AP ออกหุ้นกู้มูลค่า 1,000ล. ดบ.ขั้นบันได


ผู้จัดการรายวัน(31 กรกฎาคม 2551)



กลับสู่หน้าหลัก

'เอเชี่ยน พร็อพ-เพอร์ตี้' เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นใน ตลาดทุน ด้วยการเตรียมเสนอขายหุ้น กู้อายุ 3 ปี มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท ผ่านแบงก์ไทยพาณิชย์ ในอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดปีที่ 1 ให้ 5.0% ปีที่ 2 เท่ากับ 6.0% ต่อปี และปีที่ 3 ที่ 7.0% โดยจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน พร้อม เปิดจองซื้อ 4-7 สิงหาคมนี้ โบรก-เกอร์คาดผลประกอบการไตรมาส 2 โดดเด่น

นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (AP) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้แต่งตั้งให้ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้อายุ 3 ปีของบริษัท จำนวนรวม 1,000,000 หน่วย มูลค่าหุ้นกู้รวม 1,000,000,000 บาท ซึ่งการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ถือเป็นการปรับโครงสร้างทางการเงินของบริษัทให้ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยในระยะยาว

สำหรับผลตอบแทนของหุ้นกู้ดังกล่าว คือ อัตราดอกเบี้ย 5.0% ในปีแรก ปีที่ 2 เท่ากับ 6.0% และปีที่ 3 เท่ากับ 7.0% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและจองซื้อหุ้นกู้ AP ได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 4-7 สิงหาคม 2551 นี้ โดยกำหนดวงเงินจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท

โดย บริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ AP ในระดับ BBB+ มีแนวโน้มของอันดับเครดิตคงที่ โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานของบริษัทในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ความยืดหยุ่นในการบริหารงาน ของบริษัทที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนและพัฒนาโครงการให้เป็นไปตามแนวโน้ม ของอุตสาหกรรม ตราสัญลักษณ์ AP ที่เป็นที่ยอมรับในเรื่องของผู้นำที่อยู่อาศัยใน เมือง ตลอดจนผลงานที่เป็นที่ยอมรับสำหรับทาวน์เฮาส์ในเมือง และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ถึงแม้ตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมต้องปรับราคาขายสินค้าขึ้นเนื่องจากผลกระทบด้านต้นทุน แต่อย่างไรก็ตาม ที่อยู่อาศัยในทำเลใจกลางเมือง ติดแนวรถไฟฟ้ายังได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขายรวมจำนวน 4,433 ล้านบาท แบ่งเป็นสินค้าแนวราบจำนวน 3,233 ล้านบาท และสินค้าแนวสูงจำนวน 1.2 พันล้านบาท ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 2 บริษัทมีสินค้าในมือ ที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมประมาณ 17,806 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 2553

ขณะเดียวกัน ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 4 โครงการ มูลค่ารวม 2,010 ล้านบาท ซึ่งเป็นแนวสูง 1 โครงการ และแนวราบ 3 โครงการ ส่วนแผน งานในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวม 17,260 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวม 10,940 ล้านบาท และแนวราบ จำนวน 7 โครงการ มูลค่ารวม 6,320 ล้านบาท ส่งผลให้ทั้งปีบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 16 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 19,270 ล้านบาท ถือเป็นการเปิดตัวโครงการในจำนวนมากที่สุดเท่าที่ผ่านมา โดยบริษัทยังคงตั้งเป้าหมายทางด้านยอดขายไว้ที่ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท และมีแผนการรับรู้รายได้ในอัตราที่เติบโตจากปีก่อนประมาณ 15% หรือประมาณ 9 พันล้านบาท

นอกจากนี้ เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์มากขึ้น บริษัทเตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในส่วนของบ้านเดี่ยว ภายใต้ชื่อ เดอะ เซ็นโทร (The Centro) โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายระดับกลาง ราคาขายประมาณ 3.5-5 ล้านบาท ซึ่งจาก เดิมที่บริษัทพัฒนาบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ เดอะ ซิตี้ (The City) ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายระดับบนเท่านั้น โดยรูปแบบของบ้าน เดอะ เซ็นโทร จะมีขนาดที่เหมาะสมกับความต้องการของคนเมือง เน้นความโปร่งโล่งด้วยพื้นที่กระจกขนาดใหญ่ แบ่งสัดส่วนพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่ใช้สอยของครอบครัวได้อย่างลงตัว

อย่างไรก็ตาม แม้ราคาน้ำมันจะทรงตัว อยู่ในระดับสูง แต่บริษัทเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อ ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ไม่น่าจะถึงขั้นตัวเลข 2 หลักและเชื่อว่าปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อจะไม่ส่งผลกระทบกำลังซื้อมากกว่าการเมือง ในขณะนี้เพราะปัญหาดังกล่าวยังถือว่าเป็นไฟลามทุ่งและจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทำให้บริษัทยังคงคาดหวังว่ายอดขายในครึ่งปีหลังจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากบริษัทมีโครงการใหม่ที่กำลังจะเปิด มูลค่ารวมกว่า 10,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น คอนโดมิเนียมจำนวน 3 โครงการ บ้านเดี่ยว จำนวน 2 โครงการ

บทวิเคราะห์จาก บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุถึงหุ้น AP ว่าให้คำแนะนำ ซื้อ (ปรับขึ้น จาก ถือ) โดยคาดว่าบริษัทจะประกาศกำไรสุทธิ 2Q51 ออกมาโดดเด่นมากเป็น 426 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 334% y-o-y สืบเนื่องจาก 1) การรับรู้รายได้สูงเพราะผู้ซื้อบ้านเลื่อนการ โอนกรรมสิทธิ์จาก 1Q51 มาเป็น 2Q51 เพื่อสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ 2) ประหยัดค่าใช้จ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะและค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่ออกให้ลูกค้าได้จากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งค่าใช้จ่ายในการเปิดขายโครงการใหม่ก็ลดลง เพราะเปิดขายโครงการใหม่น้อย

ส่วนยอดขาย (Presales) ใน 2Q51 กลับปรับตัวลดลงทั้ง y-o-y และ q-o-q ผลพวงจากการที่ AP เปิดขายโครงการใหม่เพียง 4 โครงการ ที่มูลค่าขาย 2.0 พันล้านบาท ซึ่งแต่ละโครงการนั้นมีขนาดเล็กๆ อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวโน้มของยอดขายในอนาคตจะมีความสดใสมากขึ้น ตามที่บริษัทวางแผนที่จะเปิดขายโครงการใหม่ถึง 12 โครงการใน 2H51 นี้ มูลค่าขายรวมสูงถึง 17.3 พันล้านบาท โครงการใหม่ดังกล่าวประกอบด้วย คอนโดมิเนียม 5 โครงการ ซึ่งทำเลดีคือ อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า และโครงการบ้านแนวราบ 7 โครงการ จุดแข็งของบริษัทคือ มียอดขาย รอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่สูงมากถึง 15 พันล้านบาท สร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนได้ว่า การรับรู้รายได้ในอนาคตจะมีความมั่นคงใน 2-3 ปีข้างหน้า

สำหรับราคาหุ้นได้ปรับตัวลงถึง 41% หลังจากได้ขึ้นไปทำยอดสูงสุดที่ 8.05 บาท ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ผลพวงจากปัจจัยลบแวดล้อม คือ การเมืองไทยที่ไม่แน่นอน อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อก็เร่งตัวขึ้น ราคาหุ้นซื้อขายที่ P/E ปี 51 ที่ต่ำเพียง 8.6 เท่า และเสนอส่วนเพิ่มถึง 22.2% เทียบกับราคาพื้นฐานใหม่ 5.82 บาท ซึ่งอิงตาม P/E ปี 51 ที่ 10.0 เท่า อีกทั้งคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี 51 อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจเป็น 4.8% ส่วนความเสี่ยงคือ ราคาวัสดุก่อสร้างที่อยู่ในระดับสูง และการชะลอตัวลงของการบริโภคภายในประเทศ


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.