราคาต่อหุ้นที่กฤษดานครยื่นเสนอไป 41.25 บาท คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 2,782,017,398 บาท ขณะที่กลุ่มซัมมิทโอโตซีทเสนอราคาต่อหุ้น 37.88 บาทคิดเป็นเงินรวม 2,554,735,006 บาท ทั้งคู่มีเงื่อนไขชำระเป็นแคชเชียร์เช็คประมาณ 20% ส่วนของซัมมิทฯ จ่าย 500 ล้าน แต่ของกฤษดานคร 556 ล้านบาท

เงื่อนไขการชำระเงินของกลุ่มซัมมิทฯ ที่เทเงินสดให้ตั้งแต่ปีที่ 1-5 ปี ๆ ละ 410 ล้านบาทกล่าวกันว่าอยู่บนฐานความเชื่อที่อัตราดอกเบี้ย 12% เสมอและคิดว่าถ้าจ่ายเงินสดช่วงต้นจะดีกว่าเพราะช่วงนี้ดอกเบี้ยเงินกู้ถูกลงเหลือเพียงแค่ 11% เท่านั้น ทำให้การคำนวณค่าเงินสดในปัจจุบันจะมีลักษณะจ่ายน้อยลงในปีสุดท้าย

ขณะที่กลุ่มกฤษดานครจะใช้หลักคิดอีกอย่างคือ จะเริ่มชำระเงินตั้งแต่ปีที่ 3-5 โดยปีที่ 3 จะจ่าย 556 ล้านบาท ปีที่ 4 และ 5 จะจ่ายปีละ 834 ล้านบาท ซึ่งเมื่อคำนวณค่าเงินสดปัจจุบันจะมีภาระที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นในระยะหลัง

จำนวนเงินที่จ่ายทุกตัวได้ถูกคำนวณเป็นค่าเงินสดปัจจุบัน (PRESENT VALUE ) เพื่อใช้เปรียบเทียบโดยใช้ DISCOUNT RATE 9% ยอดเงินรวมของกลุ่มซัมมิท 2,098 ล้านบาท ราคาต่อหุ้น 31.114 บาท ส่วนกลุ่มกฤษดานครคิดออกจะได้ยอดเงินรวม 2,119 ล้านบาท และราคาต่อหุ้น 31.430 บาท

ผลต่างของราคาต่อหุ้นที่กลุ่มซัมมิทฯ พ่ายแพ้กลุ่มกฤษดานครไปคือ 31 สตางค์เท่านั้นเมื่อเอามาตรฐาน DISCOUNT RETE 9% เป็นหลัก

ผลปรากฏว่าถ้าคิดเป็นกราฟเส้นตรงตัดกันสองเส้นที่แทนสองกลุ่มนี้ กรณีที่ DISCOUNT RATE ต่ำกว่า 10% กลุ่มซัมมิทโอโตซีทจะแพ้ แต่ถ้า DISCOUNT RATE สูงกว่า 10% กลุ่มซัมมิทโอโตซีทจะชนะ

สามกลุ่มที่พ่ายแพ้จึงบ่นเสียดายว่าถ้ากำหนดชัดเจนว่าสู้กันในอัตรา 9% ดังนี้ก็จะสู้ชนิดเทเงินในกระเป๋าเพิ่มให้กับราคาต่อหุ้นอีก 5 บาทยังไหว เป็นการเพิ่มกำไรให้กับรัฐบาลมากกว่า 8 เท่าตัว

เพราะเงินที่รัฐรับชำระเข้ามา ถ้าคิดหาผลประโยชน์บนฐานจากอัตราดอกเบี้ย 12% ณ สิ้นปีที่ 5 จะมีเงินรวมทั้งสิ้นจากกลุ่มซัมมิท 3,491 ล้านบาท แต่ถ้าเลือกกลุ่มกฤษดานครจะได้ 3,447 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่ากลุ่มซัมมิท 43 ล้านบาท

แต่ถ้ารัฐเลือกที่จะใช้อัตราดอกเบี้ย 9% จากเงื่อนไขการชำระเงินของกฤษดานคร รัฐจะได้เงินรวมในสิ้นปีที่ 5 คือ 3,261 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มซัมมิทฯ 3,228 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่ากลุ่มแรก 32 ล้านบาท

ดังนั้นสรุปผลรวมของผลประโยชน์สองตัวที่มาเปรียบเทียบกัน จะต่างกัน 230 ล้านบาท

แต่เมื่อทุกตัวเลขขึ้นตัวเลขบนกระดาน ปฏิกิริยาของกลุ่มซัมมิทโอโตซีทคืองุนงงเมื่อเทียบกับผู้ชนะรู้สึกตัวเลขสูสีกันมาก มีการส่งสายตาข้ามฟากมองกันไปมาระหว่างที่ปรึกษาไพบูลย์ ซึ่งยกเครื่องคิดเลขมาเคาะตัวเลขที่อยู่ระยะไกลมากจนเคาะไม่ถูกกับสุริยะซึงขัดใจที่ไม่ได้พกพาเครื่องคิดเลขมาด้วย เมื่อทำอะไรไม่ได้ดีกว่านั้นต่างฝ่ายก็ทำท่าจะวางใจซึ่งกันและกัน ไม่มีใครแย้งขึ้นมาถึงอัตราดอกเบี้ย 9 หรือ 12%

แต่เมื่อผลการประมูลสิ้นสุดลง สุริยะได้เดินไปหาผู้ชนะ มีเสียงถามว่า "คุณวิชัย คุณคิด DISCOUNT RATE เท่าไหร่?" เสียงตอบจากวิชัยบอกว่า 10% แล้วเอาตัวเลขนั้นให้ดู แต่เมื่อเห็นปฏิกิริยาสุริยะงุนงงราวถูกทุบหัว วิชัยรีบมองหาเลขารู้ใจซึ่งรีบเปิดกระเป๋าเจมส์บอนด์เอาเครื่องคิดเลขมาเคาะแล้วบอกว่านี่ไง 12% แม้จะไม่เชื่อเท่าใดนัก แต่เพื่อให้เกียรติแก่ผู้ชนะ ทุกคนก็เข้าไปจับมือแสดงความยินดีกับวิชัย

เย็นนั้น การตีกอล์ฟของสามพี่น้องเป็นไปอย่างกังวลถึงตัวเลขที่ต้องมีการทบทวนอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อพบความไม่โปร่งใสก็ได้ส่งจดหมายขอความเป็นธรรมไปตามขั้นตอน ในที่สุดการประมูลหุ้นไอทีเอฟ 67 ล้านหุ้นก็จบลงด้วยความเข้าใจว่ากฤษดานครชนะ และทุกสิ่งถือเป็นข้อสิ้นสุดแล้ว

งานนี้จึงถือเป็นบทเรียนบทสำคัญที่ผู้บริหารซัมมิทโอโตซีทต้องถือเป็นอาจารย์ในครั้งต่อไป คือหนึ่ง-อย่าปากหนักเมื่อเกิดสิ่ง "ไม่โปร่งใส" ต้องถามให้ชัดเจนทันที สอง-อย่าคิดหรือวางใจ "แทน" คนอื่น สาม-อย่าลืมพกพาเอาเครื่องคิดเลขไปด้วยทุกครั้งที่มีการซื้อขาย

นี่คือบทเรียนอันมีค่าที่ผู้บริหารซัมมิทโอโตซีทจำได้ตลอดจากนี้ไป

ทิศทางการขยายตัวของกลุ่มซัมมิทโอโตในสองทศวรรษที่ผ่านมา แม้จะมีความผิดพลาดในความสำเร็จบ้างบางส่วน แต่โดยส่วนใหญ่ยังมีลักษณะเป็นแนวนอนและแนวดิ่งโดยการตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนมากมายนับร้อยชนิดของรถยนต์ ทั้งที่เป็นส่วนบริษัทของครอบครัวตัวเองล้วน ๆ และบริษัทร่วมทุนกับต่างประเทศ เช่นบริษัทอาเซียนออโตพาร์ท บริษัทซัมมิท สเตียริ่งวีล เป็นต้น

ในอนาคตของกลุ่มภายใต้การนำของสรรเสริญ ยุทธศาสตร์การขยายตัวก็ยังคงมีเป้าหมายหลักอยู่ที่อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ในปลายปีนี้จะมีการผลิตพวงมาลัยรถยนต์โดยบริษัทซัมมิท สเตียริ่งวีล นอกจากนี้โครงการนิคมอุตสาหกรรมรถยนต์ที่แหลมฉบังอันมีกลุ่มมิตซูบิชิเป็นหัวหอก ก็ได้ชักชวนกลุ่มซัมมิทโอโตซีทไปเปิดโรงงานที่นั่น ด้วยการลงทุนในอนาคตเหล่านี้สรรเสริญยังยืนยันว่าอนาคตสดใสเพราะปริมาณการใช้รถต่อประชากรไทยแล้วยังอยู่ในอัตราต่ำมาก

ปัญหาผลกระทบจากนโยบายรัฐบาลที่ในอดีตเคยเป็นเสมือนหนึ่งมือที่หยิบยื่นโอกาสทองแก่สรรเสริญ กำลังเป็นที่น่าสงสัยว่าจะเป็นมือที่ฉุดกระชากให้ผู้ประกอบการต้องล้มหรือสะดุด?!

ในกรณีที่รัฐบาลอาจจะ "ยกเลิก" ข้อกำหนดบังคับสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนรถยนต์ไว้ที่ 54% เพื่อให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องจากแกตต์ (ข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าและภาษีอากร)

ถ้าหากการยกเลิก LOCAL CONTENT นี้เกิดขึ้นจริง ความหายนะย่อมเข้ามาสู่ผู้ผลิตชิ้นส่วนใหญ่น้อย 300 กว่าราย สรรเสริญในฐานะอุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ จำเป็นต้องดำเนินบทบาทในฐานะตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์เข้าเรียกร้องรัฐบาลให้ปกป้องอุตสาหกรรมนี้สุดชีวิต

"ผมคลุกคลีกับวงการนี้มา 20 กว่าปี ผมยังเห็นว่าอนาคตยังดีอยู่ แน่นอนอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลลดภาษีนำเข้าชิ้นส่วนจาก 112% เหลือ 20% ขณะที่ผู้ผลิตในประเทศต้องนำเข้าวัตถุดิบเสียภาษี 60% เพราะฉะนั้นถ้ายกเลิก LACAL CONTENT ผู้ผลิตอย่างผมอาจจะนำเข้าก็ได้เพราะเสียภาษีแค่ 20% หรือถ้าผลิตในประเทศก็ต้องให้มีปริมาณมากพอ แต่ถ้ามีปริมาณชิ้นส่วนน้อยก็น่าหนักใจ" สรรเสริญกล่าวถึงปัญหาอนาคต

ความพยายามที่ธำรงไว้ซึ่งความอยู่รอดของกลุ่มทำให้สรรเสริญในฐานะผู้นำจำเป็นต้องคิดยุทธศาสตร์การเติบโตขยายไปในธุรกิจอื่น ๆ เป็นการลงหลักปักฐานอีกฐานหนึ่งให้มั่นคงแข็งแรง

แนวโน้มที่เกิดขึ้นแล้วคือ การเข้าไปธุรกิจบริการและธุรกิจการพัฒนาที่ดินที่สรรเสริญได้เข้าไปเทคโอเวอร์สนามกอล์ฟไพน์เฮิร์ท แล้วให้โกมล จึงรุ่งเรืองกิจน้องชายคนที่สามดูแล โดยจ้างมืออาชีพบริหารจนประสบความสำเร็จดี

ขณะที่หทัยรัตน์ ภรรยาของสรรเสริญได้ริเริ่มโครงการบ้านจัดสรรที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยร่วมลงทุนกับเพื่อนสนิท และการซื้อที่ดินมูลค่า 200 กว่าล้านเพื่อพัฒนาเป็นโรงงานซึ่งเป็นที่เดิมของบริษัทธานินทร์ยูเนียน และที่ดินที่จังหวัดระยอง

"พี่จะซื้อที่ดินโดยจะดูว่าที่ตรงนั้นต้องไม่ตรงกับทางสามแพร่ง แม้จะขายราคาแสนถูกอย่างไรพี่ก็ไม่เอา เพราะมันไม่สบายใจ" หทัยรัตน์เล่าให้ฟัง

นอกจากธุรกิจที่ดินแล้ว ความสนใจในธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ยังเป็นลู่ทางการลงทุนที่เร้าใจอยู่ แม้จะพลาดหวังจากกรณีไอทีเอฟก็ตามที

"ความสนใจในธุรกิจนี้ก็คิดว่าทำให้เราสามารถขยายธุรกิจได้แตกต่างจากแนวอุตสาหกรรม" หทัยรัตน์ให้ความเห็น

ทั้งที่ดินและธุรกิจการเงิน ว่ากันตามจริงแล้ว มันสามารถ CAPITALIZED ทุนและ GENERATE LIQUIDITY ให้กลุ่มซัมมิทฯ ได้ในยามที่ตลาดชิ้นส่วนในประเทศเกิดภาวะตกต่ำลง

การเติบโตของกลุ่มซัมมิทโอโตซีทนั้นจะไม่ทำแบบหวือหวาหรือลงทุนอย่างใหญ่โต แต่จะทำจากเล็กไปหาใหญ่ โดยค่อย ๆ ทำทีละขั้น จนกว่าจะพบว่าเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มไปได้ดีจึงขยายใหญ่โต

และวิธีการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เป็นสิ่งที่สรรเสริญปฏิเสธตลอดมา ภาพพจน์นี้ได้สะท้อนถึงแนวคิดอันอนุรักษ์นิยมของเขา บนความเชื่อมั่นว่าธุรกิจของกลุ่มเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพากระบวนการระดมทุนในลักษณะนี้

โดยสรุปแล้ว อนาคตของกลุ่มซัมมิทโอโตซีทได้เปิดพรมแดนอาณาจักรของการลงทุนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ไว้แน่หนามากกว่ายุคก่อน และปูทางให้กับทายาทธุรกิจรุ่นลูกหลานท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงนโยบายรถยนต์ของรัฐบาลที่ใกล้ตัวใกล้ใจมากที่สุดนี้ สรรเสริญต้องพิสูจน์ความเป็นอัจฉริยภาพของเขาว่าจะสามารถมองการณ์ไกลและปรับยุทธวิธีให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้!!



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.