|

หุ้นเด้ง 29 จุดรับ 'อ้อ' ลี้ภัย
ผู้จัดการรายวัน(8 สิงหาคม 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
นักลงทุน เฮ! รับข่าว "คุณหญิงพจมาน ชินวัตร" ลี้ภัยหลบต่างประเทศ หวั่นหนีไม่รอดคดีความต่างๆ ส่งผลดันดัชนีตลาดหุ้นไทยพุ่งแรง 29 จุด คิดเป็น4.29% มูลค่าหนาแน่นสูงสุดในรอบ 2 เดือนกว่า 2.7 หมื่นล้านบาท บวกกับนักลงทุนต่างชาติหวนคืนตลาดหุ้นหลังราคาน้ำมันโลกลด ด้านโบรกเกอร์ ฟันธงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นฟื้นตัว หลังปัจจัยลบทั้งใน-นอกประเทศเริ่มคลี่คลาย
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (7 ส.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในภาคเช้า หลังจากที่มีกระแสข่าวนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง จากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวลดลงช่วยผ่อนคลายความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะเริ่มทรงตัวจนถึงปลายปีนี้
ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ประเด็นเรื่องของการลี้ภัยทางการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา จะช่วยลดความขัดแย้งและคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมืองได้ จึงส่งผลต่อจิตวิทยาทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยมีราคาต่ำสุดที่ 676.93 จุด และปิดการซื้อขายที่ระดับสูงสุดที่ 705.35 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 29.00 จุด หรือคิดเป็น 4.29% มูลค่าการซื้อขายรวม 27,148.71 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 834.57 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2,052.36 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,217.79 ล้านบาทสำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. ปตท. ราคาปิด 264 บาท เพิ่มขึ้น 24 บาท หรือคิดเป็น 10% มูลค่าการซื้อขาย 2,713.10 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ปิดที่ 156 บาท เพิ่มขึ้น 11 บาท หรือ 7.59% มูลค่า 2,054.62 ล้านบาท และบมจ.ไทยออยล์ ปิดที่ 54 บาท เพิ่มขึ้น 4 บาท หรือ 8% มูลค่า 1,855.30 ล้านบาท
มูลค่าสูงสุดในรอบ 2 เดือน
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า วานนี้ (7 ส.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรง ก่อนจะปิดที่ระดับราคาสูงสุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ และมีมูลค่าการซื้อขายเข้ามาอย่างหนาแน่นถึงกว่า 2.7 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบกว่า 2 เดือน โดยมีแรงซื้อเขามาในหุ้นทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
โดยปัจจัยที่เข้ามาสนับสนุนน่าจะเกิดจากปัจจัยในประเทศเป็นหลัก คือ กระแสข่าวการลี้ภัยของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยาอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ทุกฝ่ายคาดการณ์ว่าจะช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศไม่ได้มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย พิจารณาจากดัชนีตลาดหุ้นภูมิภาค และราคาน้ำมันไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมากนัก
"ปัจจัยต่างประเทศแทบจะไม่มีผลต่อตลาดหุ้น เพราะไม่มีอะไรใหม่ ทั้งดาวโจนส์ ตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงราคาน้ำมันเองก็ไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจนส่งดีต่อตลาดหุ้น ดังนั้นปัจจัยหลักน่าจะเกิดจากข่าวการลี้ภัยของคุณหญิงพจมาน รวมถึงทุนต่างชาติที่คาดว่าจะกลับเข้ามาในตลาดหุ้นอีกครั้ง"
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (8 ส.ค.) การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถยืนเหนือระดับ 700 จุดได้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีและสนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปได้ แต่คาดว่าจะอยู่ในกรอบจำกัด เนื่องจากดัชนีได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงวานนี้ โดยประเมินแนวต้านไว้ที่ระดับ 715 จุด และแนวรับที่ 695 จุด
หุ้นพลังงาน-แบงก์ดันดัชนี
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างคึกคักหลังจากนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนจำนวนมาก โดยมีทั้ง 2 ลักษณะทั้งการเก็งกำไรและนักลงทุนที่เข้ามาช้อนซื้อเพื่อลงทุนจริงๆ หลังจากราคาหุ้นส่วนใหญ่ปรับลดลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานแล้ว ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ที่ประกาศออกมานั้นยังคงดีอยู่ แม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอาจดูไม่เอื้อต่อการดำเนินงานมากนัก
ขณะเดียวกันยังได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ลดลงต่อเนื่อง รวมถึงผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติโยกย้ายเงินเพื่อการลงทุนมากขึ้น รวมทั้งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยด้วย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และพลังงานที่เป็นกลุ่มที่มีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยมาก หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของมูลค่าตลาดรวมทั้งหมด
"ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะบวกให้เห็นได้อีก 2-3 วันต่อเนื่อง เพราะเป็นลักษณะการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ โดยให้แนวรับที่ 695 จุด และให้แนวต้านที่ 705-710 จุด แต่เชื่อว่าคงเป็นไปได้ยากที่ดัชนีจะทะลุ 710 จุด หรือต่ำสุดลงไม่เกิน 617 จุด"
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นปิดสูงกว่า 705 จุด เป็นไปตามเทคนิค หลังจากปรับลดลงต่อเนื่องมาหลายวัน และปรับฐานจากที่เคยลงไปที่ 680 จุด บวกกับแรงซื้อของต่างชาติที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจุดสำคัญคือมีการลงทุนทั้งในหุ้นและตลาดฟิวเจอร์ จากปกติจะมีลักษณะที่สวนทางกัน คือ หากซื้อหุ้นแล้วจะมีการขายฟิวเจอร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากแรงเก็งกำไรในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนดี เพราะผลงานไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนของไทยยังดี และการเมืองไม่มีความรุนแรง ขณะที่ราคาน้ำมันก็ปรับลดลงต่อเนื่อง ถือเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้นไทยอยู่แล้ว รวมทั้งตลาดหุ้นโดยรวม อย่าง ดาวโจนส์ ก็มีแรงบวกต่อเนื่อง เพราะแม้สหรัฐฯ จะมีปัญหาซับไพรม์ แต่เป็นเรื่องเดิมที่รับข่าวไปแล้ว ทั้งตัวเลขเอ็นพีแอล และดอกเบี้ย พร้อมกันนี้ ได้แนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นการเข้าลงทุนระยะสั้น โดยให้แนวต้านที่รอบใหม่ที่ 715-720 จุด แต่ถ้าต้องการให้ผ่านระดับ 720 จุด ต้องมีแรงซื้อขายในหุ้นกลุ่มพลังงานร่วมด้วย
ประสานเสียงครึ่งปีหลังหุ้นฟื้น
นายสุชีล นารูลา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 4-5 เดือนนับจากนี้ หลังจากไม่มีปัจจัยลบเข้ามากระทบและการที่ปัญหาในสหรัฐฯ เริ่มทรงตัว อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลง และอัตราดอกเบี้ยไม่เร่งปรับตัวเพิ่มขึ้น และแรงขายของนักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอตัวจากที่มีการขายออกไปประมาณ 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว โดยการยืมหุ้นมาซอต และจะกลับเข้ามาซื้อคืน
ด้าน ปัจจัยในประเทศ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศในช่วงดังกล่าว ยังไม่มีความขัดแย้งและความรุนแรง และคาดว่าเงินเฟ้อได้รับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดไปแล้ว และจะเริ่มปรับตัวลดลงตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป ขณะที่อัตราดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว รวมทั้งนักลงทุนยังคาดหวังรัฐบาลจะใช้มาตรการลดภาษีนิติบุคคลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย
ทั้งนี้ หากนักลงทุนต้องการลงทุนในตลาดหุ้น แนะนำซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดี ในอุตสาหกรรมที่สามารถปรับราคาสินค้าขึ้นไปได้ เพราะจะได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อน้อย แม้เงินเฟ้อทั่วไปจะเริ่มลดลงแต่ในเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนผู้ประกอบการ โดยแนะนำ กลุ่มธนาคาร สื่อสาร บันเทิงโรงแรมและโรงพยาบาล
นายสาธิต วรรณาศิลปิน กรรมการผู้จัดการ บล. นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ในช่วงนี้ภาวะตลาดอยู่ในช่วงหุ้นขาลงหรือภาวะหมี (แบร์มาร์เก็ต) เพราะมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ และส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยที่จะมีแรงซื้อเข้ามามากว่านักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนต่างชาติ โดยในช่วงไตรมาส 4 นี้ ตลาดหุ้นไทยน่าจะฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มคลี่คลายและมีความชัดเจน รวมถึงเศรษฐกิจน่าจะปรับตัวดีขึ้น
นายศิริพงษ์ สุทธาโรจน์ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ก่อนหน้าที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งเกิดจากการขายของนักลงทุนต่างชาติ โดยในช่วงครึ่งปีแรกนักลงทุนส่วนใหญ่จะโยกไปลงทุนในตลาดทางเลือกใหม่ (Alternative Market) เช่น ตลาดโภคภัณฑ์ (Commodity) และน้ำมัน แต่ในช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่าตลาดดังกล่าวอาจไม่น่าดึงดูดใจเท่ากับช่วงแรก ซึ่งสังเกตได้จากการที่ราคาน้ำมันปรับลดลง โดยนักลงทุนอาจจะโยกกลับมาลงทุนในตลาดหุ้น และพันธบัตรแทน
กลับสู่หน้าหลัก
 ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|