เบื้องหลังบุญนำจับมืออินโดฯ ตั้งโรงผลิตผ้าใบยางรถยนต์หลังเกษียณ


นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2534)



กลับสู่หน้าหลัก

ชีวิตบั้นปลายของบุญนำ บุญนำทรัพย์ นักธุรกิจชั้นนำทางด้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปของโลกในวันนี้ถือว่าเพียบพร้อมและเพียงพอแล้วกับความหวัง และความสำเร็จเกินคาดในสิ่งที่ตนไม่คิดว่าจะยิ่งใหญ่และเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปอย่างกว้างขวาง

แม้วันที่กำหนดเกษียณตัวเองในปีนี้ ก็ยังไม่วายที่จะเปิดตัวแถลงข่าวแนะนำโครงการใหม่ ซึ่งแทบจะไม่เคยปรากฏเลยในชีวิตของเขา

งานนี้บุญนำเป็นประธานกรรมการบริษัท ไทยบรันตา มูเลีย จำกัด ซึ่งมุ่งผลิตผ้าใบยางรถยนต์

นับเป็นการลงทุนที่ต่างไปจากโครงการด้านสิ่งทอและเสื้อผ้าที่เขาเคยทำ ซึ่งจะลงทุนกับเพื่อนในวงการเดียวกัน เชื้อชาติเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ แต่คราวนี้เป็นการร่วมทุนกับอินโดนีเซีย เรียกว่าเป็นการร่วมทุนกับต่างชาติที่มีสัดส่วนถือหุ้นสูงที่สุดเท่าที่มีมา

หลายคนอาจจะแปลกใจว่า ทำไมบุญนำจึงขยายมาลงทุนในโครงการที่เป็นธุรกิจนอกเหนือจากสิ่งทอ

โดยตัวบริษัท ไทยบรัน-ตาฯ ตั้งขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน ปีที่แล้ว ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 352 ล้านบาท เป็นการร่วมทุนของไทยและอินโดนีเซียสัดส่วน 51 ต่อ 49 นั่นก็คือ 49% เป็นหุ้น่ของบริษัท พี.ทีงบรันตามูเลียจำกัดผู้ผลิตผ้าใบยางรถยนต์ของอินโดนีเซีย

อีก 51% จะแยกเป็นการถือหุ้นของบริษัท ไทย นูซ่า ดีเวลลอปเม้นท จำกัด (เป็นการร่วมทุนของกลุ่มบุญนำและกลุ่มบริษัทดีของอินโดนีเซีย) 31% ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนในการลงทุนโครงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเคมีธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจสิ่งทอ ฯลฯ

ส่วน 20% ที่เหลือเป็นหุ้นของธนาคารกรุงเทพของบุญนำโดยส่วนตัว ประภา วิริยประไพกิจ และสมศักดิ์ ลี้สวัสดิ์ตระกุล

สำหรับบริษัท พี.ที.บรันตา มูเลียเป็นสาขาของบริษัทอินโด ซิเมนต์ ยักษ์ใหญ่ธุรกิจของกลุ่มลิม ซู เหลียงในอินโดนีเซีย ซึ่งมีเครือข่ายธุรกิจหลากหลาย เช่น ยานยนต์ เคมี ปิโตรเคมีกระจายไปทั่วโลก

เฉพาะทางด้านยานยนต์พี.ที.บรันตา มูเลียได้ตกลงเซ็นสัญญาใช้เทคโนโลยีของบริษัทกู๊ดเยียร์ ไทร์ แอนด์ รับเบอร์จากสหรัฐฯ โดยเริ่มสร้างโรงงานผลิตผ้าใบยางรถยนต์ในปี 2526 และเสร็จในปี 2528 จากนันก็ทำสัญญาลักาณะเดียวกันกับบริษัท บริดจสโตน คอร์ปอเรชั่น จำกัด แห่งญี่ปุ่น

การใช้เทคโนโลยีและระบบากรผลิตที่ทันสมัยของริษัทยางรถยนต์ทั้งสองราย ทำให้พี.ที.บรันตา มูเลียผลิตสินค้าได้ตรงความต้องการของตลาดทำให้เพิ่มปริมาณการผลิตจาก 6,000 ตันในปี 2529 ขึ้นมาเป็น 20,000 ตันในปี 2533

ยอดขาย 2,500 ล้านบาทในปีที่แล้วก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 3,500 ล้านบาทในปีนี้ หรือคิดเป็นสัดส่วนที่สูงขึ้น 37%

ตลาดของพี.ที.บรันตา มูเลีย ครอบคลุมบริษัทยางยนต์รายใหญ่ทั่วโลก เช่น กู๊ดเยียร์บริดจสโตน ยูนิโรยัล-กู๊ดริช ดันล๊อป-ซูมิโตโม โยโกฮาม่า มิชลิน ตลอดจนผู้ผลิตยางรายอื่นในอินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ปากีสถาน จีน ญี่ปุ่น กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และแอฟริกาตะวันออก

โครงการผลิตผ้าใบยางรถยนต์ในไทยครั้งนี้จะตั้งโรงงานบริเวณสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยได้วางศิลาฤกษ์ไปเมื่อเช้าวันที่ 1 ตุลาคมศกนี้ กำหนดสร้างเสร็จในปลายปี 2535 มีกำลังผลิต 12,000 ตันต่อปี ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 2,000 ล้านบาท

จากปริมาณดังกล่าวจะป้อนตลาดในประเทศ 50% ซึ่งคาดว่าจะช่วยทดแทนการนำเข้าได้ประมาณปีละ 900 ล้านบาทอีกครึ่งหนึ่งจะส่งออกได้ราวปีละ 750 ล้านบาท

เมื่อสร้างโรงงานแห่งนี้เสร็จจะทำให้พี.ที.บรันตา มูเลียมีกำลังการผลิตผ้าใบยางรถยนต์ทั้งหมดถึง 32,000 ตันต่อปีและจะกลายเป็นกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ส่วนวัตถุดิบที่ใช้ผลิตผ้าใบยางรถยนต์ คือ ไนลอนนั้นในช่วงแรกจะให้บริษัท ดูปองต์เป็นผู้จัดการให้ก่อนเมื่อผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และโดยเฉพาะเส้นใยไนลอน 66 ซึ่งมีคุณสมบัติเหนียวเป็นพิเศษแล้ว ก็จะใช้วัตถุดิบในประเทศ

โครงการผลิตไนลอน 66 นี้เป็นแผนลงทุนต่อไปของบริษัท ไทยบรันตาฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาขอซื้อสิทธิการผลิตจากดูปองต์ โดยดูปองต์จะขอเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในโครงการ แต่ติดเงื่อนไขบีดอไอที่กำหนดว่าจะต้องให้คนไทยถือหุ้นมากกว่า 50% อย่างไรก็ตาม ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็จะหันไปเลือกใช้เทคโนโลยีของรายอื่นแทน

ขณะที่ธุรกิจนกลุ่มบุญนำนั้น มีบริษัทไทยโพลิเมอร์เท็กซ์ไทล์ จำกัด เป็นผู้ผลิตเส้นใยสังเคราะห์ เพื่อเสริมธุรกิจในเครือให้ครบวงจรและมั่นคงยิ่งขึ้น โดยมีมารูเบนี่คอร์ปอเรชั่นจากญี่ปุ่นถือหุ้นใหญ่ 15% สมานโอภาสวงศ์ 10% ชาตรี โสภณพนิช 10% สุชัย วีระเมธีกุลจากเอ็มไทยกรุ๊ป 5% ประภาวิริยประไพกิจจากกลุ่มสหวิริยา 5% และบุญนำเองถือ 10% ที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นอื่นทั้งในและนอกวงการ

ดังนั้น โครงการผลิตไนลอน 66 ก็คือส่วนหนึ่งของธุรกิจสิ่งทอที่บุญนำคลุกคลีมาตลอดชีวิต เฉพาะอย่างยิ่งเส้นใยสังเคราะห์นั้นยิ่งจะเป็นวัตถุดิบที่สำคัญที่มีแนวโน้มความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมากในอุตสหากรรมสิ่งทอ

โครงการนี้ต่างหากที่บุญนำสนใจ เพราะถนัดและเชี่ยวชาญ

อย่างไรก็ตาม พูดได้ว่าโครงการนี้เกิดขึ้นจากการชักนำของแบงก์กรุงเทพ

ด้วยความที่แบงก์กรุงเทพเป็นบริษัทไทยรายแรกที่เข้าไปลงทุนในอินโดนีเซียช่วงกลางทศวรรษที่ 60 และตามมาด้วยซีพี

จากสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและยาวนาน เมื่อ พี.ที.บรันตา มูเลียคิดขยายการลงทุนไปยังประเทศไทยและภูมิภาคนี้ก็ได้ติดต่อผ่านแบงก์กรุงเทพให้เป็นคนช่วยหาผู้ร่วมทุน

ขณะที่บุญนำเป็นลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีของแบงก์กรุงเทพและใช้บริการกันมานานนับหลายสิบปี เพราะบุญนำเป็นเพื่อนกับชาตรี โสภณพนิชตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มน้อย บุญนำจึงเป็นชื่อที่ทางแบงก์กรุงเทพและนำให้กับพี.ที.บรันตา มูเลีย

นับว่าเป็นความลงตัวและสอดคล้องของธุรกิจซึ่งอยู่ในสายเดียวกัน "มิใช่เป็นเพราะความเลื่องลือที่ว่า บุญนำเป็นเจ้าพ่อสิ่งทอรุ่นที่สองของไทยแต่เป็น LONG CONNECTION" ดร.แจแลล เมทิน กรรมการบริหารของพี.ที.บรันตา มูเลีย เปิดเผย "ผู้จัดการ"

การร่วมทุนครั้งนี้นับเป็นการรุกตลาดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ของอินโดนีเซีย และเป็นแนวโน้มที่ดีว่าแต่ละประเทศในภูมิภาคนี้จะมีการร่วมมือทางการค้าเศรษฐกิจตลอดจนด้านอื่น ๆ มากขึ้นในอนาคตอันจะเป็นเครื่องมือต่อทางการค้าระหว่างกลุ่มภูมิภาคในอนาคต

งานนี้จึงเป็นการลงทุนของบุญนำหลังจากที่กำหนดเกษียณตัวเองในปีนี้

แต่เป็นการลงทุนที่บุญนำบอกว่า ตนก็ลงไปเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้เป็นหลักและไม่คิดจะเป็นหลักในการลงทุนในธุรกิจใดอีกดังที่บุญนำกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "พอแล้ว เดี๋ยวนี้แก่ไปมาก มีงานก็ปล่อยให้คนอื่นทำ ที่ทำ ๆ อยู่ ก็ให้คนอื่นบริหารทั้งนั้น" โดย แอนดรีย์ พริบาดี เป็นกรรมการผู้จัดการ และแชแนลโทเกอร์ เป็นผู้จัดการทั่วไปส่วนตัวเอง "รอแค่เก็บกำไรดีกว่า จะได้ไม่เหนื่อย"

สิ่งที่จะเห็นบุญนำเป็นคนออกโรงก็คือ "เซ็นชื่ออย่างเดียว แต่เซ็น (กู้)มาก ๆ กลางคืนคิดแล้วปวดหัว" เขากล่าวอย่างติดตลกต่อหน้าชนะ กาญจนวัฒน์ ซึ่งรับผิดชอบการปล่อยเงินกู้ของแบงก์กรุงเทพและตอบกลับมาว่า "นั่นเพราะอาเจ็ก (บุญนำ) เป็นลูกค้าที่ดี"

พิธีเซ็นสัญญากู้เงิน 52 ล้านบาทจากแบงก์กรุงเทพเพื่อใช้ในการสร้างโรงงานจึงมีขึ้นเมื่อบ่ายวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมาผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องมากันพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกคนดูยิ้มแย้มสดใสถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นปิติสิทธิอำนวย กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ และชาติสิริ โสภณพนิช จากค่ายแบงก์กรุงเทพ หรือนักธุรกิจตระกูลพริบาดี ยักษ์ใหญ่ในอินโดนีเซีย

จากโครงการนี้นับเป็นการยืนยันได้ว่าแม้บุญนำจะเกษียณตัวเองก็ตาม แต่ก็ไม่อาจสลัดความเนื้อหอมที่จะมีคนมาชักชวนลงทุนในโครงการต่าง ๆ ไปได้



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.