ไม่บอกก็ไม่น่าเชื่อว่าหนุ่มใหญ่สูงวัยผู้นี้ จะได้รับเหรียญทอง เงิน ทองแดง
ในการแข่งขันกีฬาแพทย์ทั่วโลกที่ประเทศแคนาดา ในการว่ายน้ำ 100 เมตร และ
1,500 เมตรในปี 2532 และยังผ่านการทดสอบการวิ่งเร็ว ว่ายน้ำเร็ว ว่ายน้ำ
1,000 เมตร กระโดดไกล กระโดดสูง และทุ่มน้ำหนักจากศูนย์กีฬาวิทยาศาสตร์กีฬา
ตั้งแต่ปี 2523 จนถึงปัจจุบัน ทั้งที่ตัวเลขอายุย่าง 67 ในปีนี้แล้ว
นายแพทย์เฉก ธนะศิริ ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในวงการผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเกี่ยวกับโครงการอบรมการเตรียมตัวเกษียณให้แก่องค์กรต่าง
ๆ ตามที่ได้รับเชิญมา เนื่องเพราะเขาเป็นแพทย์ที่ให้ความสนใจไม่เฉพาะแต่การรักษาโรคภัยไข้เจ็บทางกายเฉพาะด้านแต่เพียงโดด
ๆ เท่านั้น แต่ได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ของกายกับจิต และให้ความสำคัญกับการออกกำลังตลอดกว่า
25 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการออกกำลังกายโดยมีสมาธิและสติกำกับ
เขาจึงดูสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรงอย่างยิ่ง สอดคล้องกับจิตใจที่ได้รับการฝึกฝนจนมีพลังจิตสะสมมากพอและสามารถเรียกใช้ได้อย่างอัตโนมัติ
นั่นก็คือ เฉกได้ฝึกสมาธิใช้สติกำหนดรู้เท่าทันในการทำงาน รวมไปถึงการออกกำลังกาย..!
เขาจึงดูหนุ่มกว่าวัยอย่างไม่น่าเชื่อ ยังเดินป่าปีนเขาได้ชนิดที่ว่าหนุ่ม
ๆ บางคนก็ยังต้องชิดซ้าย..!
ด้วยร่างกายที่สมบูรณ์และแข็งแรงอย่างมาก เฉกจึงบริจาคโลหิตติดต่อกันได้ตั้งแต่ปี
2510 รวมแล้ว 100 กว่าครั้ง และตั้งใจว่าจะบริจาคไปเรื่อยจนกว่าสภากาชาดจะไม่รับเพราะแก่เกินไป
เฉกมีผลงานหนังสือชีวิตที่เกี่ยวกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ร่างกายและจิตใจอยู่หลายเล่ม
เช่น ทำอย่างไรจะปราศจากโรคและชะลอความชรา หรือสมาธิกับคุณภาพชีวิต ซึ่งแต่ละเล่มล้วนแล้วแต่พิมพ์ไม่น้อยกว่า
4 ครั้งขึ้นไป โดยเฉพาะเล่มที่ชื่อว่า "ทำอย่างไรชีวิตจะยืนยาวและมีความสุข"
ที่พิมพ์ถึง 63 ครั้ง ในระยะ 11 ปี หรือเกือบ 3 ครั้งต่อปี
เขาเคยเป็นแพทย์โรงพยาบาลบางรัก อนามัยจังหวัดนครราชสีมา และรักษาการนายแพทย์ตรวจการสาธารณสุขภาค
3 กระทรวงสาธารณสุข ผู้อำนวยการสำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร รองปลัดกรุงเทพมหานคร
นอกจากนี้ ยังมีตำแหน่งทางสังคมอีกมากมายได้แก่ นายกสโมสรนักศึกษาแพทย์ศิริราชคนแรก
พ.ศ. 2492 และหัวหน้านักศึกษาแพทย์ นายกสมาคมศิษย์เก่าแพทย์ศิริราช นายกยุวสมาคมแห่งประเทศไทย
นายกสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย สมาชิกสภานิติบัญญัติ กรรมการอำนวยการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
กรรมการวางแผนพัฒนาสาธารณสุขแห่งชาติ กรรมการสมาคมคลังปัญญาอาวุโสแห่งประเทศไทย
และกรรมการสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นตำแหน่งสุดท้าย และเฉกบอกว่าปีนี้จะไม่ขอรับตำแหน่งอีก
เพราะเวลาหลังเกษียณของเฉกหมดไปกับกิจกรรมที่เขาถนัด ไม่ว่าจะเป็นโครงการอบรมเตรียมตัวเกษียณดังที่ไทยออยล์ได้เชิญเขาไปเป็นวิทยากรมาแล้ว
2 ครั้ง หรือที่กำลังจะจัดโครงการเดียวกันนี้ขึ้นที่การบินไทย เอไอเอ และสยามกลการ
เป็นต้น
เป้าหมายก็เพื่อให้บรรดาคนทำงานที่ใกล้เกษียณอายุได้เตรียมตัวเกษียณ ทำงานในขณะนี้ได้อย่างรื่นรมย์
และเตรียมตัวเตรียมใจใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุอย่างมีความสุขและมีคุณค่า
การปฏิเสธตำแหน่งทางสังคม เฉกเห็นว่าจะทำให้เขามีเวลาทำในสิ่งที่ตนปรารถนามากขึ้น
ซึ่งต้องเดินทางเป็นประจำ จึงไม่ควรผูกมัดตัวเองอยู่กับตำแหน่ง
เขาให้ข้อคิดว่า คนทำงานไม่ว่าจะเป็นใคร จะแค่มือบริหารอาชีพ นักธุรกิจ
หรือแม้แต่ประชาชนคนเดินดินที่ไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตอะไร ล้วนแล้วแต่ควรจะมีการเตรียมใจตัวเองไว้แต่เนิ่น
ๆ สำหรับในแต่ละเรื่อง
เช่น ควรจะเตรียมความคิดว่าถ้าได้รับตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้ ควรจะทำยังไง
และจะมีอุปสรรคอะไรบ้าง แต่ที่อยากให้ตระหนักก็คือ "ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ"
เพราะถ้ามีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนจะบั่นทอนสุขภาพจิตอย่างมหาศาลด้วย เพราะฉะนั้นควรฟิตตัวเองอยู่เสมอ
ที่ควรทำก็คือ หมั่นตรวจสุขภาพปีละครั้ง และให้ออกกำลังกาย ซึ่งเฉกมองว่าเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้มีกิจกรรมทำจะเพลิดเพลิน
ทำให้ผ่านเวลาไปอย่างมีประโยชน์ แต่ถ้าไม่ออกกำลังกาย จะงุ่นง่าน คิดมาก
ฟุ้งซ่าน อาจจะเสาะแสะ จะไปไหนก็ไปไม่ได้
ถ้าคิดอย่างนี้แล้ว เราก็จะเตรียมตัวของเรา ทำให้คิดช่วยตัวเอง รวมทั้งไม่คิดพึ่งลูกหลาน
เพราะถ้าหวังแล้วไม่ได้ดังหวังก็ผิดหวัง และลูกหลานก็จะรำคาญ
เฉกย้ำว่าอย่าพยายามเรียกร้องอะไรจากลูก เนื่องจากถ้าดีก็ดีไป แต่ถ้าไม่ดีก็แย่
เพราะลูกก็มีหน้าที่ที่จะต้องเลี้ยงลูกของตนต่อไปอีก "ธรรมชาติของสัตว์
อย่างแม่นกมีหน้าที่ป้อนอาหารให้ลูก ไม่มีที่ลูกจะมาป้อนอาหารให้พ่อแม่เมื่อแก่"
"ไม่หวังพึ่ง" คือสโลแกนที่เฉกให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะจะทำให้เราได้เตรียมตัวเตรียมใจใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างมีความสุขเสียแต่เนิ่น
ๆ
เขาเล่าถึงหัวอกพ่อแม่โดยทั่วไปว่า มักจะอยากให้ลูกทำโน่นทำนี่ให้ "นาน
ๆ ทีถ้าลูกหลานทำอะไรให้ ก็ให้ถือว่าเป็นกำไรชีวิต แต่ควรจะปรับใจไม่คาดหวัง
และให้คิดอยู่เสมอว่าธุระอะไรจะเอาทุกข์มาใส่ตัวอันนี้เราต้องทำตัวให้เหนือทุกข์"
ยิ่งถ้าเป็นคนใหญ่คนโตด้วยแล้ว ให้ถือหลักว่า "ไม่แส่เข้าไปหาเรื่อง"
เพราะคนมีตำแหน่งสูง ๆ พอเกษียณบางทีก็อยากทำโน่นทำนี่ เป็นนั่นเป็นนี่ ซึ่งบางทีก็ไม่ได้ผล
คือ ไม่ได้เป็น หรือได้เป็นแต่เป็นไม่ได้ดังใจ จึงไม่ควรจะดิ้นรนให้มาก ถ้าคนไหนเห็นความสำคัญ
เขาอยากให้เราเป็นเขาก็มาหาเราเอง เราก็ดีใจที่ได้ทำประโยชน์ หรือไปโน่นไปนี่แต่อย่าไปติดกับตำแหน่งว่าถ้าเราไม่อยู่
แล้วคนอื่นจะทำไม่ได้ หรือทำไม่ดีเท่า ให้คิดว่าคนรุ่นหลังยิ่งต้องทำได้ดีกว่าเรา
นั่นก็คือ เจ้าตัวควรเตรียมความคิด และปรับใจให้ได้เสียแต่เนิ่น ๆ จะดีที่สุด
ได้รับเชิญไปรั้งตำแหน่งใด เป็นสักครั้งสองครั้งก็ควรจะหยุด และให้รับลง
(จากตำแหน่ง) เสียก่อน
เฉกเปรียบเทียบว่าเหมือนกับผิวหนัง แค่เดือนเดียวก็ตายเป็นขี้ไคล ซึ่งก็คือมีเกิดมีดับ
ถ้ารู้และรับความจริงข้อนี้ แล้วเราดับเสียเองก็จะทำให้สบายใจ
"บางทีเพราะเขาเกรงใจเลยเชิญเราไปเป็น (ทั้งที่อาจจะไม่อยากให้เป็นเท่าไหร่)
เมื่อเราจะไม่อยู่ ก็ไม่ต้องไปห่วงว่าเขาจะเป็นยังไง และให้มั่นใจว่าคนรุ่นใหม่จะต้องดีกว่าคนรุ่นเก่า"
เฉกกล่าวถึงกลยุทธ์ที่จะฝึกใจให้เราไม่ไปติดยึดกับหัวโขนที่มีอยู่
คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจหลายอย่างก็ควรปล่อยวางไปทีละอย่างสองอย่าง ให้ลูกหลานรับช่วงไป
อย่าแบกภาระไว้ในใจเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้น ก็คือ เมื่อปล่อยไปแล้ว แม้กิจการจะแย่ลงก็จะต้องตัดใจให้ได้
เพราะถ้าเตรียมใจได้อย่างนี้แต่แรก เมื่อเกษียณไปก็จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
เดียวดาย ท้อแท้ หดหู่ ไร้คุณค่า
วิธีการก็คือ ควรจะบรรจุกิจกรรมไว้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นการนอน
การพักผ่อน ออกกำลังกาย และงานอดิเรก เพื่อไม่ให้เหลือเวลาว่างชนิดที่ไม่รู้จะทำอะไร
ซึ่งจะทำให้เบื่อตัวเอง
สำหรับงานอดิเรกที่ทำก็ควรเป็นกิจกรรมที่เบาสมอง เช่น เข้ากลุ่มสโมสร มูลนิธิหรือกลุ่มต่าง
ๆ เขียนหนังสือ หรือสนทนากับพระตามวัดต่าง ๆ เพื่อให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวอย่างกระฉับกระเฉงและให้ใจได้สงบด้วย
จึงไม่ควรไปเริ่มลงทุนธุรกิจใหม่ ซึ่งจะนำปัญหามาให้ขบคิดอีกต่อไป
สิ่งเหล่านี้ คือ สิ่งที่เฉกทำและเตรียมใจมาก่อนแล้ว จะเห็นว่าเขาเริ่มต้นกิจวัตรประจำวันด้วยการออกกำลังกายโดยวิ่งเหยาะๆ
4 กม. แล้วเข้าห้องยิมอีกประมาณ 25 นาที รวมทั้งโยคะท่าไหล่ตั้งและหัวตั้ง
จากนั้นก็ว่ายน้ำอีกราว 25 นาทีด้วยวิธีกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นประจำอาทิตย์ละ
5 วัน นอกจากนั้น ก็หาเวลาไปนอนตามวัดป่าเป็นการสงบสติอารมณ์ และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานพิจารณาตัวเองพร้อมทั้งเขียนหนังสือ
และสนทนาธรรม
จนทำให้เฉกมีความเป็นหนุ่มกระชุ่มกระชวยอยู่เสมอ ความคิดความอ่านก็ดียิ่งขึ้นกว่าเก่าและเข้าใจตัวเองดีขึ้น
ตัดความไม่สบายใจได้ดีกว่าอดีตอย่างได้ผล
พร้อมกันนี้ ก็ทำให้มีผลงานหนังสือขายดีเป็นเทน้ำเทท่าให้เราได้อ่านกัน
การใช้ชีวิตหลังเกษียณของเฉกจึงเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจไม่น้อย..!