|

คนหุ้นจี้เลิกพรก.ฉุกเฉิน-ดัชนีพุ่ง20จุดไล่ 'สมัคร'
ผู้จัดการรายวัน(9 กันยายน 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
ดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดแรงเกือบ 20 จุด ตามตลาดหุ้นเอเชีย หลังทางการสหรัฐฯ อุ้ม "เฟรดดี แมค - แฟนนี เม" ท่ามกลางกระแสข่าวศาลรัฐธรรมนูญสั่งฟัน "สมัคร" ขาดคุณสมบัตินายกฯ และยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินเร็วๆ นี้ แม้ต่างชาติยังขายสุทธิ 1.2 พันล้านบาท ขณะที่สภาธุรกิจตลาดทุนไทย จี้รัฐประกาศยกเลิกด่วน พร้อมเสนอแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีโดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนใน-ต่างประเทศ "ประเสริฐ" ลั่น หากการเมืองยืดเยื้อ เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลกระทบกำไรบจ.ครึ่งปีหลังทรุด จาก6เดือนแรกเติบโตดี
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (8 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคที่ได้รับผลดีจากการที่ทางการสหรัฐฯ ประกาศมาตรการเข้าช่วยเหลือสมาคมการจำนองแห่งชาติรัฐบาลกลาง (แฟนนี เม) และบรรษัทจำนองสินเชื่อบ้านของรัฐบาลกลาง (เฟรดดี แมค) ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลปัญหาสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์)
ขณะที่ ปัจจัยบวกภายในประเทศ คือ เรื่องของการเมืองที่หลายฝ่ายคาดการณ์รัฐบาลจะประกาศเลิกใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิก (พรก.ฉุกเฉิน) ในเร็ววันนี้ รวมถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัยคดีของนายสมัคร สุนทรเวช เป็นพิธีการดำเนินรายการ "ชิมไปบ่นไป" จะเข้าข่ายขาดคุณสมบัติหรือไม่ ในวันนี้ (9 ก.ย.) ที่การพิพากษาคดี
จากปัจจัยดังกล่าวได้สงผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทันทีตั้งแต่เปิดการซื้อขาย โดยดัชนีแตะระดับต่ำสุดที่ 653.00 จุด ก่อนจะเด้งขึ้นแตะระดับสูงสุดและปิดการซื้อขายที่ 665.66 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 19.86 จุด หรือคิดเป็น 3.08% มูลค่าการซื้อขายรวม 12,295.84 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิ 1,243.28 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 711.89 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,955.18 ล้านบาท
เสนอยกเลิกพ.ร.บ.ฉุกเฉิน
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (สธท.) เปิดเผย ภายหลังการหารือร่วมกัน 6 องค์กรตลาดทุน คือ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า องค์กรทั้ง 6 แห่งมีความเห็นร่วมกันที่จะเสนอให้รัฐบาลยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากใช้แล้วไม่เกิดประโยชน์และหมดความจำเป็นแล้ว เพราะพรก.ฉุกเฉินทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
"หากยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินได้เร็ว จะเป็นเรื่องที่ดีและลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยต้องการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้หาแนวทางแก้ไขปัญหาทางการเมืองโดยเร็ว เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ หากแก้ไขได้ล่าช้า ปัญหาจะขยายวงกว้างขวางและจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การลงทุนในประเทศ และทางที่ดีควรจะแก้ด้วยสันติวิธี ไม่มีความรุนแรง และคำนึงถึงประเทศชาติเป็นหลัก"
สำหรับผลการสำรวจความคิดเป็นบริษัทจดทะเบียนประมาณ 100 แห่ง ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม - ต้นกันยายนที่ผ่านมา ผู้บริหารบจ. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ 5% โดยมีความกังวลเรื่องการเมืองเป็นหลัก จากเดิมที่กังวลเรื่องราคาน้ำมันที่กดดันให้อัตราเงินเฟ้อ และราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น
"ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาลบต่างๆ ทั้งซับไพรม์ ทางการเมืองในประเทศ ที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากหลังจากพ.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ ที่อาจจะส่งผลต่อเนื่องถึงผลประกอบการบจ.อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นหากมีโอกาส สธท. จะเสนอผลการหารือร่วมกันต่อรัฐบาล เพื่อคลี่คลายปัญหาโดยเร็ว หากการเมืองยืดเยื้ออกไปอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น ขยายวงถึงภาพรวมเศรษฐกิจ เพราะตลาดหุ้นถือเป็นแหล่งระดมทุนขนาดใหญ่"
นายประเสริฐ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เท่านั้น แต่จะกระทบต่อคนจำนวนมาก จากประชาชนที่ลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน เช่น ผู้ที่ถือหน่วยลงทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวม ฯลฯ รวมมีประชาชนถือหน่วยลงทุนกว่า 10 ล้านคน ที่จะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม
มูลค่าตลาดหดหาย 25%
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 51 ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลง 27% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ลดลง 25% หลังจากมีการชุมนุมคัดค้านทางการเมืองทำให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยลดลงวันละ 18,000 ล้านบาท เหลือประมาณ 10,000 ล้านบาท
"เอกชนต้องการให้คลี่คลายปัญหาการเมืองโดยเร็ว รวมถึงยกเลิกพ.ร.บ.ฉุกเฉิน ที่จะมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริการกองทุนต่างประเทศที่จะเดินทางมาร่วมงานไทยแลนด์โฟกัส ปี 2551 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 17 -19 กันยายนนี้"
วอลุ่มตลาดสูญกว่า 7 พันล./วัน
นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกมาจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังไม่กระทบต่อบริษัทหลักทรัพย์มากนัก จากมูลค่าการซื้อขายปรับตัวลดลงเฉลี่ยวันละประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท แต่หากปัญหาทางการเมืองยืดเยื้อออกไปอีกหลายเดือน จะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทหลักทรัพย์ ดังนั้นสมาคมโบรกเกอร์จึงหวังว่าการเมืองจะไม่ยืดเยื้อไปกว่านี้
นายวิชา พูลวรลักษณ์ นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กล่าวว่า ภาคธุรกิจต้องการให้ปัจจัยทางการเมืองมีความชัดเจน หากยืดเยื้อจะกระทบต่อนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงต้องการให้ปัญหาทางการเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดี
หวั่นกำไรบจ.ไม่ถึงเป้า
ด้านนางภรณี ทองเย็น กรรมการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ได้ปรับลดดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงเหลือ 825 จุด จากเดิมที่ 900 จุด และคาดการณ์อัตรากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้น 21% จีดีพีโต 5%
"หากปัจจัยทางการเมืองยืดเยื้อ จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตกำไรสุทธิของบจ. อาจไม่ถึง 21% แต่หากปัญหาการเมืองจบเร็ว จะทำให้กำไรสุทธิบจ.เติบโตในระดับดังกล่าวได้ และเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ"
นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กล่าวว่า ขณะนี้ธุรกิจกรรมบลจ.ยังไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางการเมือง เพราะผลประกอบการยังมีการเติบโตที่ดี แม้จะปรับตัวลดลงประมาณ 15% แต่ต่ำกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ลดลง 21% ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงเข้ามาซื้อหน่วยลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลง
ลุ้น"สมัคร"ขาดคุณสมบัตินายกฯ
นายชัย จีรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์นักลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับใกล้เคียงกับตลาดหุ้นเอเชียที่ประมาณ 3-5% จากข่าวการแก้ปัญหาแฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ของทางการรัฐบาลสหรัฐฯ บวกกับราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวสูงสุดจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน PTT, PTTEP และหุ้นกลุ่มธนาคาร
ส่วนแนวโน้มวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นจะยังคงผันผวน โดยมีแนวรับที่ 655 แนวต้านที่ 673-680 จุด ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ การพิจารณาคดีขาดคุณสมบัตินายสมัคร ของศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก (โอเปก)
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือSYRUS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการเข้ามาเก็งกำไรข่าวการพิจารณาคดีของนายสมัคร ที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าศาลจะวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บวกกับตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับแนวโน้มวันนี้ ตลาดหุ้นไทยยังไม่แน่นอน นักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน โดยให้แนวรับที่ 655-660 จุด แนวต้านที่ 667-674 จุด โดยต้องจับตาคดีความของนายสมัคร ที่จะมีการชี้ขาดวันนี้
ตลาดหุ้นเอเชียเด้งรับข่าวดี
ด้านความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกตลาดตามทิศทางตลาดหุ้นวอลล์สตรีท หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ มีมาตรการช่วยเหลือสมาคมการจำนองแห่งชาติรัฐบาลกลาง (แฟนนี เม) และบรรษัทจำนองสินเชื่อบ้านของรัฐบาลกลาง (เฟรดดี แมค) ที่ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลปัญหาสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์)
โดยดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดตลาดเกือบทั้งกระดาน หลังจากที่ดัชนีนิกเกอิดิ่งลงกว่า 345 จุดเมื่อวันก่อน ทั้งนี้ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะระดับสูงสุดระหว่างวันที่ 12,671.76 จุด และปิดที่ 12,624.46 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 412.23 จุด หรือคิดเป็น 3.38% ปริมาณการซื้อขายรวม 1.97 พันล้านหุ้น ลดลงจากวันก่อนที่ 2.28 พันล้านหุ้น
"ดัชนีนิกเกอิพุ่งขึ้นอย่างแรงวานนี้ เป็นผลจากรัฐบาลสหรัฐฯ เข้าเทกโอเวอร์กิจการของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ช่วยคลายความกังวลปัญหาซับไพรม์ แต่คาดว่าตลาดคงไปได้ไม่แรงมากนัก และเร็วๆ นี้ คงไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 13,000 จุดได้" นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าว
ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็ง ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน หลังนักลงทุนมั่นใจว่าวิกฤตการเงินสหรัฐฯ สามารถอยู่ในการควบคุมของทางการสหรัฐฯ ได้แล้ว โดยดัชนีฮั่งเส็ง ปรับตัวเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 20,637.99 - 20,840.69 จุด และปิดการซื้อขายที่ 20,794.27 จุด เพิ่มขึ้น 860.99 จุด คิดเป็น 4.32% มูลค่าการซื้อขาย 6.84 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง (หรือประมาณ 8.77 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ส่วนตลาดหุ้นไต้หวัน ดัชนีเวทเต็ดปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในกรอบ 6,548.36-6,668.45 จุด และปิดที่ 6,658.69 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 351.41 จุด หรือคิดเป็น 5.57% มูลค่าการซื้อขาย 8.27 หมื่นล้านดอลลาร์ไต้หวัน ขณะที่ดัชนีเซี่งไฮ้ ของจีน ปิดที่ 2,143.42 จุด ลดลง 59.03 จุด หรือคิดเป็น 2.68% มูลค่าการซื้อขาย 2.76 หมื่นล้านหยวน
ดัชนีคอมโพสิต ตลาดหุ้นเกาหลี ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 5.15% แตะที่ระดับ 1,476.65 จุด ซึ่งถือเป็นสถิติการปรับตัวขึ้นสูงสุดภายในรอบ 1 ปี
ดัชนีสเตรทส์ไทม์ สิงคโปร์ ปิดที่ 2,694.49 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 120.28 จุด หรือคิดเป็น 4.67% ปริมาณการซื้อขาย 971.4 ล้านหุ้น มูลค่าการซื้อขาย 1.59 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์
ตลาดหุ้นมาเลเซีย ดัชนีคอมโพสิตปิดตลาดที่ระดับ 1,075.93 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 5.39 จุด เปลี่ยนแปลง 0.5% ขณะที่ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ปิดที่ระดับ 2,728.53 จุด เพิ่มขึ้น 3.81 จุด หรือ 0.1%
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|