Marketing Click...รายได้จากโฆษณา...ความลวงจากฟองสบู่

โดย ดร.ภิเษก ชัยนิรันดร์
นิตยสารผู้จัดการ( กันยายน 2551)



กลับสู่หน้าหลัก

การทำเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จนั้น สิ่งแรกที่ต้องคิดและสำคัญอย่างยิ่งก็คือว่า "คุณจะหาเงินจากเว็บไซต์ที่คุณทำนั้นในรูปแบบใด" ที่จริงมันเป็นคำถามที่ดูพื้นๆ เสียจนกระทั่งดูไม่สลักสำคัญอะไร แต่ลองมาพิจารณากราฟแสดงรูปแบบของรายได้จากเว็บไซต์ยอดนิยม 30 อันดับแรกของประเทศไทย (จากการจัดอันดับของ www.truehits.net วันที่ 5 สิงหาคม 2551) แล้วคุณจะพบข้อมูลที่ทำให้คุณอาจจะอึ้ง

มีเว็บไซต์ถึง 24 ราย ที่มีรายได้ จากค่าโฆษณา ขณะที่เว็บไซต์ที่มีรายได้จากค่าสมาชิกมีเพียง 5 ราย รายได้จากการคลิกโปรแกรมการเชื่อมโยง (Affiliated Program) มี 4 ราย ส่วนเว็บไซต์ที่มีรายได้ จากการขายสินค้าและบริการมีเพียง 3 ราย เท่านั้น ที่ร้ายกว่านั้นคือไม่มีเว็บไซต์ยอดนิยมใดเลยที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียม (หมายเหตุ: บางเว็บไซต์มีรูปแบบของรายได้มากกว่า 1 รูปแบบ)

ข้อมูลนี้บอกเราว่า เว็บไซต์ยอดนิยม เหล่านั้นล้วนแต่หวังรายได้จากการโฆษณา กันเสียแทบทั้งสิ้น

ด้วยเว็บไซต์ยอดนิยมเป็นดังนี้ ทำให้ หลายๆ คนตั้งหน้าตั้งตาทำเว็บไซต์ เพียงหวังว่าจะแสวงหารายได้จากค่าโฆษณาได้อย่างเว็บไซต์เหล่านั้นบ้าง เรียกได้ว่าพยายามลอกเลียนแบบ เดินตามรอยเท้าแห่งความสำเร็จนั้นอย่างไร้ทิศทาง

เพียงเพื่อจะพบว่า...รายได้ที่คาดหวังนั้นเป็นเพียงความลวงบนฟองสบู่ที่ไม่เพียงพอต่อความอยู่รอดในโลกออนไลน์

ผมสำรวจเว็บไซต์ยอดนิยม 30 อันดับแรกนั้นทีละเว็บไซต์ ทำให้พอจะสรุป ภาพทั่วไปของการทำเว็บไซต์ได้ดังต่อไปนี้ :

(1) เว็บไซต์ต่างๆ แทบจะไม่มีความแตกต่างกันในส่วนของเนื้อหาและบริการที่จัดไว้ให้ ทั้งนี้โดยส่วนใหญ่มุ่งจะเป็นเว็บท่า (Portal Site) ซึ่งหมายถึง เว็บไซต์ที่เป็นศูนย์รวมของเนื้อหาและบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าว อีเมล ฟังเพลง คลิปวิดีโอ เกม อัลบัมรูป และอื่นๆ เมื่อพิจารณาลักษณะของเนื้อหาและบริการ (Content) นั้นเป็นเพียงไปรวบรวมมาจาก แหล่งอื่นๆ ไม่ได้มีความเป็นเจ้าของเนื้อหา นั้นด้วยตนเอง ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้ยิ่งง่ายต่อการเลียนแบบ ผู้นำของเว็บไซต์กลุ่มนี้ได้แก่ www.sanook.com, www. kapook.com, www.mthai.com

เท่าที่ผมพบคือว่าโฆษณานั้นจะมีมากสำหรับเว็บไซต์ในลำดับต้นๆ ส่วนเว็บไซต์ลำดับท้ายๆ ของเว็บไซต์ยอดนิยม กลับมีโฆษณาไม่มากนัก ทั้งๆ ที่มีจำนวนผู้เข้ามายังเว็บไซต์ไม่ต่ำกว่าแสนคน อย่าง กรณีของ www.thaiza.com ที่อยู่อันดับที่ 26 และ www.siamha.com อันดับที่ 30

ภาพแบบนี้บอกเล่าว่า ใครตั้งใจอยากจะทำเว็บท่าละก็ ต้องเหนื่อยมากกว่าจะฝ่าฟันเข้ามาอยู่ในระดับหัวแถวและยิ่งจะเหนื่อยหนักกว่าเดิม หากรูปแบบของ การหารายได้นั้นหวังเพียงแค่โฆษณาเพียงอย่างเดียว

ศาสตราจารย์ไมเคิล อี พอร์เตอร์ อาจารย์ด้านกลยุทธ์ชื่อก้องโลก จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้กล่าวเตือนถึงปัญหานี้ในหนังสือ Strategy and the Internet ว่า "บริษัทดอทคอมจะต้องไม่ตกลงไปในหลุมพรางของการลอกเลียนแบบกิจกรรม หรือเนื้อหาของบริษัทที่ตั้งขึ้นก่อนแล้ว การเพิ่มกิจกรรมธรรมดาๆ เข้าไปอย่างง่ายๆ นั้นตามแบบอย่างของบริษัทอื่นๆส่วนมากในตลาด ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ก่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันแต่อย่างใด ดังนั้น บริษัทดอทคอมจำเป็นจะต้องสร้างกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับห่วงโซ่คุณค่าที่เกิดขึ้นใหม่..." ทั้งนี้ ศาสตราจารย์ยังกล่าวถึงลักษณะที่จะทำให้บริษัทดอทคอมประสบความสำเร็จว่า "จะต้องมีกลยุทธ์ที่โดดเด่น และไม่เหมือนใคร โดยมีพื้นฐานอยู่บนจุดหมายที่ชัดเจนและข้อได้เปรียบที่มีประโยชน์เป็นหลัก"

สรุปสั้นๆ จากคำกล่าวของศาสตราจารย์ไมเคิล อี พอร์เตอร์ คือว่า บริษัทดอทคอมที่จะประสบความสำเร็จนั้นจะต้องแสวงหาความแตกต่างจากบริษัท อื่นๆ ให้เจอ ซึ่งจากการสำรวจเว็บไซต์ยอดนิยม 30 อันดับแรก ดูเหมือนว่าแทบทุกเว็บไซต์จะเหมือนๆ กันหมด ทำให้ผมเสียดายจำนวนคนเข้าแต่ละเว็บไซต์ที่มหาศาลขนาดนั้น แต่กลับแสวงหารายได้ไม่มากเมื่อเทียบกับศักยภาพที่ตนเองมีอยู่

(2) แต่ในความมืดมิดก็มีแสงสว่าง เพราะจากเว็บไซต์ยอดนิยม 30 อันดับแรก นั้น มีบางเว็บไซต์ที่สร้างตนเองให้โดดเด่นออกมา คงไม่เป็นการเกินเลยไปนักหากจะนับรวมไปถึง www.manager.co.th ของเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 4 ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของเว็บไซต์ นี้คือการให้ข้อมูลข่าวสารในด้านต่างๆอย่างครบถ้วนและมีการอัพเดตเนื้อข่าวอย่างรวดเร็ว ที่ www.manager.co.th ทำได้เช่นนี้ก็เพราะมีฐานจากนักข่าวของตนเองในสื่ออื่นๆ ทำให้เนื้อหาที่สร้างขึ้นนั้นแตกต่างจากข่าวสารในเว็บไซต์อื่นๆ ที่ไปเอาข่าวจากหนังสือพิมพ์ต่างๆ และด้วยความที่เป็นเจ้าของเนื้อหาเอง ทำให้ www.manager.co.th สามารถแสวงหารายได้จากค่าสมาชิกผู้จัดการรายวันฉบับ PDF ที่คิดค่าบริการปีละ 3,675 บาท

ซึ่งรูปแบบของการแสวงหารายได้ในส่วนนี้ไม่ต่างจาก www.siamsport.com ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 23 ที่มีฐานจากหนังสือ พิมพ์และนิตยสารในเครือสยามกีฬา เปิดรับสมาชิก Online Magazine ซึ่งผู้เป็นสมาชิกสามารถอ่านนิตยสารออนไลน์ได้ถึง 14 เล่ม ในราคาเพียงเดือนละ 90 บาทจะเห็นว่าทั้งสองเว็บไซต์พยายามเอาเนื้อหา ที่ตนเองสร้างมาอยู่ในรูปของดิจิตอลแล้วนำมาแสวงหารายได้ ซึ่งเมื่อเทียบต้นทุนการผลิตซ้ำแทบจะเท่ากับศูนย์เมื่อเทียบกับ สื่อหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารเดิมที่มีอยู่และถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

บางเว็บไซต์อาศัยผู้อ่านเข้ามาสร้าง เนื้อหา (Users' Generated Content) ทำให้มีความแตกต่างจากเว็บไซต์อื่นๆ อย่าง www.dek-d.com อยู่ในอันดับ 6 ที่โดดเด่นอย่างมากในเรื่องนิยายที่ทางบ้านส่งมาให้คนอื่นได้อ่านกันเป็นหมื่นๆ เรื่อง และมีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจนตีพิมพ์เป็นหนังสือถึงกว่า 725 เล่ม (นับถึง ปัจจุบัน) รวมไปถึงสาระความรู้ต่างๆ อีกมากมาย ทำให้เนื้อหาที่ปรากฏบนเว็บไซต์ ไม่ซ้ำใคร แต่เนื่องจากเนื้อหานั้นไม่ใช่ของเว็บไซต์จัดทำขึ้นมาเอง จึงไม่สามารถนำเอาเนื้อหาดังกล่าวไปแสวงหารายได้ในทางอื่นได้

ตัวอย่างข้างต้น ผมหยิบยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการเป็นเจ้าของเนื้อหา เพราะหากคุณเน้นแต่ไปลอกเนื้อหาจากที่อื่น ถึงแม้แหล่งที่มาของเนื้อหานั้นจะยินยอม ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างจากเว็บไซต์อื่นๆ เลย ส่งผล ให้เกิดข้อจำกัดในการแสงหารายได้ จนต้องไปหวังพึ่งพากับรายได้จากโฆษณาอย่างเดียว

(3) นอกจากนี้เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาในรูปแบบของเกมออนไลน์ ถือว่ามาแรงมากๆ อย่าง www.asiasoft.co.th อันดับที่ 15 และ www.gg.in.th อันดับที่ 16 โดยส่วนใหญ่ไม่ได้มีรายได้จากตัวเว็บไซต์โดยตรง แต่จะเป็นในรูปของรายได้จากค่าสมาชิกที่ผู้ประสงค์จะเล่นเกมออนไลน์จะต้องชำระก่อนที่จะเข้าไปเล่นได้ จะเห็น ว่าเนื้อหาหลักของเว็บไซต์เหล่านี้คือตัวเกมนั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการนำเข้ามา จากต่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศ เกาหลี มีน้อยมากที่จะเป็นเกมของไทย

(4) ที่น่าสนใจอีกประการก็คือ มีเว็บไซต์ที่เน้นการขายสินค้าและบริการน้อยมากคือเพียง 3 เว็บไซต์เท่านั้น ได้แก่ www.sanook.com เว็บไซต์อันดับ 1 ที่มีรายได้ส่วนหนึ่งมาจากการเปิดให้ดาวน์โหลดบริการเสริมต่างๆ ของโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็นริงโทน เกม ธีมตกแต่งมือถือ และอื่นๆ เป็นบริการที่สร้างรายได้ไม่น้อย www.weloveshopping.com เว็บไซต์อันดับที่ 21 เป็นอีกเว็บไซต์หนึ่งที่มีรายได้ จากค่าบริการในการเปิดร้านค้าออนไลน์ ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2551 มีจำนวนร้านค้า ทั้งสิ้น 128,084 ร้านค้า ส่วน www.iget web.com เป็นเว็บไซต์อันดับที่ 24 ให้ บริการเว็บไซต์สำเร็จรูปเพื่อสร้างเว็บไซต์ ส่วนตัว เว็บโฆษณาประชาสัมพันธ์

จะเห็นได้ว่าเว็บไซต์ทั้งสามมีสินค้า และบริการในรูปแบบดิจิตอล (Digital Good) ซึ่งเหมาะกับการขายสินค้าบนออนไลน์อย่างยิ่ง ส่วนร้านค้าออนไลน์ที่ขายสินค้าที่จับต้องได้ (Tangible Good) ไม่พบใน 30 อันดับแรกเลย และเมื่อผมพิจารณาขยายไป 50 อันดับแรก ก็ยังไม่พบอีกเช่นกัน ต่อเมื่อพิจารณาไปถึง 100 อันดับ จึงพบว่ามีเพียง www.mono2u. com ซึ่งขายสินค้า VCD DVD หนังสือ เครื่องสำอาง น้ำหอม และสินค้าอื่นๆ อีกมากมายเท่านั้น

(5) ที่น่าแปลกใจไปกว่านั้นก็คือ เว็บไซต์ที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมในการทำธุรกิจ ไม่มีเลยสักเว็บไซต์ ทั้งๆ ที่ในต่างประเทศเว็บไซต์ที่มีรายได้สูงสุดมาจากค่าธรรมเนียมนี้เอง อย่างกรณีของ www.ebay.com เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับการประมูลสินค้า มีรายได้จากค่าธรรมเนียม อันเกิดจากการซื้อขายที่เกิดขึ้น ทำให้ www.ebay.com มีรายได้กว่า 6,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นอันดับ 6 เมื่อเปรียบเทียบในส่วนของรายได้ โดยความจริงแล้วจากเว็บไซต์ยอดนิยม 30 อันดับแรกนั้นมีเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการประมูลอยู่ 2 รายคือ www.sanook.com และ www.pramool.com ทั้ง 2 เว็บไซต์ ไม่เก็บค่าธรรมเนียมจากการประมูล แต่กลับมุ่งไปยังรายได้จากการโฆษณาแทน ซึ่งผมเองเห็นว่าเมื่อเจ้าตลาดทั้งสองไม่เก็บ ค่าธรรมเนียมเสียแล้ว เว็บไซต์รายใหม่คงยากที่จะหาค่าธรรมเนียมจากส่วนของการประมูลนี้

อย่างไรก็ดี เมื่อผมพยายามดูไปจนถึงอันดับที่ 100 ก็มีเพียงเว็บไซต์เดียวเท่านั้นที่มีรายได้จากค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมนั้นก็คือ www.settrade. com ซึ่งมีค่าธรรมเนียมจากการซื้อขายหุ้นออนไลน์

ในความคิดของผม เว็บไซต์สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการทำธุรกรรมต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะทั้งสะดวกและรวดเร็ว ดังนั้นหากเรามองหาโอกาสใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น การหารายได้จากค่าธรรมเนียม ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันขึ้นอยู่กับมูลค่า เพิ่มของเว็บไซต์นั้นมีมากเพียงพอต่อการยินดีของผู้บริโภคที่จะเสียค่าธรรมเนียมนั้นหรือไม่

หน้าใหม่ทำอย่างไรดีจึงอยู่รอด

แน่นอนว่าหากคุณเป็นหน้าใหม่ที่เข้ามายังธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การที่จะมาหวังว่าจะสร้างเว็บไซต์ท่าเพื่อหวังรายได้จากการโฆษณานั้น เป็นเรื่องที่โอกาสหายนะจะมีมากกว่าโอกาสประสบความสำเร็จ

ผมขอเสนอแนะ 2 วิธีการสำหรับผู้ที่จะเข้าสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่จะทำให้อยู่รอดท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด

(1) หากคุณต้องการมีรายได้จากการโฆษณา ก็ใช่ว่าประตูจะปิดตาย เพียง แต่ต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนทั้งนี้โดยส่วนใหญ่เว็บท่าที่มีอยู่แล้วนั้นจะจับกลุ่มเป้าหมายที่ค่อนข้างเน้นทุกเพศทุกวัย เพียงหวังว่าจะได้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม จะมีคนเข้ามายังเว็บไซต์จำนวน มาก แต่ปัญหาเกิดขึ้นก็คือ ตัวเอเยนซี่หรือ เจ้าของสินค้าที่ต้องการจะลงโฆษณานั้นไม่สามารถกำหนดได้แน่ชัดว่าเว็บไซต์นั้นตรงกลุ่มเป้าหมายของสินค้าหรือบริการ ที่จะโฆษณาหรือไม่ ยิ่งถ้ามีกลุ่มเป้าหมายของสินค้าหรือบริการนั้นแคบ การที่จะลงโฆษณาในเว็บไซต์ที่เน้นลูกค้าทุกกลุ่ม ย่อม ลดทอนประสิทธิภาพของการโฆษณานั้นลง

กรณีเช่นนี้ ผมเคยมีประสบการณ์จริง กล่าวคือผมเคยลองนำแบนเนอร์เว็บไซต์ของผมคือ www.siamfitness.com เป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับสุขภาพไปลงโฆษณา ในเว็บไซต์ที่ให้บริการฟังเพลงออนไลน์แห่งหนึ่งมีคนเข้าติด Top 20 ในขณะนั้น ปรากฏว่าทั้งเดือนมีคนคลิกเข้าเว็บไซต์ ผมเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นเกิดจากคนที่เข้าไปฟังเพลงอาจจะไม่ได้สนใจในเรื่องของการออกกำลังกายและดูแลสุขภาพหรือผมลงโฆษณาผิดกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง

ดังนั้นเว็บไซต์ใหม่ๆ ควรจะตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่า กลุ่มเป้าหมายของตนคือใคร อย่าไปกำหนดเป้าหมายที่กว้างมากนัก คงไม่จำเป็นว่าเว็บไซต์เราจะต้องมีคนเข้ามามากๆ แต่ไม่มีรายได้ใดเลย ผมตรวจสอบเว็บไซต์ยอดนิยม 30 อันดับแรก ปรากฏว่าไม่มีเว็บไซต์ใดเลยที่เน้นกลุ่มเป้าหมายเฉพาะที่ชัดเจน ผมจึงลองพิจารณา 50 อันดับแรก และพบเว็บไซต์ที่น่าสนใจอย่าง www.one2car.com เว็บไซต์อันดับที่ 35 ซึ่งเป็นเว็บไซต์ขายรถมือสองที่มีรายได้จากการโฆษณาของบรรดาเต็นท์รถต่างๆ หรืออย่าง www. siam-phone.com เว็บไซต์อันดับที่ 50 ที่เน้นเนื้อหาเฉพาะคนที่สนใจเรื่องของโทรศัพท์มือถือ โดยมีรายได้จากการให้ดาวน์โหลดบริการเสริมและโฆษณา จะเห็นว่าไม่จำเป็นที่เว็บไซต์จะต้องมีบริการอะไรที่ครอบคลุมอย่างเว็บท่า เพียงแต่เน้น ในเรื่องเดียว เป็นรูปแบบเชิงลึกก็สามารถก้าวมาสู่เว็บไซต์ชั้นนำของประเทศได้

(2) ที่ผมอยากแนะนำมากกว่า คือ อยากให้คุณพยายามพัฒนาเนื้อหาหรือบริการขึ้นมาเองมากกว่าจะไปลอกเลียนแบบเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากรายได้ในรูปแบบของค่าสมาชิกหรือการขาย สินค้าหรือบริการ แม้แต่รายได้จากการโฆษณา หลายคนคงคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ใน การเป็นเจ้าของเนื้อหาหรือบริการ เพราะ ต้องมีต้นทุนที่สูง เพราะไปคิดถึงเว็บไซต์อย่าง www.manager.co.th หรือ www. siamsport.com ดังที่กล่าวมาแล้ว เปล่าเลยครับ เว็บไซต์ที่มีเจ้าของคนเดียวหรือเจ้าของไม่กี่คนก็สามารถมีเนื้อหาหรือบริการของตนได้เช่นกัน และไม่จำเป็นที่จะต้องติดอันดับเว็บไซต์ยอดนิยม เพียงแต่มีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าที่เข้มแข็ง แค่นี้เว็บไซต์ก็ไปได้ฉลุย

ตัวอย่างที่ผมติดตามการเติบโตของเว็บไซต์ อย่าง www.jeban.com มาโดยตลอด ปัจจุบันมีจำนวนคนเข้าในระดับ หนึ่งหมื่นคน อยู่อันดับที่ 199 มีเนื้อหาที่ทาง Webmaster อย่างป้าจีน เขียนวิธีการแต่งหน้าโดยเน้นขั้นตอนการปฏิบัติอย่างละเอียดเป็นที่ถูกใจสาวๆ จนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลทางการตลาด (Marketing Influencer) ในส่วนของเครื่องสำอางระดับ ประเทศ ทำให้เว็บไซต์มีรายได้จากการโฆษณาและสปอนเซอร์จากบริษัทเครื่องสำอางทั้งหลาย

จะเห็นได้ชัดว่า การที่มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนอย่าง www.jeban.com ทำให้บริษัทเครื่องสำอางไม่ต้องพิจารณายากว่ามาลงโฆษณาแล้วจะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะมีจำนวนคนที่เข้าเว็บไซต์น้อยกว่าเว็บท่ามากมาย แต่ความที่เน้นเนื้อหาเฉพาะกลุ่ม ทำให้บริษัท เครื่องสำอางสนใจและยินดีลงโฆษณามากกว่าในเว็บไซต์ใหญ่ทั้งหลายเสียอีก

จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่า ทาง www.jeban.com ไม่ได้ทุ่มทุนมหาศาลในการสร้างเนื้อหาขึ้นมาแต่ประการใด แต่เป็นทักษะเฉพาะที่ตัว Webmaster นั้นมีอยู่แล้วแสดงออกมาผ่านรูปแบบของการเขียน ครับ ตรงนี้แหละครับหน้าใหม่ทั้งหลายจะต้องสำรวจตนเองว่ามีความเชี่ยว ชาญในเรื่องอะไร แล้วใช้ความเชี่ยวชาญนั้นสร้างเนื้อหาออกมา

อีกประการหนึ่งที่ผมอยากแนะนำคือ รายได้จากค่าสมาชิกที่เก็บจากความที่เราเป็นเจ้าของเนื้อหาหรือบริการนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการออนไลน์ต่างๆ ที่ไม่มีต้นทุนในการทำซ้ำ ผมเองมีประสบ การณ์ส่วนนี้ กล่าวคือ ในเว็บไซต์ของผม www.siamfitness.com มีการจัดทำบริการโปรแกรมลดความอ้วนออนไลน์ ที่ช่วยในการคำนวณหาค่าแคลอรีจากอาหาร ที่กินในแต่ละวัน โดยเก็บค่าสมาชิกในราคา 500 บาทต่อปี จะเห็นว่าแม้คนจะสมัครสมาชิกเพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนของโปรแกรมไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ผมเสียเงินลงทุนในช่วงต้นเท่านั้นในการให้โปรแกรมเมอร์ช่วยพัฒนาโปรแกรมขึ้นมา ซึ่งเป็นเงินลงทุนในระดับหมื่น แต่สามารถแสวงหารายได้ในระยะยาว ขณะที่ระยะเวลาคุ้มทุนเพียงไม่กี่วัน

จากที่กล่าวมาทั้งหมด คงทำให้ผู้ที่สนใจในการเข้ามาสู่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซมองเห็นภาพชัดว่าจะต้องตั้งคำถามสำคัญคือ "คุณจะหาเงินจากเว็บไซต์ที่คุณทำนั้นในรูปแบบใด" ไม่ใช่รอหวังเพียงรายได้จากค่าโฆษณาแต่เพียงอย่างเดียว


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.