ปตท.เลื่อนขายหุ้นกู้หมื่นล.เซ่นพรก.ฉุกเฉิน-ดบ.ขาขึ้น


ผู้จัดการรายวัน(9 กันยายน 2551)



กลับสู่หน้าหลัก

กลุ่ม ปตท. เลื่อนขายหุ้นกู้ 1 หมื่นล้านบาท จากกำหนดเดิมไตรมาส 3-4 นี้ หลังรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉุดความมั่นใจต่างชาติไม่กล้าซื้อหุ้นกู้ บวกกับดอกเบี้ยขาขึ้นส่งผลให้ต้นทุนสูง ด้านผู้บริหาร "ประเสริฐ" ยันสภาพคล่องสูง ไม่กระทบแผนการลงทุน ขณะที่กำไรไตรมาส 3/51 ลดลงจากไตรมาส 2/51 จากราคาน้ำมันปรับตัวลดลง แม้ยอดขายทั้งปีแตะ 2 ล้านล้านบาท

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า บริษัทกลุ่มปตท.ได้เลื่อนแผนการออกหุ้นกู้มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท ออกไป จากเดิมที่จะออกในไตรมาส 3-4 ปีนี้ เนื่องจากปัญหาทางการเมืองมีการประกาศบังคับใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้นักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น หากมีการเสนอขายหุ้นกู้อาจจะทำให้ไม่ได้รับความสนจาจากนักลงทุนต่างชาติ และจากการที่อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงส่งผลทำให้ต้นทุนการออกหุ้นกู่จะอยู่ในระดับสูง จึงไม่คุ้มที่จะออกหุ้นกู้ในช่วงนี้

จากการเลื่อนแผนการเสนอขายหุ้นกู้ออกไปในครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนของบริษัท เพราะบริษัทมีกระแสเงินสดที่เพียงพอในการดำเนินงาน และหากมีการกู้เงินจากสถาบันการเงินในประเทศจะส่งผลให้สถาพคล่องของของสถาบันการเงินลดลง จึงต้องการให้การเมืองคลี่คลายเพื่อที่จะมีการระดมทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ โดยแผนการลงทุนของกลุ่มปตท.รวมกันประมาณ 1 แสนล้านบาทในช่วง 5 ปี จะยังคงเดินหน้าต่อไปตามแผนงาน

"กลุ่มปตท. ได้มีการเลื่อนขายหุ้นกู้ออกไปจากปัญหาทางการเมือง ส่งผลนักลงทุนต่างชาติไม่เชื่อมั่น ซึ่งหุ้นกู้ดังกล่าวจะมีการขายแก่นักลงทุนต่างประเทศ หากยังคงมีการขายหุ้นต่อไป นักลงทุนต่างชาติจะไม่สนใจที่มีการเข้ามาซื้อ บวกกับการที่ดอกเบี้ยมีการปรับตัวสูงขึ้น จึงทำให้ไม่น่าสนใจที่จะมีการออก แต่หากบริษัทมีการก็เงินหรือขายในประเทศจะทำให้สภาพคล่องภายในประเทศลดลง" นายประเสริฐ กล่าว

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการดำเนินงานในไตรมาส 3/51 นี้ กลุ่มปตท.คาดว่าจะปรับตัวลงจากไตรมาส 2/51 เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจาก 130-140 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 2 มาอยู่ต่ำกว่า 110 เหรียญ/บาร์เรลในปัจจุบัน ทำให้บางบริษัทประสบผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน แต่จากการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าจะส่งผลดีต่อการบันทึกบัญชีที่เป็นรูปเงินบาท แต่รายได้รวมของบริษัทปีนี้ คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2 ล้านล้านบาท แต่กำไรสุทธิคงใกล้เคียงกับปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 113,557.07 ล้านบาท

ส่วนเรื่องการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า บริษัทขอรอประเมินราคาน้ำมันตลาดโลก 1-2 วัน ถึงทิศทางราคาน้ำมันดิบยังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ก่อนที่จะตัดสินใจในการปรับลดราคาขายปลีกในประเทศ ซึ่งหากราคาน้ำมันดิบไม่ลดลง ปตท.จะยังคงตรึงราคาน้ำมันต่อไป เพราะที่ผ่านมา ปตท.ได้ปรับลดราคาน้ำมันมาแล้วถึง 20 ครั้ง รวมประมาณ 10 บาทต่อลิตร ตามราคาน้ำมันตลาดโลกที่ลดลงจาก 134 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มาที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล

ทั้งนี้จากค่าเงินบาทอ่อนค่าลง มีผลทำให้ต้นทุนนำเข้าน้ำมันแพงขึ้น โดยเงินบาทที่อ่อนค่าทุก 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ต้นทุนนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้น 60-70 สตางค์ต่อลิตร ประกอบกับโอเปกที่จะมีการประชุมฉุกเฉินในวันพรุ่งนี้ (9 ก.ย.) น่าจะมีมติลดกำลังการผลิตลง เพื่อดันให้ราคาน้ำมันเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เชื่อว่าคงจะลดปริมาณการผลิตไม่มากนัก และคงทำให้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

ด้านราคาก๊าซแอลพีจี ขณะนี้ ปตท.รับภาระแทนรัฐบาลจากส่วนต่างราคานำเข้ากับขายประเทศประมาณ 4,000 ล้านบาท ก็ยังคงยืนยันทั้งปีรับภาระไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ส่วนการขึ้นราคาแอลพีจี ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า

สำหรับความคืบหน้าโครงการจัดซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการเงินนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาซื้อหุ้นคืน ยังไม่ได้ข้อสรุป และยืนยันว่าแนวคิดการซื้อหุ้นคืนของบริษัทไม่ได้เป็นการสร้างราคาหุ้นแต่อย่างไร

ขณะที่ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น PTT วานนี้ (8 ก.ย.) ปรับตัวเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยมีราคาต่ำสุดที่ 242 บาท ก่อนจะปิดที่ระดับสูงสุดหุ้นละ 248 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 8 บาท หรือคิดเป็น 3.35% มูลค่าซื้อขายสูงสุดติดอันดับหนึ่งที่ 1,450.85 ล้านบาท


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.