"ข้างหลังภาพของกำจร สถิรกุล"

โดย สุปราณี คงนิรันดรสุข
นิตยสารผู้จัดการ( สิงหาคม 2535)



กลับสู่หน้าหลัก

"เพียงภาพเดียวก็แทนคำพูดได้นับหมื่นคำ"

ภาพ "แม่ของลูก" โดยฝีมือวาดของกำจร สถิรกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานบริษัทยูนิคอร์ด ได้สะท้อนถึงความรู้สึกลึกซึ้งที่มีต่อมารดาบังเกิดเกล้า "ห่วง สถิรกุล"

ภาพนี้กำจรได้วาดขึ้นเพื่อแทนคำพูดไว้อาลัยมารดาผู้ล่วงลับในหนังสืองานศพเมื่อปี 2526 ขณะที่มารดาอายุ 71 ปี ในภาพวาดนั้นได้สะท้อนถึงริ้วรอยแห่งชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผ่านมรสุมชีวิตได้สำเร็จด้วยอารมณ์อันสุขุมเยือกเย็นและอ่อนเศร้า

งานวาดภาพเขียนจึงเป็นเสมือนหนึ่งสื่อความรู้สึกที่ดีในยามที่เขารู้สึกสูญเสียและโดดเดี่ยว แม้กระทั่งปัจจุบันนี้กำจรก็ยังรู้สึกเฉกเช่นนี้ และยังรักที่จะเขียนภาพแห่งความรู้สึกลึก ๆ ในใจ ภายหลังจากที่เขาต้องพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไปอย่างขมขื่น

"ศัตรูให้ดูเหมือนแก้วนะลูก" คำสอนแม่ยังก้องหูและนับเป็นหลักปฏิบัติของอดีตผู้ว่าแบงก์ชาติกำจรที่ไม่โต้ตอบข่าวร้ายใด ๆ และทำเสมือนศัตรูไม่มีตัวตนขณะที่มองทะลุผ่านไปเลย นับว่าเป็นการต่อสู้อันขัดแย้งภายในจิตใจตัวเองยิ่งนัก

กำจรเป็นบุตรชายคนที่สี่ของลูกแม่ห้าคน ซึ่งต่างก็ประสบความสำเร็จในชีวิตบั้นปลายโดยมีพี่ชายคนโตคือ ศ. กำธร สถิรกุล อดีตผู้บริหารคุรุสภา พี่สาวและน้องสาวคนเล็กเป็นนายแพทย์หญิง โดยเฉพาะพี่สาว พญ. วัชรี พงศ์พานิช มีความสามารถในการขีดเขียนหนังสืออย่างดีโดยมีผลงานลง "สตรีสาร" ส่วนพี่ชายอีกคนคือ ดร. กำแหง สถิรกุล เป็นถึงอดีตปลัดทบวงมหาวิทยาลัย

ตระกูล "สถิรกุล" เป็นตระกูลเศรษฐีใหญ่ของอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพราะตามประวัติศาสตร์การค้าของไทย อำเภอปากพนังเป็นเมืองท่าเทียบเรือที่สำคัญและใหญ่ที่สุดของภาคใต้ฝั่งตะวันออก

มารดาของกำจรนับเป็นนักเรียนสตรีบ้านนอกรุ่นแรกที่เข้ามาศึกษาระดับมัธยมในกรุงเทพโดยเข้าเป็นนักเรียนประจำที่โรงเรียนเบญจมราชาลัย ในสมัยนั้นการเดินทางค่อนข้างลำบาก ต้องนั่งเรือแจวมีม่านกั้นมาที่ตัวจังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วจึงต่อรถไฟอีกทอดหนึ่งเข้ากรุงเทพมหานคร

การที่มารดาของกำจรได้รับโอกาสทางการศึกษาสูงขณะที่เด็กบ้านนอกน้อยคนนักที่จะได้รับ ก็เพราะคุณยายซึ่งมีฐานะร่ำรวยจากกิจการร้านขายทองประจำอำเภอมีโลกทัศน์กว้างไกลจากการเดินทางติดต่อซื้อทองรูปพรรณจากกรุงเทพ และต้องการส่งเสริมให้หลานสาวมีทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติทางการศึกษา

จากพื้นฐานครอบครัวที่เห็นคุณค่าการศึกษา ได้ทำให้มารดาของกำจรส่งเสริมลูกทั้งห้าให้สำเร็จการศึกษาระดับสูง ทั้ง ๆ ที่ตนเองต้องเป็นหม้ายในวัยสาวที่มีอายุเพียง 28 ปี ต้องทำงานกิจการโรงสีแทนสามีที่ล่วงลับไปแล้ว และปกป้องลูกเล็กทั้งห้าจากภัยสงครามโลก ซึ่งขณะนั้นญี่ปุ่นบุกไทยโดยยกพลขึ้นบกที่นครศรีธรรมราช

"ถึงแม้ฉันจะมีมรสุมต่าง ๆ ในชีวิตมากแต่สิ่งหนึ่งที่เป็นสุดยอดปรารถนาของฉันที่สมหวัง สิ่งนั้นคือลูก ๆ ทั้งห้า ลูกทุกคนเล่าเรียนดีมาก อยู่ในโอวาท จิตใจมีศีลธรรม ลูกชายสามคนไปอยู่โรงเรียนประจำที่วชิราวุธวิทยาลัย ทุกคนสอบซ้อมและสอบไล่ได้ที่หนึ่งทุกครั้ง เมื่อมีการสอบชิงรางวัลอะไรก็มักจะได้สมความปรารถนาเสมอ ต่อมาลูกชายทั้งสามสอบชิงทุนรัฐบาลไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศได้สามคน ไปอเมริกาสองคน อังกฤษหนึ่งคน ส่วนลูกสาวฉันส่งไปอยู่โรงเรียนประจำที่โรงเรียนราชินีล่างทั้งสองคน ลูกสาวคนเล็กเรียนจบเภสัชกรรมแล้วต่อแพทย์จุฬาฯ ส่วนคนโตจบแพทย์ศิริราช ต่อมาลูกสาวทั้งสองได้ไปทำโทต่อที่สหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน" บันทึกแห่งอดีตของห่วง สถิรกุลได้เล่าไว้ถึงความภูมใจที่มีต่อลูก ๆ

ในวัยเด็ก ขณะที่กำจรอายุ 4-5 ขวบ ได้ป่วยหนักเป็นไข้ไทฟอยด์ไข้ขึ้นสูงมาก เสมือนหนึ่งอยู่ใต้เงามัจจุราช มารดาของกำจรได้พยายามสุดชีวิตที่จะปกป้องชีวิตลูกน้อยอย่างไม่นึกถึงตัวเอง จนกระทั่งพ่อของกำจรเตือนสติให้นึกถึงตัวเองและลูกค้าคนอื่น ๆ โดยยกอุปมาอุปมัยว่ากล้วยเครือหนึ่งจะมีสักผลที่เสียไปก็ต้องยอม

"แม่ไม่ยอม และบอกว่าจะเอาลูกของแม่ไปเทียบกล้วยไม่ได้ แม่ไม่ยอมให้เสียไปสักคนเดียว แม่จะต้องเอาชีวิตแม่สู้ไว้ แม่รักษาน้องจนพ้นเขตอันตราย และพวกเราก็กลับจากตัวจังหวัด เห็นน้องชายคนเล็กผอมจนเหลือหนังหุ้มกระดูก ผมร่วงหมดต้องหัดเดินใหม่ เราสงสารน้องจนน้ำตาไหล" กำธร สถิรกุล พี่ชายคนโตบันทึกไว้

ความสงสารน้อง ทำให้พี่ ๆ รวบรวมภาพการ์ตูน "สโนไวท์" ของวอลท์ ดีสนีย์จากกระดาษหนังสือพิมพ์ที่เขาใช้เป็นกระดาษห่อของ โดยอุตส่าห์เก็บจากที่ต่าง ๆ จนครบจบเรื่อง เย็บเป็นเล่มเองด้วยด้าย เอามาให้กำจรดูแต่ด้วยความไม่ประสีประสาในวัยเด็ก ทำให้กำจรฉีกขาดหมด ทั้งที่พวกพี่ ๆ ยังหัดวาดภาพคนแคระทั้งเจ็ดยังไม่ครบทุกตัว แต่แม่ก็อธิบายว่าน้องยังเล็กไม่เข้าใจเรื่องราวและความสวยงามของภาพ อย่าโกรธน้องเลย

จากวันนั้นถึงวันนี้ กำจรเข้าใจความสวยงามและความอัปลักษณ์แห่งชีวิต เฉกเช่นเดียวกับจิตรกรที่จับเอาแสงเงาจากมุมมืดหรือมุมสว่างนำมาเขียนภาพบนผืนผ้าใบ เพื่อสื่อความรู้สึกอันปวดร้าวหรือชื่นชมต่อชีวิต



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.