|
'ASP'เล็งซื้อหุ้นราคาถูกเข้าพอร์ต
ผู้จัดการรายวัน(2 กันยายน 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
บล.เอเชีย พลัส เล็งนำเงินที่ได้จากนักลงทุนใช้สิทธิแปลงสภาพวอร์แรนท์ ลงทุนซื้อหุ้นในกระดาน"กลุ่มส่งออก สินค้าโภคภัณฑ์ ค้าปลีก มือถือ" เหตุหุ้นดีราคาถูกมีจำนวนมาก-ลงทุนต่างประเทศ พร้อมศึกษาออกสตรัคเจอร์โน๊ต "ก้องเกียรติ" ชี้ หากภาวะตลาดหุ้นไม่ดีส่งผลกระทบรายได้ เตรียมขายหุ้นถือยาวหนุนผลประกอบการโต
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากช่วงที่ผ่านมาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี หรือหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง ราคาได้ปรับตัวลงต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) เป็นอย่างมาก
โดยหุ้นที่บริษัทสนใจพิจารณาเข้าไปลงทุนนั้น บริษัทจะเลือกหลักทรัพย์ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในประเทศ เช่น กลุ่มส่งออก สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงหุ้นที่อาจจะได้รับผลกระทบบ้างแต่ยังมีการเติบโตที่ดี เช่น ค้าปลีก มือถือ ฯลฯ
สำหรับการลงทุนในหุ้นดังกล่าว ต้องขึ้นอยู่ว่าบริษัทจะได้รับเงินการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญของใบสำคัญแสดงสิทธิ (ASP-W1) มากน้อยเพียงใด โดยใบสำคัญแสดงสิทธิมีกำหนดระยะเวลาแสดงความจำนงใช้สิทธิ ตั้งแต่วันที่ 15-29 กันยายน จำนวน 496 ล้านหุ้น ราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญหุ้นละ 2 บาท ซึ่งจะทำให้ได้รับเงินประมาณ 900 ล้านบาท และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ASP-W1 พ้นสภาพจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
"แม้ว่าราคาASP-W1 ในกระดานหลักทรัพย์จะซื้อขายอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2 บาท แต่บริษัทไม่กังวลว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิน้อย เพราะหากมีเงินใหม่เข้ามาบริษัทก็จะนำไปลงทุน แต่หากไม่มีเข้ามาบริษัทก็มีฐานทุนอยู่ 3 พันล้านบาท" นายก้องเกียรติ กล่าว
ส่วนเงินที่ได้จากการใช้สิทธิวอร์แรนต์จำนวน 900 ล้านบาทครั้งนี้ บริษัทจะแบ่งสัดส่วนไปลงทุนในหุ้นไม่เกิน 40% การปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ (มาร์จินโลน) 30% ส่วนที่เหลือจะนำลงทุนในสินค้าที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ พันธบัตร และฝากธนาคาร โดยปัจจุบันบริษัทมีเงินทุนจำนวน 3,000 ล้านบาท ลงทุนในหุ้นประมาณ 1,000 ล้านบาท มาร์จินโลนกว่า 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะฝากไว้กับสถาบันการเงิน
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า จากการที่บริษัทมีการลงทุนระยะยาวในหุ้นที่บันทึกเป็นราคาต้นทุนและไม่ได้มีการบันทึกในงบการเงิน แต่จะบันทึกในส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งหากภาวะตลาดไม่ดี ทำให้รายได้ในส่วนของค้าหลักทรัพย์ฯไม่ดี บริษัทสามารถที่จะนำหุ้นที่ถือระยะยาวนำออกมาจำหน่าย เพื่อที่จะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทออกมาดี แต่หากภาวะเอื้อบริษัทก็จะยังคงถือระยะยาวต่อไป
"ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะปรับประมาณการรายได้ปีนี้ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะต้องหารือกับทีมบริหารก่อน โดยครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้ 938 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 230 ล้านบาท ส่วนตัวเชื่อว่าภาวะตลาดจากนี้ไปคงจะไม่แย่ไปกว่านี้ เพราะคนคิดว่าต่ำสุดไปแล้ว หากเกิดเหตุวุ่นวายหุ้นจะไม่ลงไปกว่านี้ "นายก้องเกียรติ กล่าวว่า
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีเงินลงทุนในต่างประเทศ จำนวน 300 ล้านบาท ซึ่งจากภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกไม่ดีทำให้ผลตอบแทนของบริษัทไม่ดีเช่นกัน แต่บริษัทก็ยังคงมีผลกำไร แต่ในช่วงที่ภาวะตลาดไม่ดีถือว่าเป็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุน เพราะ กองทุนทั่วโลกที่จดทะเบียน มีจำนวน 250,000 กองทุน และหากเข้าไปดูผลการดำเนินงานย้อนหลังพบว่ามีอกงทุนที่ได้ผลตอบแทนมากกว่า 10%มีหลายกองทุน
สำหรับขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาที่จะออกตราสารทางการเงินอ้างอิง(สตรัคเจอร์โน๊ต)ที่จะเสนอขายแก่นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง จากเดิมนั้นบริษัทจะออก สตรัคเจอร์โน๊ต ซึ่งอิงกับหุ้นต่างประเทศ ในช่วงไตรมาส2/51 แต่จากที่ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกไม่ดี ได้รับผลกระทบปัญหาสินเชื่อสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) เศรษฐกิจโลกตกต่ำ ทำให้ลูกค้าของบริษัทเปลี่ยนใจไม่ลงทุน ซึ่งขณะนี้พิจารณาว่าจะออกสตรัคเจอร์โน๊ตอิงสินค้าใด
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าธุรกิจการให้คำปรึกษาการลงทุน (Wealth Plus)ปีนี้จะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เพิ่มเป็น 6,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มี 4,600 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทจะมีการรับเจ้าหน้าที่การตลาดเพิ่มขึ้นซึ่งจะทำให้บริษัทมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|