"พฤกษา" ก้าวสู่อุตสาหกรรมการผลิตที่อยู่อาศัยเต็มตัว เตรียมลงทุน 100-200
ล้านบาท ตั้งโรงงานทำชิ้นส่วนพรีแฟบฯ เพื่อนำไปประกอบเป็นบ้านเดี่ยวได้ปีละ 2-3
พันยูนิต พร้อมวางเป้าหมายลดเวลาสร้างบ้านเหลือเพียง 45 วัน
ก่อนที่มาตรการส่งเสริมภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล ได้แก่ การลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอน
ค่าจดจำนอง และภาษีธุรกิจเฉพาะ จะสิ้นสุดลงในสิ้นปีนี้ และยังไม่มีวี่แววว่ารัฐบาลจะขยายระยะเวลาออกไป
เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะเร่งการตัดสินใจของผู้บริโภคที่คิดจะมีบ้าน
ยิ่งเข้าใกล้โค้งสุดท้ายช่วงห้าเดือนที่เหลือ จึงกลายเป็นช่วงเวลาทองของผู้ประกอบการบ้านจัดสรร
ที่จะโหมเร่งงานเพื่อให้มีบ้านพร้อม โอน และบ้านที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จ ในอีก 3-4
เดือนข้างหน้าอยู่ใน สต็อกให้ได้มากที่สุด ซึ่งภายใต้กรอบเวลาที่จำกัดดังกล่าว
สิ่งที่บ่ง ชี้ความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจได้ย่อมหนีไม่พ้น"ศักยภาพในด้านการผลิต"
ที่สามารถรองรับความต้องการของตลาด
ทุ่ม 100-200 ล้านตั้งโรงงาน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด ได้พยายามนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้
เพื่อช่วยย่นระยะเวลาก่อสร้างบ้านให้สั้นลง จากการสร้างบ้านทั่วๆไปที่ใช้เวลา 8
เดือนถึง 1 ปี ปัจจุบันพฤกษาใช้เวลาเพียง 60-70 วัน และมีเป้าหมายที่จะลดลงเหลือ
45 วันในเวลาอันใกล้นี้ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะสร้างบ้านไม่ทันขาย และรองรับขาขึ้นของตลาดอสังหาริมทรัพย์
"ในอเมริกา และยุโรปมีการ นำเทคโนโลยี พรีแฟบฯ ที่ก่อสร้างบ้านได้ใน 30 วัน
การบริหารงานก่อสร้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนดำเนินการ (overhead
cost) รวมถึงลดจำนวนแรงงานที่กำลังขาดแคลนในขณะนี้ เมื่อเปรียบเทียบบ้านของพฤกษากับโครงการอื่นในทำเลและขนาดเดียวกัน
เราจะถูกกว่า 10-15%" นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท
พฤกษา เรียล เอสเตทฯ เปิดเผย"ผู้จัดการรายวัน"
Tunnel Load Bearing Wall เป็นเทคโนโลยี ที่บริษัทนำมาใช้ก่อสร้างทาวน์เฮาส์ชั้นเดียวและสองชั้น
ในโครงการพฤกษากว่า 13,000 หลัง ก่อนที่จะพัฒนาวิธีก่อสร้างแบบผนังสำเร็จรูปรับน้ำหนัก
หรือ RC Load Bearing Wall Prefabrication สำหรับใช้ก่อสร้าง บ้านเดี่ยวในโครงการบ้านภัสสร
สินค้าใหม่ที่บริษัทเริ่มนำเสนอสู่ตลาดในปี 2545
เพิ่มกำลังผลิต 1-2 เท่าตัว
นายทองมา กล่าวว่า กำลังการผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูป (Prefab) ที่ใช้ก่อสร้างบ้านเดี่ยวในปัจจุบันบริษัทผลิตได้ประมาณ
300 ยูนิตต่อปี แต่ในปีหน้าจะเพิ่มเป็น 700-1,000 ยูนิต ซึ่งเป็นผลจากการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตชิ้นส่วนพรีแฟบฯใหม่
จากเดิมที่ใช้พื้นที่ใน ไซต์งานก่อสร้างเป็นหน่วยผลิต เพื่อนำมาประกอบเป็นตัวบ้าน
บริษัทจะก่อสร้างโรงงานที่รังสิต คลอง 3 ซึ่งมีที่ดินอยู่ 180 ไร่ รองรับการผลิตชิ้นส่วน
เพื่อกระจายไปยังไซต์งานก่อสร้างต่างๆ ที่ขึ้นโครงการ ด้วยวิธีนี้จะช่วยให้ชิ้นงานมีคุณภาพสม่ำเสมอ
และดีกว่าการผลิต ณ จุดก่อสร้าง รวมทั้งทำให้การผลิตเป็นไปอย่างมีระบบยิ่งขึ้น
แต่มีข้อเสียที่ค่าใช้จ่ายในการขนส่งต้องเพิ่มขึ้นด้วย
"เรากำลังศึกษาและจัดหาเครื่องมือสำหรับใช้ในการผลิต คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 100-200
ล้านบาท โดยจะเริ่มผลิตได้ตั้งแต่กลางปีหน้าเป็นต้นไป กำลังผลิตของโรงงานยืดหยุ่นได้ตามความต้องการ
โดยสามารถเพิ่มไลน์ เพื่อรองรับตลาดได้ถึง 2,000-3,000 ยูนิตต่อปี"
รุกหนักบางบัวทองเปิดภัสสร 6,7 ปีหน้า
สำหรับการเปิดตัวโครงการบ้านภัสสร 1 ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว นับเป็นการจุดพลุให้พฤกษาแจ้งเกิดในตลาดบ้านเดี่ยวอย่างเต็มตัวในปีนี้
ด้วยตัวเลขยอดขายที่แสดงถึงผลการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค ทำให้บ้านภัสสร
2,3 และ 4 คลอดตามมาอย่างรวดเร็ว
"บ้านเดี่ยวเป็นอีกตลาดหนึ่งที่เราจะขยายตัวไปได้ในปีหน้า บริษัทมีแผนเปิดโครงการภัสสร
6 และ 7 อีก 2 โครงการย่านบางบัว ทอง ขณะที่ทาวน์เฮาส์ก็ยังทำอยู่เหมือนเดิม และในแต่ละปีก็มียอด
เพิ่มขึ้นโดยตลอด"
ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวบ้านภัสสร 4 โครงการบ้านเดี่ยวขนาดพื้นที่ใช้
สอย 200 ตารางเมตร เนื้อที่ 60 ตร.ว.ขึ้นไป จำนวน 545 ยูนิตราคา ตั้งแต่ 3.5-8.2
ล้านบาท บนเนื้อที่ทั้งหมด 177 ไร่ ย่านคลอง 3 ถ. รังสิต-นครนายก มูลค่า 2,509
ล้าน บาท
โดยแบบบ้านในโครงการมีบริษัท เคทีจีวาย อินเตอร์ แอสโซซิเอทส์ฯ เป็นผู้ออกแบบบ้านในสไตล์เมดิเตอเรเนียน
ขณะที่งานออกแบบภายในและงานออกแบบภูมิสถาปัตยกรรม ออกแบบโดยบริษัท ลีโอ ดีไซน์
และบริษัท ระฟ้า จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทสถาปนิกระดับ ท็อปของไทย
สำหรับภัสสร 7 ตั้งอยู่บนที่ ดิน 160 ไร่ ห่างจากถนนรัตนาธิเบศร์ 300 เมตร ก่อนถึงถนนวง
แหวนฯ มูลค่าโครงการ 2,200 ล้าน บาท ส่วนภัสสร 6 อยู่ห่างจากถนนวงแหวนรอบนอก ประมาณ
1 กม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการซื้อที่ดินเพิ่มเติมให้ครบ 60-70 ไร่ จากขณะนี้มีที่ดินในมือแล้ว
26 ไร่
เช่นเดียวกับที่ดิน จำนวน 7 ไร่เศษ ย่านถนนตากสิน-เพชรเกษม ที่บริษัทได้ปรับแผนการพัฒนามาเป็นโครงการบ้านเดี่ยว
แทนอาคาร ชุดตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก โดยพฤกษากำลังเจรจาซื้อที่ดินเพิ่มเป็น 20-30
ไร่ ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะสำหรับโครงการบ้านเดี่ยว หากทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหมายก็จะเริ่มพัฒนาต้นปีหน้าทันที
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดทาวน์เฮาส์ ในเดือนสิงหาคมนี้
บริษัทจะเปิดโครงการทาวน์เฮาส์พร้อมกันอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการพฤกษา 13 รังสิต
คลอง 3 บนที่ดิน 326 ไร่ ประกอบด้วย ทาวน์เฮ้าส์ 3,727 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,571
ล้านบาท และโครงการพฤกษา 17 ย่าน ลำลูกกา ทาวน์เฮาส์ 950 ยูนิต บน เนื้อที่ 95
ไร่ มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท
นายทองมา วิเคราะห์สถานการณ์ของธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในปีหน้าว่า ตราบใดที่ภาวะดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดต่ำลงเรื่อยๆ
ซึ่งกลายเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยดึงกำลัง ซื้อของประชาชนให้สูงขึ้น ตลาดอสังหาฯก็จะได้รับผลดี
และเป็นแรงผลักให้ธุรกิจที่อยู่อาศัยพุ่งทะ ยานต่อเนื่องไปตลอดทั้งปีหน้า แม้ว่ามาตรการอุดหนุนจากรัฐจะได้รับการยืดระยะเวลาหรือไม่ก็ตาม