|
โมเดลธุรกิจยุคดิจิตอล อินเด็กซ์ฯ ปั้นคนให้เป็นแบรนด์
ผู้จัดการรายวัน(1 กันยายน 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
บนสมรภูมิการตลาดในวันนี้ หัวใจสำคัญของการแข่งขันอยู่ที่แบรนด์อันแข็งแกร่ง ที่จะนำสินค้าหรือบริการใดๆ สู่เส้นชัยความสำเร็จทางการตลาด แบรนด์ที่เข้มแข็งระดับโลกในกลุ่มไอทีอย่าง แอปเปิล ปล่อยสินค้าในตระกูล i ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด เครื่องเล่น iPod โทรศัพท์มือถือ iPhone หรือโน้ตบุ๊ก iBook ล้วนแต่ประสบความสำเร็จถ้วนหน้า แบรนด์ดังในกลุ่มรถโฟร์วีล อย่าง Jeep ขยายจากรถรุ่นต่าง ๆ ต่อยอดสู่ความนิยมในแอกเซสซอรีเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย
แนวคิดของนักสื่อสารการตลาดรุ่นใหม่ 2 พี่น้องกาญจนะโภคิน เกรียงกานต์และเกรียงไกร ผู้บริหารอีเวนต์ เอเยนซีหมายเลข 1 ของเมืองไทย อินเด็กซ์ อีเวนต์ เอเจนซี ที่ดูแลแผนการตลาด สร้างความสำเร็จผ่านรูปแบบกิจกรรมบีโลว์เดอะไลน์ ให้กับแบรนด์สินค้าหลากหลาย มองต่อไปว่า แบรนด์ที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในยุคสมัยนี้ ไม่จำเป็นต้องติดอยู่กับสินค้า หรือบริการเท่านั้น หากแต่เป็นตัวบุคคลที่มีศักยภาพในการสร้างคอนเทนต์ การบริหาร การผลิต การกีฬา หรือแนวทางใด ๆ ก็ตาม ล้วนสามารถสร้างเป็นแบรนด์ ที่จะได้รับความนิยม ต่อยอดสร้างความสำเร็จได้ไม่ต่างจากแบรนด์สินค้า
อินเด็กซ์ อีเวนท์ เอเจนซี จึงผุดโมเดลธุรกิจใหม่ "สร้างคนให้เป็นแบรนด์"หรือ Personnel Branding ภายใต้ชื่อ "ยังดี" โดยเปิดตัวบุคคลที่จะมาเป็นแบรนด์แรกของแผนงานนี้ คือสุดยอดนักแต่งเพลงที่สร้างเพลงฮิตติดใจวัยรุ่นมามากกว่า 2 ทศวรรษ "ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค"
"ยังดี" เลือก ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค มาเป็น First Pioneer Brand เนื่องจากเป็นบุคคลที่มีความสามารถในหลายๆด้าน ทั้ง นักแต่งเพลง, นักดนตรี, คอลัมนิสต์, นักเขียน, วิทยากร, นักเขียนบทละครโทรทัศน์, นักจัดรายการวิทยุ, นักบริหาร และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งนอกจากจะเป็นคนแรกของโครงการยังดีแล้ว นิติพงษ์ยังเข้ามารับหน้าที่เป็น Creator ให้กับ "ยังดี" อีกด้วย
"เราเชื่อว่าคนๆหนึ่งสามารถนำเสนอได้หลากหลายแง่มุม หลายมิติ และในหลากหลายมิติที่นำเสนอจะต้องสร้างมูลค่า และทำเงินได้ และนี่จึงเป็นที่มาของการสร้าง Personnel Branding ส่วนการเลือกพี่ดี้ ก็เพราะเป็นบุคคลที่มีแบรนด์อยู่แล้ว เมื่อบวกกับแอสเซทที่มีอยู่ของพี่ดี้ ทำให้เรามองว่ามันเป็นอะไรที่มีมูลค่า สามารถต่อยอดให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ "เกรียงไกร กล่าว
สำหรับโครงการแรกของ"ยังดี" ผ่าน ดี้ นิติพงษ์ คือการจัดคอนเสิร์ต "Nitiphong on the hill Concert " โดยคาดว่าจะยึดเอาพื้นที่บริเวณเขาใหญ่ในการจัดคอนเสิร์ตในครั้งนี้ และคาดว่าจะมีรายได้ราว 26 ล้านบาท นอกจากนั้นแล้วในปีต่อไปจะยังคงนำเสนอในรูปแบบของคอนเสิร์ต โดยใช้ชื่อว่า " Concert with Someone Special "และคาดว่าจะมีการต่อยอดแอสเซทของดี้ที่มีอยู่ อาทิ นำเพลงมาเรียงร้อยนำเสนอในแบบละครเวที หรือ เป็นภาพยนตร์ ซึ่งในตลาดต่างประเทศมีการทำรูปแบบนี้มานาน ยกตัวอย่าง ละครเวที We will Rock You ที่มีการนำเอาเพลงของวง Queen มาประกอบการแสดง หรือนำเพลงมาถ่ายทอดในภาพยนตร์อย่าง AVITA
ขณะที่อนาคตของ"ยังดี" ในปีหน้า นอกจากจะปั้น "ดี้ นิติพงษ์"แล้ว คาดว่าบุคคลที่ถูกปั้นเป็นรายต่อไปจะอยู่ในแวดวงธุรกิจ รวมไปถึงเหล่าเซเลบริตี้ ซึ่งถือเป็นกลุ่มคนที่มี Value อยู่แล้วและสามารถต่อยอดได้อีกหลากหลายมุม โดยระยะเวลารวมไปถึงรูปแบบในการนำเสนอนั้น ต้องทำการศึกษาแบบ Case By Case เพื่อดูความเหมาะสม คาดว่าปีหน้าจะได้เห็น Personnel Branding อีกประมาณ 2 - 3 ราย
"รูปแบบของการปั้นคนให้เป็นแบรนด์ของเราไม่ได้จำกัดอยู่ที่ คนเบื้องหลังของแกรมมี่เท่านั้น แต่เรายังเปิดกว้างให้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในแวดวงธุรกิจ การเมือง หรือ เซเลปต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มคนเหล่านี้จะมีการนำเสนอแค่มุมเดียว แต่เมื่อมาอยู่กับแบรนด์ ยังดี ทุกคนจะถูกสร้างสรรค์ให้มีหลากหลายมุม และทุกมุมจะเกิดมูลค่า ซึ่งการประสบความสำเร็จนั้นต้องใช้ระยะเวลาหรือบางคนก็ไม่ต้องใช้เวลามาก เพราะมีชื่อเสียงอยู่แล้ว ตรงจุดนี้ก็ต้องดูเงื่อนไขของแต่ละคนไป "เกรียงไกร กล่าว
ส่วนมูลค่าของบุคคลที่จะเพิ่มขึ้น ภายหลังจากที่เข้ามาอยู่ภายใต้แบรนด์ ยังดี นั้น รายได้หลักจะมาจากสปอนเซอร์ รวมไปถึงช่องทางอื่นๆยกตัวอย่าง ดี้ นิติพงษ์ หากจัดคอนเสิร์ต ก็จะมีรายได้จากค่าบัตรเข้าชมที่จะแบ่งเปอร์เซ็นต์ รวมไปถึงรายได้จากสปอนเซอร์ต่างๆและช่องทางอื่นๆที่สามารถหาได้ ซึ่งทุกรายได้จะถูกคาดการณ์และนำเสนอต่อดี้ นิติพงษ์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเสนอในรูปแบบของคอนเซอร์เวทีฟ
แม้รูปแบบของ Personnel Branding จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับ อราทิส ซึ่งเป็นบริษัทที่คอยดูแลศิลปินของแกรมมี่ แต่ เกรียงกานต์ กล่าวว่า ความต่างของ ยังดี กับ อราทิส คือ อราทิส จะดูแลและสร้างสรรค์แบรนด์ให้กับนักร้อง ศิลปิน ดารา นางแบบ - นายแบบ ภายในแกรมมี่ เรียกว่าดูแลในกลุ่มเอนเตอร์เทนต์ นับตั้งแต่ตั้งไข่ ไปจนถึงโด่งดังแล้วค่อยทำการต่อยอดในรูปแบบต่างๆ แต่สำหรับยังดี จะเน้นไปที่บุคคลที่อยู่เบื้องหลัง ที่มีกลุ่มแฟนๆที่ชื่นชอบคนเหล่านี้อยู่ แล้วจึงมาปั้นแบรนด์ ซึ่งกลุ่มเบื้องหลังนี้ก็ไม่ได้จำกัดอยู่ในวงของนักแต่งเพลง แต่ยังขยายวงกว้างไปถึง นักธุรกิจ นักการเมือง เซเลบริตี้ หรือบุคคลใดก็ได้ที่ต้องการสร้างแบรนด์ของตัวเองให้เป็นที่รู้จัก
การตัดสินใจเปิดตัวเข้าลงทุนในโมเดลธุรกิจใหม่อย่าง Personnel Branding หรือ สร้างคนให้เป็นแบรนด์ พร้อมกับฟันธงมั่นใจว่าจะสามารถทำรายได้กว่า 26 ล้านบาทภายใน 4 เดือนที่เหลืออยู่นี้ของอินเด็กซ์ แม้จะเป็นเป้าหมายที่ถือว่าสูงลิ่วภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจเช่นนี้ แต่ด้วยบุคคลแรกที่ถูกนำมาสร้างให้เป็นแบรนด์ ซึ่ง 2 พี่น้องเลือกเอาผู้ที่มีศักยภาพสูงสุดคนหนึ่งในอาณาจักรแกรมมี่อย่าง ดี้ นิติพงษ์ เจ้าของคอนเทนต์เพลงจำนวนมหาศาล ก็ไม่น่าจะทำให้ยังดีพลาดเป้า
แต่ที่น่าสนใจคือโครงการสร้างแบรนด์คนต่อๆไปที่จะเดินตามนิติพงษ์ออกมา จะสามารถทำให้โมเดลธุรกิจแบบ Personnel Branding นี้ประสบความสำเร็จจนเกิดการยอมรับ และอาจจะพัฒนาจากธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกิดจากเทรนด์ความต้องการของผู้บริโภค กลายเป็นบิสสิเนสโมเดลใหญ่ๆ แบรนด์คนแพร่หลายเต็มท้องถนน เกิดสงครามการตลาดแบรนด์คนทั้งในวงการบันเทิง วงการธุรกิจ วงการการเงิน วงการเรียลเอสเตต หรือวงการกีฬา ที่คงดุเดือดไม่แพ้แบรนด์สินค้าแน่นอน
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|