ลงทุนหุ้นยังไม่ต้องรีบของดี ราคาถูกยังมีโอกาสได้ซื้อ


ผู้จัดการรายสัปดาห์(15 กันยายน 2551)



กลับสู่หน้าหลัก

ทิสโก้จับชีพจร พบพิษซับไพร์มไหลเข้าเส้นเลือดใหญ่ ฝรั่งยกโขยงหนีตายขายไม่เลี้ยง ปัจจัยพื้นฐานเป็นยังไงไม่สนใจขอให้ได้เงินกลับไปช่วยเสริมสภาพคล่องเป็นพอ หุ้นไทยโดนหางเลขร่วมสวดอภิธรรม คาดจุดต่ำสุดเดือน ตุลาคม มอง 580-600 จุดน่าจะรับอยู่

ปีนี้อาจไม่ใช่ปีที่ดีนักสำหรับการลงทุนในหุ้น เพราะดูเหมือนจะมีความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนต่ำ ยิ่งในภาวะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดโดน 2 เด้งจาก ทั้งภาวการณ์เมืองภายในและวิกฤติซับไพร์มในสหรัฐ ราคาหุ้นที่เห็นว่าถูกอยู่แล้ว ก็ยังมีราคาที่ถูกกว่าให้ได้ซื้อกันอีก สิ่งที่นักลงทุนทุกคนอยากรู้คือ ระดับไหนน่าจะเป็นแนวรับที่เอาอยู่ ,เมื่อไหร่ฝรั่งจะหยุดขาย และ เมื่อไหร่จะได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันเสียที

วิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค(รักษาการ) บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทิสโก้ มองว่าการขยายตัวของ GDP ไทยในไตรมาส 3 ปีนี้จะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 4.7% และในไตรมาส 4 จะอยู่ที่ 4.9% โดยการส่งออกจะชะลอลงแต่จะถูกชดเชยด้วยการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ และคงประมาณการ GDP ทั้งปีที่5.2%

ทั้งนี้ IMF ได้ปรับประมาณการ GDP ของโลกลงจาก 4.1% เหลือ 3% โดนสหรัฐเติบโต 0.3% ญี่ปุ่น 1.2% และ ยุโรป 1.3% ขณะที่ภูมิภาคเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นจะยังเติบโตได้ดีอยู่ที่ระดับ 7.3%

"เศรษฐกิจตะวันตกปรับตัวลงเยอะแต่หุ้นลงไม่ค่อยมาก ขณะที่หุ้นเอเชียลงมากแต่เศรษฐกิจลงไม่มาก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ในไตรมาส4 ที่จะเห็นหุ้นเอเชียแรลรี่ แต่รอบนี้ฝรั่งจะไม่ซื้อตามเพราะไม่มีเงิน"

สำหรับดัชนีดาวโจนส์ จุดที่ปลอดภัยคือ 10,000 จุด เพราะในไตรมาสนี้สิ่งเลวร้ายทางเศรษฐกิจจะปรากฏชัดเจนขึ้น เห็นได้จากสัญญาณที่จำนวนสถาบันการเงินที่มีปัญหามีลดลง แต่ต้องใช้ปริมาณเงินในการช่วยเหลือเยอะขึ้น ปัจจุบันมีแบงก์ขนาดเล็กปิดตัวไปแล้ว 110 แห่ง ขณะที่แบงก์ใหญ่ก็กำลังมองหาพาร์ทเนอร์เข้ามาซื้อกิจการ ทั้งหมดนี้เป็นเหตุให้สถาบันการเงินต้องเทขายสินทรัพย์ที่ตัวเองมีอยู่แบบไม่ยั้งโดยเฉพาะหุ้นที่มีอยู่ในต่างประเทศ

"ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าหุ้นถูกแล้วฝรั่งจะหยุดขาย แต่อยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้ได้เงินกลับไปเสริมสภาพคล่อง ดังนั้นการขึ้นใดๆของดัชนีก็คือจังหวะที่ควรจะขาย"

สำหรับหุ้นไทยนั้นประเมินว่าต่างชาติยังอาจขายหุ้นต่อได้อีก 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจุดต่ำสุดของดัชนีน่าจะอยู่ในเดือนตุลาคม ที่ระดับ 580-600 จุดก็น่าจะรับอยู่

ด้านผลกระทบทางการเมืองนั้น ถึงฝ่ายใดจะชนะก็คงไม่สำคัญนัก เพราะประเทศแพ้ไปแล้ว หุ้นร่วงแน่นอน แต่ถ้าหากเกิดยุบสภาขึ้นมา หุ้นจะเด้งทันที 30-40 จุด เป็นเวลาสองสามวัน จากนั้นแล้วจะร่วงต่อ เหมือนช่วงพฤษภาทมิฬที่เมื่อเรื่องได้ข้อสรุปหุ้นก็ขึ้นทันที 80 จุดแต่จากนั้นหุ้นก็ร่วงลงต่อ

ทั้งนี้แนะนำลงทุนหุ้นที่มีพื้นฐานดีแต่ราคาลดลง เช่น ธนาคารกสิกรไทย ,ธนาคารไทยพาณิชย์, บมจ. บ้านปู(BANPU), บมจ. อินโดรามา โพลีเมอร์ส(IRP), บมจ. ฮานา ไมโครอิเล็คทรอนิกส(HANA) ,บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT),บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์(LPN) และ บมจ. ช.การช่าง(CK) แต่ต้องดูจังหวะเวลาและแนวโน้มตลาดหุ้นต่างประเทศประกอบด้วย


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.