ชื่อเสียงของ "โกดัก" เมื่อ 10 ปีก่อนโด่งดังและเป็นที่น่าเกรงขามสำหรับวงการตลาดฟิล์มเป็นอย่างยิ่ง
เพราะความเป็นยักษ์อันดับ 1 ที่ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างฟูจิได้หลายช่วงตัว
ด้วยส่วนแบ่งตลาดฟิล์มสีสูงถึง 80% ส่วนแบ่งตลาดที่สูงขนาดนี้น่าจะเป็นการยากที่คู่แข่งจะเอาชนะหรือเทียบเคียงได้ง่าย
จะว่าไปแล้วความสำเร็จของโกดักที่เกิดขึ้นมาได้ในช่วงนั้นเพราะส่วนหนึ่งมาจากฝีมือผู้บริหารของคนไทยคนหนึ่ง
คือ "ณรงค์ จิวังกูร" ขณะนั้นเขามีตำแหน่งเป็นเพียง "ผู้จัดการฝ่ายการตลาด"
เท่านั้น
ณรงค์ เข้ามาทำงานในโกดักประเทศไทยเมื่อ 27 ปีที่แล้ว ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายโฆษณาหลังจากลาออกจากบริษัทโคคา-โคลาเอ็กซ์ปอร์ต
คอร์ปอเรชั่นในปีเดียวกันและได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเรื่อย ๆ จากหัวหน้าฝ่ายมาเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลและฝึกอบรม
แล้วจึงขยับมาอยู่ที่ฝ่ายขายผลิตภัณฑ์การถ่ายภาพเพียงแค่ปีเดียวในฝ่ายขาย
ณรงค์ก็ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นผู้จัดการฝ่ายดูแลผลิตภัณฑ์ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์การถ่ายภาพ
ฟิล์มภาพยนตร์ กราฟิกอาร์ตและเครื่องมือแพทย์
5 ปี สำหรับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายที่ดูแลผลิตภัณฑ์ที่เป็นตัวทำรายได้หลักให้กับบริษัทเป็นอย่างมากนี้เอง
ทำให้ณรงค์ซึ่งในเวลานั้นมีบทบาทและอำนาจความสำคัญเป็นที่สอง รองจากผู้จัดการทั่วไปซึ่งเป็นผู้บริหารต่างชาติที่บริษัทแม่ส่งเข้ามาดูแลในเมืองไทย
แต่การฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของคู่แข่งจากญี่ปุ่น (ฟูจิ) ช่วงครึ่งหลังทศวรรษ
80 ในตลาดโลก (รวมตลาดอเมริกาด้วย) ขณะที่โกดักเริ่มถดถอยลงหลังจากการขยายตัวออกไปยังสาขาการผลิตอื่น
ๆ ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมหลักของตนเริ่มประสบความล้มเหลว ทำให้การประกอบธุรกิจของโกดัก
ในหลาย ๆ ภูมิภาคของโลกเริ่มถดถอยตามไปด้วย
ค่ายญี่ปุ่นและยุโรป ออกตีตลาดทั่วโลก ฟูจิ อั๊กฟ่า คืบคลานขยายตลาดโลกโดยเฉพาะค่ายญี่ปุ่นถึงขนาดไปตั้งรกรากในอเมริกาตีตลาดโดยเฉพาะ
และได้รับความสำเร็จไปแล้วเป็นบางจุด
จะเหลือก็แต่ตลาดเมืองไทยที่ญี่ปุ่นยังไม่เข้ามาเอาเป็นเอาตายในบ้านเรา
ซึ่งเวลานั้นฟูจิยังคงพึ่งบอร์เนียวให้เป็นตัวแทนจำหน่ายให้ ก็นับว่ายังเป็นโชคดีของณรงค์อยู่ในช่วงนั้น
อย่างไรก็ตามโกดักก็ยังคงรักษาแชมป์ของตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การสร้างแคมเปญส่งเสริมการขายโดยเจาะกลุ่มย่อย
เช่น จับงานรับปริญญา เทศกาลต่าง ๆ ตลาดท่องเที่ยว เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีแคมเปญชิงโชคซึ่งเป็นรายการยอดนิยมของคนไทย
ผลงานของณรงค์ที่เมืองไทย ทำให้บริษัทแม่เรียกณรงค์เข้ามาเป็นกรรมการบริหาร
ฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ร้านค้าปลีกที่โรเชสเตอร์ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาเพื่อเตรียมตัวก่อนที่จะถูกส่งไปเป็นผู้จัดการทั่วไป
(COUNTRY MANAGER) คุมกิจการที่อินโดนีเซียและเคนยา
โดยเฉพาะเคนยา ด้วยความที่เป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตจากพืชไร่ เช่น กาแฟและชามากกว่าการท่องเที่ยว
การวางโครงสร้างพื้นฐานทางการตลาดเพื่อการเติบโต จึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก
เพราะเคนยามีตลาดฟิล์มที่เล็กมาก มีมูลค่าเพียง 10% ของมูลค่าตลาดฟิล์มในประเทศไทยเท่านั้น
คือ ประมาณ 200 ล้านบาท (เมื่อวัดจากขนาดตลาดฟิล์มในไทย 2000 ล้านเมื่อปีที่แล้ว)
ณรงค์ใช้เวลา 3 ปีในเคนยา เขาสามารถวางพื้นฐานการเติบโตได้สำเร็จ โกดักเป็นผู้นำตลาดฟิล์มในเคนยาแล้วในขณะนี้
สำหรับตลาดเมืองไทยวันนี้ แม้ว่าโกดักจะเป็นยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดอันดับ
1 ไว้ได้ก็ตาม แต่คู่แข่งในเวลานี้ก็ใช่ย่อย "ฟูจิ" ได้สร้างความหนักใจให้กับโกดักอย่างมากมาย
เพราะอัตราส่วนการครองตลาดที่เคยห่างกันหลายช่วงตัว นับวันก็ยิ่งเหลือช่องว่างน้อยลง
จากแหล่งข่าวในบริษัทฟูจิกล่าวว่า ฟิล์มสีฟูจิสามารถขยับส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ มาถึงที่ประมาณ 40% ของมูลค่าตลาดรวมแล้ว
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ฟูจิยกเลิกตัวแทนขายจากบอร์เนียวโดยหันมาตั้งบริษัทสาขาในเมืองไทยและลงมือบุกตลาดอย่างจริงจัง
โดยการสร้างแคมเปญส่งเสริมการขายพร้อมงบประชาสัมพันธ์และกระหน่ำโฆษณาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อความพร้อมในการสู้กับโกดักโดยได้รับแรงสนับสนุนจากบริษัทแม่ส่งให้เต็มกำลังหนุนเช่นนี้
ฟูจิมีเป้าหมายที่จะเอาชนะโกดักจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นตลาดที่ยอมรับในคุณภาพและการขยายตัวอย่างรวดเร็วของจุดขาย
รวมถึงบุคลากรของฟูจิที่มีทีมงานเป็นหนุ่มสาวไฟแรงและมีความเมามันที่จะเอาชนะแชมป์ให้ได้ตามที่ตั้งเป้าภายใน
3 ปี
ปัจจัยดังกล่าวเป็นตัวเร้าที่ทำให้บริษัทแม่ต้องตัดสินใจเสียแล้วว่า การที่เมืองไทยยังเป็นประเทศเดียวที่เหลืออยู่สำหรับแชมป์ตลาดฟิล์มนั้น
จะต้องทำอย่างไรเพื่อรักษาอันดับและชิงส่วนแบ่งการตลาดให้คงเดิมเหมือนเช่นเมื่อ
10 ปีก่อนให้ได้
นั่นคือ การกลับมาของณรงค์ จิวังกูรในมาดของผู้จัดการประจำประเทศไทยที่โกดักในนิวยอร์กส่งมาเพื่อสร้างการ
"ฟื้นตัว" ของธุรกิจโกดักในเมืองไทยโดยเฉพาะ