|
'ENGY'เหนือจอง1.25%
ผู้จัดการรายวัน(8 สิงหาคม 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
กองทุน ENGY ประเดิมเทรดไม่สวย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแค่ 1.25% แม้ภาพรวมกระดานหุ้นเขียวสะพัด ดัชนีบวกเพิ่มถึง 29 จุด 'โชติกา'มั่นใจระยะยาวจะให้ผลตอบเเทนที่ดี ล่าสุดเตรียมโรดโชว์ดึงนักลงทุนสถาบันเข้ามาลงทุนเพิ่ม พร้อมเสนอเเก้กฏก.ล.ต. ในเรื่องการจดทะเบียนกองทุนเพื่อลดความเสี่ยงช่วงรอเวลาเทรด และการเเก้ ไขพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯเพื่อเปิดทาง บลจ.เข้าซื้อหนวยลงทุนของกองทุนได้
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวถึงการแก้ไขกฎของสำหนักงานคณะกรรมการหลักทรัพย์เเละตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า อยากให้ก.ล.ต.เเก้ไขวิธีการจดทะเบียนกองทุน ETF เพราะวัตถุประสงค์ของETF ไม่เหมือนกับ กองทุนธรรมดาทั่วไป คือกองทุน ETF ต้องการเข้าไปลงทุนหุ้น ซึ่งผู้ถือหน่วยเเละนักลงทุนอยากจะซื้อขายก็ต่อเมื่อเห็นราคาตลาด โดยทำให้นักลงทุนที่ซื้อหน่วยลงทุนในช่วง ไอพีโอ ได้รับความเสี่ยงในช่วงที่กองทุนจะเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายภายในตลาดหลักทรัพย์ เพราะหลังจากปิดไอพีโอก็ไม่ยังไม่สามารถเอากองทุนเข้าไปจดทะเบียนเเล้วเทรดทันที่ไม่ได้ อีกทั้งต้องรอกองทรัพย์สินตรวจสอบหุ้น ซึ่งต้องใช้เวลาอีกหลายวันหรือT+3 ในการดำเนินงานกว่าจะเอากองหุ้นไปจดทะเบียนในกองทรัพย์สิน ในขณะที่ต่างประเทศ เช่นอเมริกานั้น อนุญาตให้บลจ.หาสปอนเซอร์หรือนำเงินของบลจ.ไปจดทะเบียนในตลาดก่อน เเละมีการเปิดไอพีโอ1 วัน หลังจากนั้นก็สามารถเทรดหรือทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ทันที ซึ่งขั้นตอนนี้ช่วนลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในช่วงรอการจดทะเบียนของกองทุน ETF
ส่วนที่สอง คืออยากให้เเก้ไข เป็นพระราชบัญญติ (พ.ร.บ)หลักทรัพย์เเละตลาดหลักทรัพย์ เรื่องการลงทุนของกองทุน ในข้อที่ห้ามให้บลจ..ซื้อหน่วยลงทุนภายใต้การดูเเลของบลจ. อย่างเช่นกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เนื่องจากกองทุน RMF เป็นกองทุนที่ลงทุนระยะยาว ทางเราก็อยากที่จะลงทุนกองทุน MTrack Energy ETF ของเราก็ทำไม่ได้เนื่องจากกฎของกลต.ทำให้เราลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานได้เพียงไม่กี่ตัว เมื่อเทียบกับการซื้อ MTrack Energy ETF ที่ซื้อกองทุนนี้เพียงกองเดียวเเต่สามารถลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานได้หลายตัว
“ENGY” เทรดวันเเรก'
นางโชติกา กล่าวว่า วานนี้ (7 ส.ค.)เป็นวันเเรกที่กองทุน MTrack Energy ETF เข้าสู่การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เเห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าโครงการอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท มีหน่ายลงทุน 730 ล้านหน่วย มูลค่าที่ตราไว้คือหน่วยละ 4.11 บาท โดยราคาเปิดตลาดในช่วงเช้าอยู่ที่ 3.98 บาท ซึ่งเราได้ประมาณผลตอบเเทนของกองทุนดังกล่าวไว้ที่ 4% ต่อปี ซึ่งเราจะพยายามจ่ายปันผลทุกไตรมาส ซึ่งตอนนี้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาถือหน่วยลงทุนภายในกองทุนแล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 2,000 ล้านบาทจะเป็นตลาดหลักทรัพย์และบล.ภัทร เนื่องจากสิ่งที่ทำให้นักลงทุนสถาบันมีความเขื่อมั่นต่อการเข้ามาลงทุน ENGY คือ ขนาดกองทุน และสภาพคล่องของกองทุน แต่สิ่งที่เราให้ความสำคัญมากที่สุด ตอนนี้คือสภาพคล่องของกองทุน เพราะถ้าสภาพคล่องของกองทุนมีมาก ก็จะทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนมากขึ้น หลังจากนั้นขนาดของกองทุนก็จะเติบโตขึ้นอีก
“สภาพคล่องที่นักลงทุนสถาบันต้องการนั้น ก็จะขึ้นอยู่กับพอร์ตที่มีนั้นค่อนข้างใหญ่หรือไม่ และเขา ก็ต้องดูก่อนอีกว่าเวลาซื้อหรือขายกองทุนเราจะมีสภาพคล่องขนาดไหน ไม่เช่นนั้นทางนักลงทุนสถาบันเลือกเข้าไปซื้อหุ้นจะดีกว่า และสิ่งที่บลจ.ทหารไทยต้องทำร่วมกับบล.ภัทรคือต้องทำสภาพคล่องภายในกองทุนให้ดี ไม่ใช่เพียงแต่มุ่งทำกำไรเป็นอย่างเดียว ”
นางโชติกา กล่าวอีกว่า สำหรับนักลงทุนสถาบันที่จะเข้ามาซื้อหน่วยลงทุน น่าจะเป็นกลุ่มประกัน กองทุนบำเน็จบำนาญราชการ(กบข.) สำนักงานประกันสังคม (ปกส.) กองทุนส่วนบุคคล และกลุ่มประกัน เพราะข้อดีของกองทุน “ENGY” มีข้อดีตรงที่ซื้อหน่วยลงทุนกองทุนเดียว แต่สามารถลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูง เช่น ปตท ปตท.สผ และบ้านปู โดยสัดส่วนที่ลงทุน ณ วันนี้คือ ลงทุนในปตท. 40% และปตท.สผ.20% ส่วนที่เหลืออีก 40% ก็จะกระจายอยู่ในหุ้นหมวดพลังงานเช่นกัน และตอนนี้ทางบลจ.เตรียมทำโรดโชว์เพื่อให้ความรู้เเก่นักลงทุนเกี่ยวกับกองทุนดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายย่อยเเละนักลงทุนสถาบันอีกด้วย
นอกจากนี้ ทางเราก็ยังสนใจกองทุนที่จะอิงกับดัชนีราคาหลักทรัพย์หมวดธนาคารพาณิชย์ เพราะเป็นกลุ่มอุตสหกรรมที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 เเละที่สำคัญมีสภาพคล่องค่อนข้างสูง ส่วนตัวอื่นอย่าง บิ๊กเเคปหรือสมอร์เเคปของSEt Index เเละSet 50 นั้นก็มีความสนใจเช่นกัน เเต่หากเป็น FSTHL นั้นอาจติดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่นักลงทุนต้องรับภาระ
ขณะเดียวกัน นายสุวิทย์ มาไพศาลสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA ในฐานผู้ร่วมค้าหน่วยการลงทุน อีทีเอฟหุ้นพลังงาน กล่าวว่า การที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลงนั้นทำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นกลุ่มดังกล่าวทำให้ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการซื้อขายวันแรกทำให้ราคาหุ้นอีทีเอฟพลังงานปรับตัวลดลง จากแรงขายทำกำไรระยะสั้น
ทั้งนี้หากพิจารณาในเรื่องปริมาณการซื้อขายถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมีสภาพคล่อง แต่บริษัทยังคงแนะนำการลงทุนในอีทีเอฟพลังงาน ในระยะกลางและยาวจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวเพราะมีศักยภาพการเติบโต รวมถึงมีความสำคัญต่อพื้นฐานเศรษฐกิจของไทย และผลประกอบการหุ้นกลุ่มดังกล่าวก็ออกมาดี เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)หรือ PTT บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)หรือ PTTEP ฯลฯซึ่งจะมีการสะท้อนกลับมาให้กองทุนอีทีเอฟพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ส่วนภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ที่ผ่านมาซึ่งนักลงทุนต่างชาติได้กลับเข้ามาซื้อสุทธินั้นขนาดนี้ไม่สามารถตอบได้ว่า นักลงทุนต่างชาติจะหยุดขายหุ้นไทยเพื่อกลับเข้ามาซื้อสุทธิเมื่อใด เพราะที่ผ่านมาจากการที่ต่างชาติได้มีการปรับพอร์ต ซึ่งส่วนใหญ่จะมีหุ้นกลุ่มพลังงานเก็บสะสมไว้ในพอร์ตมากจึงทำให้หุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวลดลง นั่นเอง
สำหรับภาวะการซื้อวันแรกของ "ENGY" วานนี้ (7ส.ค.) ช่วงเช้าที่เริ่มทำการซื้อขายกองทุนมีราคาเปิดที่ 3.96 บาท ปรับลดลง 0.1488 บาท หรือ 3.62% จากราคาไอพีโอ 4.1088 บาท ซึ่งระหว่างวันราคาหน่วยลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาปรับตัวสูงสุดที่ 4.17 บาท ต่ำสุด 3.95 บาท และปิดตลาดที่ 4.16 บาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 0.0512 บาท หรือ 1.25% มูลค่าการซื้อขาย 49.84 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯปิดที่ 705.35 จุด เพิ่มขึ้น 29.00 จุด หรือ 4.29% มูลค่าการซื้อขาย 27,148.71 ล้านบาท
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|