กลยุทธ์ปรับโครงสร้างงานวิจัย&พัฒนารับยุโรป 1992


นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2534)



กลับสู่หน้าหลัก

การวิจัยและพัฒนาจะเป็นแขนงธุรกิจหนึ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดในยุโรปยุคทศวรรษ 1990 ซึ่งเน้นความก้าวหน้าทางเทคนิคอย่างมากการจะดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในตลาดร่วมได้นั้น บริษัทต่างๆ ต้องมีความริเริ่มสร้างสรรค์ ต้องปรับสินค้าที่มีอยู่แล้วให้มีมาตรฐานใหม่ พัฒนาสินค้าไฮเทคแบบใหม่ๆ เพื่อฉกฉวยโอกาสใหม่ๆ ที่มีขึ้น

ปัจจุบันต้นทุนของการวิจัยและพัฒนามักสูงคิดเป็น 5% ของทุนหมุนเวียน ทำให้บริษัทเล็กๆ จำเป็นต้องพึ่งความช่วยเหลือทั้งในด้านของสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องแล็บและเงินทุน บริษัทเหล่านี้สามารถรับความช่วยเหลือด้วยการร่วมมือกัน รวมทั้งรับเงินช่วยเหลือภาครัฐบาล หรือไม่ก็จากสมาคมวิจัยของแต่ละแขนงอุตสาหกรรม หรือจากโครงการวิจัยและพัฒนาของอีซีก็ได้

สำหรับบริษัทขนาดใหญ่นั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นก็แตกต่างกันไป โดยห้องแล็ปเพื่อการวิจัยของบริษัทเหล่านี้มักมีขนาดใหญ่มีนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรประจำราว 100 คน แต่บริหารแบบรวมศูนย์เป็นขั้นตอนแบบราชการมากเกินไป ทำให้เกิดผลเสียตามมาคือ ไม่มีแรงผลักดันจากความริเริ่มสร้างสรรค์ และมีการเลียนแบบโครงการที่ตั้งอยู่คนละแห่งกันซึ่งถือเป็นการสูญเปล่านั่นเอง ผลคือปัจจุบันบริษัทส่วนใหญ่ต่างตระหนักแล้วว่า งานวิจัยและพัฒนาต้องได้รับการจัดการ และต้องปรับให้เป็นไปตามหลักของเหตุและผลในแง่ของงานวิจัย เพื่อเตรียมรับมือกับการพัฒนาของตลาดร่วมยุโรป

เครือข่ายระหว่างประเทศของ "โอลิเวตติ"

โอลิเวตติได้ชื่อว่าเป็นซัพพลายเออร์อุปกรณ์ในสำนักงานรายใหญ่ที่สุดของอิตาลี และทำยอดขายเมื่อปี 1988 ได้ 6.5 พันล้านดอลลาร์นั้น ให้ความสำคัญกับงานวิจัยและพัฒนาเป็นอันดับแรกมานานแล้ว ปี 1987 โอลิเวตติใช้งบวิจัยและพัฒนาคิดแล้วเท่ากับ 6% ของยอดขายรวม ต่อมาก็เพิ่มเป็น 7% ซึ่งแน่นอนว่าเงินทุนที่ต้องใช้ก็ย่อมทะยานสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะส่วนใหญ่จะใช้ไปในการธุรกิจคอมพิวเตอร์ ส่วนธุรกิจผลิตพิมพ์ดีดนั้นต้องการเงินทุนน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ในปี 1986 โอลิเวตติตัดสินใจปรับโครงสร้างส่วนวิจัยและพัฒนาซึ่งบริหารแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง สาเหตุส่วนหนึ่งเป็นการเตรียมรับมือกับตลาดร่วมยุโรปที่กำลังใกล้เข้ามาทุกที

แนวโน้มของการต้องเน้น "1992" มีบทบาทและความหมายในตัวของมันเอง ถือเป็นโอกาสอันสำคัญยิ่งของอุตสาหกรรมในยุโรปด้วย "บรูโน ลัมโบร์กินี่" ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์และวางแผนเชิงยุทธศาสตร์องค์กรให้ความเห็น "การรวมตัวทางเศรษฐกิจของประเทศยุโรปนี้ถือว่ามีความสำคัญในเชิงพื้นฐานในแง่ที่ว่า อย่างไรเสียก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความล่าช้าในขั้นตอนและระบบรวมถึงการเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศตนเองเป็นหลัก ดังนั้น อุตสาหกรรมและประเทศใดก็ตามที่ไม่สามารถเข้าร่วมกระบวนการปรับตัวนี้ได้อย่างรวดเร็วพอ ก็จะพบว่าตัวเองถูกคู่แข่งเขี่ยให้ตกขอบไปอยู่ข้างเวทีแข่งขันสำหรับอิตาลีนั้น เส้นตายปี 1992 ควรจะเป็นตัวกระตุ้นความพยายามให้มีการชุบชีวิตใหม่แก่โครงสร้างพื้นฐานล้าสมัย โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวกับการขนส่งและการสื่อสาร"

โอลิเวตติจึงมีการเตรียมการณ์อย่างดีเพื่อฉกฉวยความได้เปรียบจากแนวโน้มนี้ ซึ่งลัมโบร์กินี่เพิ่มเติมว่า "เราได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่มีความเป็นสากลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จากการที่ 60% ของทุนหมุนเวียนได้มาจากตลาดนอกอิตาลี และกว่าครึ่งของพนักงานในทั่วโลกก็ไม่ได้เป็นอิตาเลียนเสียด้วย"

กุญแจสำคัญของการที่โอลิเวตติเตรียมการณ์รับปี 1992 ก็คือ การสร้างเอกลักษณ์องค์กรใหม่ทั้งหมดเป็น "บริษัทเครือข่าย" (NETWORK COMPANY) โดยโอลิเวตติเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายที่กว้างขวางและยืดหยุ่นในแง่ความสัมพันธ์กับบริษัทอื่นๆ ซึ่งถือว่าแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับแนวความคิดของบริษัทข้ามชาติแบบเก่าที่มีรูปแบบ "สำนักงานใหญ่/สาขา" (HEAD OFFICE / FIELD OFFICE)

"เครือข่าย" เป็นกุญแจสำคัญของการปรับโครงสร้างหน่วยวิจัยและพัฒนาของโอลิเวตติเลยทีเดียว ที ดร.เฮอร์มานน์ เฮาเซอร์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเป็นริเริ่มวิธีการใหม่ และนักฟิสิกส์ผู้ถือกำเนิดในออสเตรียคนนี้เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท "เอคอร์ คอมพิวเตอร์" ซึ่งโอลิเวตติเข้าซื้อกิจการและควบคุมการบริหารเมื่อปี 1985 ปัจจุบันเข้าเป็นหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ของโอลิเวตติ ทำหน้าที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับทิศทางการวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ของบริษัท

แนวความคิดใหม่ของ "บริษัทเครือข่าย" ประกอบด้วย เครือข่ายระหว่างประเทศของห้องแล็ปเชิงยุทธศาสตร์ขนาดเล็ก ควบคุมและประสานงานโดยบรรดาหัวหน้าสตาฟฟ์ผ่านทางคณะกรรมการวิจัยแล็ปเหล่านี้จะตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยซึ่งมีด้านศูนย์วิจัย หรือไม่ก็ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์พัฒนาด้านเทคโนโลยี เพื่อไล่ตามให้ทันการพัฒนาล่าสุดทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับบริษัทที่มีการริเริ่มสร้างสรรค์อื่นๆ และเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถรับสมัครนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรหนุ่มสาวผู้มีความสามารถจากรั้วมหาวิทยาลัยทันที

จนถึงขณะนี้มีการตั้งห้องแล็ปที่ว่ารวมแล้ว 8 แห่งด้วยกัน 5 แห่งอยู่ในอิตาลี นอกนั้นอยู่ในอังกฤษ เยอรมัน และสหรัฐฯ อีกประเทศละแห่ง ห้องแล็ปที่ว่าประกอบด้วย "บาริ" (วิจัยประมวลผลเอกสารระบบอัตโนมัติ) "อิฟรีอา" (พัฒนาแผงวงจรรวม,วิจัยด้านอิมเมจโฟรเซสซิ่ง พรินเตอร์และสแกนเนอร์) , "มิลาน" (ซอฟท์แวร์ระบบ) , "ปิซ่า" (อุปกรณ์ด้านซอฟท์แวร์ ระบบจัดเก็บและปัญญาประดิษฐ์) และ"ตูริน" (ปฏิกิริยาต่อคอมพิวเตอร์ควบคุมเสียง)

สำหรับในอังกฤษมีห้องแล็ป "เคมบริดจ์" วิจัยความก้าวหน้าของเครือข่ายในท้องถิ่นและโครงสร้างของหน่วยประมวลผลส่วนกลาง นอกจากนี้ ยังมีห้องแล็ปในเมืองนูแรมเบิร์ก,เยอรมนี และเมนโลพาร์คในสหรัฐฯ รับผิดชอบงานวิจัยแม่แบบของการพัฒนาระบบการทำงาน ภาษและระบบฐานข้อมูล

ห้องแล็ปเหล่านี้จะถูกจัดให้มีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยโอลิเวตติโน้มน้าวให้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำงานได้ดีที่สุดในรูปของกลุ่มเล็กๆ เห็นได้จากแล็ปขนาดใหญ่ที่สุดคือ อิฟรีอาก็มีนักวิจัยเพียง 50 คน เมนโลพาร์คมี 30 คน และเคมบริดจ์มีเพียง 15 คน บรรดานักวิจัยส่วนใหญ่มักอยู่ในวัย 20 กว่าๆ เพราะโอลิเวตติเห็นว่าคนวัยนี้มีความริเริ่มสร้างสรรค์สูงสุดและไม่มีอคติต่องทฤษฎีว่าด้วยมรรควิธีในอดีต ผู้อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าสตาฟฟ์จะมีอายุมากกว่า และแต่ละคนต่างก็เลือกทีมงานฝ่ายสร้างสรรค์ของตนเอง สำหรับแต่ละโครงการนั้นแต่ละกลุ่มวิจัยจะเลือก "ผู้นำ" ของตนเองขึ้นมาและผู้นำสามารถเปลี่ยนตัวได้เมื่องานแต่ละโครงการเสร็จลง ในท้ายที่สุด ระบบขั้นตอนก็จะถูกกำจัดไปจนเกือบหมดสิ้น เพื่อกระตุ้นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์โดยมีสตาฟฟ์ของสำนักงานอีกทีมหนึ่งเป็นผู้รับผิดชองงานเอกสารของฝ่ายบริหาร

ห้องแล็ปเหล้านี้ยังตั้งอยู่ในทำเลที่ดีด้วย โดยแล็ปในอิตาลีจะตั้งอยู่ใกล้กับคณะที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละแขนงของงานวิจัย แล็ปเคมบริดจ์ซึ่งเป็นฐานของเอคอร์น คอมพิวเตอร์นั้นจะตั้งอยู่ใกล้กับคาเวนดิช แล็บบอราทอรี่ส์ของมหาวิทยาลัย ส่วนแล็ปนูแรมเบิร์กก็จะตั้งอยู่ใกล้กับซิลิคอน เวลลีย์ของเยอรมนี ขณะที่เมนโลพาร์คในสหรัฐก็ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด

คณะกรรมการวิจัยซึ่งคอยควบคุมทีมวิจัยอีกทีหนึ่ง มี "ฟิลิปโป เดมอนเต้" หัวหน้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาของโอลิเวตติเป็นประธาน คณะกรรมการวิจัยนี้ประกอบด้วยหัวหน้าสตาฟฟ์ของแต่ละแล็ปผู้อำนวยการของแผนกปฏิบัติการ และที่ปรึกษาด้านวิจัยจากภายนอก กรรมการเหล่านี้จะประชุมกันทุก 3 เดือน เพื่อทบทวนความคืบหน้าและยุทธศาสตร์ของแผนในอนาคต เดมอนเต้ายังมีกลุ่มสตาฟฟ์ส่วนกลางสำหรับการประสานงานนอกองค์การ โครงการและการวางแผนในอีซี

ดูเหมือนอุปสรรคของความพยายามในงานวิจัยและพัฒนาเหล่านี้จะอยู่ที่การทำให้เกิดมาตรฐานด้านเทคนิคภายในตลาดร่วมยุโรป ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าวิตกมากสำหรับโอลิเวตติ

บรูโน ลัมโบร์กินี่ อธิบายว่า "อีกตัวอย่างหนึ่งของการเตรียมการณ์ของโอลิเวตติ เพื่อรับมือกับตลาดร่วมอยู่ที่การสร้างมาตรฐานคอมพิวเตอร์ เราได้ใช้ความพยายามอย่างมหาศาลที่จะสร้างมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปเหมือนระบบของยูนิกซ์ ซึ่งเป็นระบบเปิดที่ยอมให้มีการใช้อุปกรณ์จากผู้ผลิตหลายรายด้วยวิธีที่ง่ายๆ และโปร่งใส อันนี้เป็นสิ่งสำคัญเพราะมาตรฐานย่อมก่อให้เกิดรูปแบบของอุปสรรคทางการค้า ที่ทำให้ผู้ผลิตบางรายเท่านั้นที่เป็นผู้ได้เปรียบการขจัดอุปสรรคเหล่านี้ เป็นการแผ้วทางไปสู่ความร่วมมือระหว่างบริษัทยุโรปด้วยกันในระดับสูงขึ้นไปอีก โดยเฉพาะกิจการที่อยู่ในแขนงธุรกิจเทคโนโลยีข้อมูล"

"ต้นทุนของผู้ผลิตที่ต้องเสียไปเพื่อให้คงอยู่ได้ในฐานะผู้ได้เปรียบทางเทคโนโลยีนั้นสูงมาก" ลัมโบร์กินี่สรุปตบท้าย "หนทางเดียวที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ เพื่อให้ฟื้นตัวได้จากการลงทุนก็คือ ต้องสามารถจัดจำหน่ายและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ให้กระจายไปตามตลาดต่างๆ ในวงกว้าง สำหรับโอลิเวตติแล้วผมพูดได้ว่าโดยทั่วไปจะต้องมองไปข้างหน้าสำหรับอุสาหกรรมแขนงต่างๆ ในยุโรป ส่วนการเลือกตลาดร่วมยุโรปนั้นก็ไม่ใช่การเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็นต้องทำอย่างยิ่งยวด



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.