ทีเอ็น. เป็นกลุ่มธุรกิจที่เริ่มต้นมาจากการให้บริการด้านซักรีดในโรงแรมและภัตตาคารมานานกว่า
10 ปี การสบช่องโอกาสในการขยายธุรกิจเข้าไปในเวียดนามเมื่อ 5 ปีก่อนทำให้ปัจจุบันทีเอ็น.
กลายเป็นบริษัทของคนไทยรายเดียวที่ลงทุนทำธุรกิจในเวียดนามมากถึง 5 บริษัท
มีขอบข่ายของธุรกิจครอบคลุมถึง 8 ประเภท และกลายเป็นผู้เชียวชาญให้คำปรึกษาแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการจะลงทุนทำธุรกิจในเวียดนาม
การเข้าไปในฐานะนักท่องเที่ยวคนหนึ่งเมื่อ 5 ปีที่แล้วเป็นรูปแบบเริ่มแรกของการเข้าไปศึกษาเวียดนามอย่างจริงจังของผู้บริหารกลุ่มทีเอ็น.
ภาพของคนทั่วไปที่สูบบุหรี่ต่างประเทศและดื่มน้ำอัดลมกระป๋องแสดงให้เห็นถึงตลาดใหญ่ที่น่าจะมีกำลังซื้อในระดับหนึ่งและอนาคตก็น่าจะดีด้วย
ความตั้งใจที่จะขยายธุรกิจในเวียดนามจากภาพที่ได้พบเห็นทำให้ผู้บริหารของกลุ่มฯ
กลับมาศึกษาเพิ่มเติมและพยายามติดต่อสถานฑูตและหน่วยงานของเวียดนามที่ไปทำความรู้จักสมัยที่เข้าไปท่องเที่ยว
หลังจากนั้น 2 ปีบริษัททีเอ็น. อินเตอร์จึงเกิดขึ้นพร้อมกับความเอาจริงจังในการเปิดตลาดธุรกิจในเวียดนาม
เถลิงศักดิ์ มณีเนตร กรรมการผู้จัดการของทีเอ็น. อินเตอร์เทรดเล่าให้ฟังว่า
"ในปลายปี 2531 เราเอาจริงเอาจังด้วยการขอวีซ่าเดินทางเข้าไปในเวียดนามใหม่อีกครั้ง
และในครั้งนั้นเราได้ไปเจรจากับองค์การเภสัชกรรมซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขของเวียดนาม
ซึ่งพิจารณาแล้วว่าน่าจะเป็นหน่วยงานที่น่าเชื่อถือและมีศักยภาพในการเซ็นสัญญาหรือมีสิทธิทำอะไรได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
จึงเริ่มทำการค้าแบบซื้อมาขายไปด้วยการสั่งวัตถุดิบจากสิงคโปร์ รวมถึงยาสำเร็จรูปจากเมืองไทยขายให้กับองค์การเภสัชกรรม"
จากจุดเริ่มต้นดังกล่าวนี้เองที่ทำให้ทีเอ็น.ฯ เริ่มมองเห็นช่องทางที่จะขยายธุรกิจต่อเนื่องออกไปด้วยการเข้าไปในตลาดผ้าอนามัย
ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่ยังไม่มีบริษัทใดเข้าไปอย่างจริงจังโดยเฉพาะสินค้าที่เวียดนามผลิตขึ้นเองก็เป็นสินค้าที่ยังไม่ได้มีการพัฒนาเท่าที่ควร
ทีเอ็น.ฯ เริ่มทดลองนำผ้าอนามัยสำเร็จรูปจากประเทศไทยเข้าไปล็อตแรกจำนวน
200 กล่อง ปรากฏว่าขายหมดภายใน 1 วัน การที่ตลาดเปิดรับอย่างรวดเร็วทำให้ผู้บริหารของทีเอ็น.
มีความคิดที่จะลงทุนผลิตผ้าอนามัยในเวียดนาม
แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมากฎหมายการลงทุนของเวียดนามไม่เป็นที่ยอมรับ รวมถึงนโยบายของประเทศไทยขณะนั้นก็ไม่ชัดเจนจึงกลายเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับนักลงทุนไทยที่จะเข้าไปลงทุนในเวียดนาม
ทีเอ็น.ฯ แก้ปัญญาจากความเสี่ยงที่อาจจะมีขึ้นในอนาคตด้วยการเจรจาร่วมทุนกับองค์การเภสัชกรรมของเวียดนาม
โดยพยายามต่อรองให้องค์การเภสัชฯ เป็นฝ่ายลงทุนในสัดส่วนที่มากกว่าจนกระทั่งสำเร็จและได้จัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นใช้ชื่อว่า
"บริษัท ที.เอ็น.วีนาไทย จำกัด" ด้วยสัดส่วนการลงทุนขณะนั้นคือ
65:35 จากทุนจดทะเบียนทั้งหมด 16.5 ล้านบาท
ต้นปี 2533 ทีเอ็น.ฯ ได้สั่งซื้อเครื่องจักรเก่าสำหรับผลิตผ้าอนามัยเข้าไปติดตั้งในโรงงานโดยทำการผลิตผ้าอนามัยภายใต้ชื่อยี่ห้อ
"SOFTINA" ออกขายในเวียดนามด้วยกำลังการผลิตประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อเดือนและขายในราคาห่อละ
9.50 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาผ้าอนามัยที่ผลิตขายในประเทศไทย ทั้งนี้เนื่องมาจากการได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีจากหน่วยงานของรัฐบาลเวียดนาม
รวมทั้งค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่า
ต่อจากนั้นอีกไม่นานทางทีเอ็น.ฯ จึงได้สั่งซื้อเครื่องจักรรุ่นใหม่เสริมอีกหนึ่งตัวเมื่อสินค้าที่ผลิตออกมาได้รับความนิยมในตลาดเวียดนาม
และช่วงนี้เองที่ทีเอ็น.วีนาไทยได้รับการแต่งตั้งการบริษัทอนามัยภัณฑ์ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องจักรผลิตผ้าอนามัย
ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องจักดังกล่าวในประเทศเวียดนามในปลายปีที่แล้ว
และผลจากการนำเครื่องจักรใหม่ ไปติดตั้งในโรงงานทำให้สัดส่วนของการร่วมทุนเปลี่ยนไปคือ
ทางทีเอ็น.ฯ ถือหุ้น 70% และองค์การเภสัชกรรมเวียดนามถือหุ้นที่เหลือ 30%
หลังจากเดินเครื่องจักรผลิตผ้าอนามัยเครื่องไปได้ระยะหนึ่ง ทางผู้บริหารของทีเอ็น.ฯ
จึงได้ส่งเอกสารต่างๆ เพื่อขอจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายของเวียดนามเกี่ยวกับการลงทุน
จนกระทั่งต้นปี 2534 ทีเอ็น.วีนาไทยจึงได้รับใบอนุญาตจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทจากรัฐบาลเวียดนามพร้อมกันกับใบอนุญาตนำเข้ายารักษาโรคจากกระทรวงสาธารณสุขของเวียดนามอีกด้วย
นับเป็นบริษัทไทยบริษัทแรกและบริษัทเดียวทางเหนือที่ได้รับเอกสิทธิ์ในการจัดตั้งบริษัทอย่างถูกต้องตามกฎหมายของเวียดนาม
ซึ่งยุทธศาสตร์นี้เองได้กลายเป็นความได้เปรียบสำหรับทีเอ็น. ต่อการขยายโครงการลงทุนอื่นๆ
ในเวียดนามในเวลาต่อมา
"คนส่วนใหญ่มักจะเลือกไปลงทุนทางใต้ของเวียดนามคือไซ่งอนเนื่องจากที่นั่นเป็นเมืองเศรษฐกิจ
กำลังซื้อส่วนใหญ่ก็จะอยู่ที่นี่ การค้าขายอยู่ในลักษณะของโลกเสรีมากกว่าทางเหนือแต่ทีเอ็น.
เลือกที่จะไปเปิดตลาดทางเหนือของเวียดนามคือ ฮานอย ก่อนด้วยเหตุผลในเรื่องของการแข่งขันทางธุรกิจซึ่งมีน้อยกว่า
ดังนั้นความเสี่ยงที่บริษัทใหม่จะได้รับจากการเข้าตลาดจึงมีน้อย และการที่ทางเหนือเป็นศูนย์รวมแก่งอำนาจทั้งหมดของเวียดนามเป็นเหตุผลสำคัญของการเลือกที่จะลงทุนในฮานอยแทนที่จะเป็นไซ่งอน
ถึงแม้ว่าการเข้าไปทีแรกจะยากก็ตามแต่เมื่อเข้าไปได้แล้วการจะขยายธุรกิจออกไปจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป"
เถลิงศักดิ์อธิบายถึงเหตุผลของการเข้าไปลงทุนที่ฮานอย
ทีเอ็น.วีนาไทย มีโครงการขยายการลงทุนออกไปหลังจากที่ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งบริษัทเรียบร้อยแล้วนั่นคือการสร้างโรงงานผลิตผ้าอนามัย
SOFTINA ที่ไซ่ง่อน นอกจากนี้ยังขยายธุรกิจไปด้านเรียลเอทเตทด้วยการปรับปรุงสถานที่แห่งหนึ่งในฮานอย
เพื่อสร้างเป็นโรงแรมสำหรับเป็นศูนย์ให้ข้อมูลข่าวสารทางธุรกิจและติดต่อธุรกิจในเวียดนาม
ทั้งนี้เป็นเพราะโรงแรมที่มีอยู่ทางเหนือ 7 แห่งหรือประมาณ 1,000 ห้องไม่เพียงพอต่อการให้บริการ
และค่าบริการก็ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสภาพของห้องพักคือเฉลี่ยราคาประมาณ
35-70 เหรียญสหรัฐ
โรงแรมที่ทีเอ็น. วีนาไทยจะจักสร้างมีทั้งหมด 60 ห้อง โดยใช้งบในการปรับปรุงประมาณ
25 ล้านบาท ส่วนสถานที่ได้ติดต่อขอเช่าจากหน่วยงานรัฐบาลเวียดนามในสัญญาเช่าระยะเวลา
30 ปีในวงเงิน 10 ล้านบาทและจ่ายค่าเช่าเป็นรายปีอีกโดยเฉลี่ยตารางเมตรละ
5-10 บาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้จะเริ่มได้ในราวต้นปีหน้า
และโครงการที่อยู่ในระหว่างการศึกษาก็คือการตั้งโรงงานผลิตตัวยาบางตัวที่ตลาดไปได้ดีแทนการนำเจ้าจากประเทศอื่นโดยขยายผ่านทางองค์การเภสัช
และในอนาคตจะมีการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายยาออกไปอีกด้วย
ช่วงระยะเวลา 3 ปีของการเข้าไปลงทุนทำธุรกิจในเวียดนามประสบการณ์ในการติดต่อรวมถึงเรื่องราวในเวียดนามทำให้ผู้บริหารของทีเอ็น.ได้เรียนรู้ถึงขั้นตอน
ระเบียบและวิธีการของเวียดนามเป็นอย่างดี ดังนั้นทีเอ็น. วีนาไทยจึงเปิดบริการให้คำปรึกษาการลงทุนในเวียดนาม
รวมถึงการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทอันเป็นธุรกิจอีกแขนงหนึ่งของบริษัทด้วย
เถลิงศักดิ์ได้ให้ข้อเสนอแนะบางประการสำหรับการเข้าไปลงทุนในเวียดนามว่า
"ควรศึกษาเวียดนามในแง่ของกฎระเบียบให้ถ่องแท้ ตัวเองจะต้องมีความเข้าใจและความพร้อม
เวียดนามเป็นตลาดที่มีอนาคตดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเข้าไปทำแล้วจะได้กำไรทันที
มันอาจจะมีปัญหาบ้างในช่วงแรก นั่นเป็นแล้วเรื่องแน่นอนเพราะระบบการเงินของเวียดนามยังไม่พรั่งพรูเหมือนบ้านเรา
ถ้าจะทำธุรกิจอะไรในเวียดนามควรจะมองการลงทุนระยะยาว อย่ามองสั้นๆ อย่างเช่นการทำอุตสาหกรรมต่อเนื่องด้วยการนำวัตถุดิบที่มีในเวียดนามส่งออกขายต่างประเทศและข้อสำคัญควรหาพาร์ตเนอร์ให้ถูกต้อง"
ธุรกิจในเครือข่ายของกลุ่มทีเอ็น.
|
ชื่อบริษัท |
ประเภทธุรกิจ |
ทีเอ็น.ลอนดรี แอนด์ ดรายคลีนนิ่ง |
รับซักรีดจากกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม |
ทีเอ็น.ลอนดรี แอนด์ แอสโซซิเอท |
รับซักรีดจากกลุ่มลูกค้าอพาร์ทเม้นท์ |
ทีเอ็น.อินเตอร์ซัพพลาย (สิงคโปร์) |
ตัวแทนจัดหาสินค้าทั่วทุกมุมโลก |
ทีเอ็น.แอมเท็ค |
ผลิตแอร์ยี่ห้อเอ็มเท็ค |
ทีเอ็น.อินเตอร์เทรด |
ผลิตผ้าอนามัย |
|
ขายเครื่องจักรผลิตผ้าอนามัย |
|
นำเข้ายา |
|
รับเป็นที่ปรึกษาโครงการลงทุนในเวียดนาม |
|
ทำธุรกิจเรียลเอสเตท |
ปัญหาหนึ่งที่นักลงทุนจะต้องเผชิญคือค่าเงินด่องของเวียดนามที่ตกอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นราคาสินค้าจึงต้องมีการปรับกันตลอดเวลาเช่นกัน (ในระยะเวลา 3 ปี ค่าเงินด่องลดค่าลงจาก
3,700 ด่องต่อ 1 ดอลลาร์เป็น 11,000 ด่องต่อ 1 ดอลลาร์ในปัจจุบัน)
เถลิงศักดิ์ได้แนะนำวิธีง่ายที่สุดที่จะปลอดภัยจากความเสี่ยงที่จะเก็บเงินด่องไว้คือ
การนำเงินด่องที่ได้มาซื้อสินค้าในเวียดนามเก็บไว้และเอาสินค้านั้นขายในอนาคตอย่างเช่นการซื้อวัตถุดิบแล้วส่งกลับมาขายในประเทศทไทย
"ทุกคนต้องเร็วเสมือนความหวังของเวียดนามแข็งขึ้นก็คือ การที่อเมริกาจะยกเลิกกฎหมายห้ามค้ากับเวียดนาม
และเวียดนามเองสามารถสร้างความเชื่อให้กับโลกภายนอก จะทำให้เวียดนามมีเงินตราต่างประเทศเข้าไปเกื้อหนุนมากขึ้น"