ประภัสร์ จงสงวน มือกฎหมายทางด่วน


นิตยสารผู้จัดการ( พฤศจิกายน 2534)



กลับสู่หน้าหลัก

หนุ่มนักเรียนนอกผู้นี้หมายมั่นปั่นมือว่าเมื่อเรียบจบออกมาจะเป็นตำรวจ แต่ความตั้งใจที่มีอยู่เดิมต้องแปรเปลี่ยนไปด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการ ในขณะที่ความสามารถขณะนั้น ได้ผลักดันให้เขาเข้ามานั่งอยู่ในตำแหน่งผู้อำนวยการกองนิติการของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย

ประภัสร์ จงสงวนเป็นบุตรชายของส่องศรี-สุพจน์ จงสงวนซึ่งรับราชการอยู่กระทรวงการต่างประเทศโดยมีตำแหน่งในปัจจุบันเป็นอัครราชทูตไทยประจำประเทศบรูไน และเป็นพี่ชายของณัฐศิลป์ จงสงวน กรรมการผู้จัดการบริษัทมอร์แกนเกรนเฟลล์ ไทย

ประภัสร์เรียนจบคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากนั้นได้เดินทางไปศึกษาต่อปริญญาโทที่ CALIFORNIA STATE UNIVERSITY AT FRESNO ในสาขาอาชญากรโดยที่ประภัสร์คิดว่าเป็นวิชาที่ตรงที่สุดกับความตั้งใจที่จะออกมาเป็นตำรวจ

และแล้วความคิดที่จะสมัครเป็นตำรวจที่แคลิฟอร์เนียหลังจากเรียนจบก็ต้องยกเลิกไปเมื่อประภัสร์ถูกแม่ขอร้องให้กลับประเทศไทย พร้อมกับความตั้งใจจะกลับมาเป็นตำรวจเมืองไทย

แต่เมื่อกลับมาแล้วเห็นว่าไม่ไหวจึงเปลี่ยนใจเพราะคิดว่าคงไม่เหมาะสมกับตนเอง จึงได้สมัครเข้าทำงานกับสำนักงานทนายความของอังกฤษ มงคลนาวินในปี 2523 รับผิดชอบทางด้านงานที่ปรึกษากฎหมายทั่วไปอย่างเช่นสัญญาเช่าหรือสัญญาจำนอง ในขณะเดียวกันก็รับผิดชอบงานด้านสิทธิบัตร (เครื่องหมายการค้า) อยู่ที่บริษัทเทพศรีหริศ ซึ่งเป็นสำนักงานทนายความเก่าแก่ที่อังกฤษซื้อกิจการมาจากเจ้าของเดิม

ในช่วงขณะนั้นเองได้มีคดีหนึ่งเกิดขึ้น โดยที่สำนักงานทนายความของอุกฤษเป็นทนายให้กับทางบริษัทผู้รับเหมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการทางพิเศษฯ ในเรื่องการก่อสร้างทางด่วนดินแดง ทำให้ประภัสร์ได้มีโอกาสรู้จักกับ จุลสิงห์ วสันตสิงห์ ที่ปรึกษาสำนักงานอัยการสูงสุดซึ่งเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับการทางพิเศษฯ ในขณะนั้น

จุลสิงห์ได้ชักชวนให้ประภัสร์มาทำงานที่การทางพิเศษฯ ด้วยเห็นว่าหน่วยก้านดี และที่สำคัญคือความสามารถทางด้านภาษาเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการทางพิเศษฯขณะนั้น

ประภัสร์ตัดสินใจมาทำงานที่การทางพิเศษฯ จากความเห็นชอบของครอบครัวที่ต้องการให้ลูกชายเข้ารับราชการ

"ตอนนั้นคิดว่าจะมาช่วยเขาจริง ๆ เนื่องจากขณะนั้นการทางฯ รับผิดชอบทางด่วน มีผู้รับเหมาต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องโดยเฉพาะเงินกู้เพื่อการพัฒนาจาก OECF ความจำเป็นในเรื่องของภาษาจึงเกิดขึ้น ในขณะที่ปัญหาของการทางฯ ช่วงนั้นนักกฎหมายแท้ ๆ ที่สามารถโต้ตอบภาษาอังกฤษได้อย่างทันทีทันควันขาดแคลน ผมทราบเรื่องนี้จากคุณจุลสิงห์จึงคิดว่ามาช่วยเขาได้ก็เลนมา" ประภัสร์กล่าวถึงเหตุผลของการตัดสินใจมาอยู่การทางฯ

ประภัสร์เข้ามาร่วมงานกับการทางฯ ในตำแหน่งนิติกรระดับ 7 เมื่อปี 2528 เพียงระยะเวลาปีครึ่งก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้ากองนิติการ จากนั้นอีกปีครึ่งจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการกองนิติการเมื่ออายุได้เพียง 33 ปี นับเป็นผู้อำนวยการกองที่มีอายุน้อยที่สุดในการทางฯ

การที่ประภัสร์ก้าวขึ้นมาในตำแหน่งผู้อำนวยการกองอย่างรวดเร็วทำให้ประภัสร์ถูกมองไปว่าเป็น "เด็กเส้น" ของผู้ใหญ่ในการทางฯ ซึ่งประภัสร์เองก็รู้สึกถึงเรื่องนี้ดี

"ตอนแรกก็มีปัญหาเพราะผู้บังคับบัญชาไม่ค่อยยอมรับ แต่พอเขาเห็นเราทำงานได้การยอมรับก็ตามมา ผมก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าเมื่ออยู่ในตำแหน่งนี้คนจะยอมรับ เห็นหน้าอ่อน ๆ เข้ามาในตำแหน่งสูง ๆ คงคิดว่าต้องเส้นใครเข้ามาทำงานคงไม่เป็น แต่ตอนหลังความคิดก็เปลี่ยนเมื่อเราทำได้เขาก็ยอมรับในที่สุด เป็นธรรมดาของคน"

สิ่งที่ประภัสร์พยายาทำหลังจากได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการ คือพยายามปรับทัศนคติของพนักงานในกองให้มีความรับผิดชอบต่องาน ทำอย่างไรให้การดำเนินงานของกองราบรื่นที่สุด และเป็นประโยชน์ต่อคนที่มาใช้บริการของกองนิติการโดยเฉพาะการทำงานที่มีเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะทุกนาทีทุกชั่วดมงหมายถึงดอกเบี้ยที่คิดเป็นตัวเงิน ตราบใดที่ข้อสัญญายังไม่ออก งานก็ไม่สามารถทำกันได้ ความล่าช้าจะเกิดต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ความเสียหายก็จะเกิดตามมา

หน้าที่ในความรับผิดชอบของกองนิติการคืองานด้านกฎหมายของการทางฯ ทั้งหมดรวมถึงสัญญาต่าง ๆ อย่างเช่นสัญญารถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 หรือขั้นที่ 3 และขั้นที่ 4 ซึ่งอยู่ระหว่างการให้วิศวกรทำการศึกษาความเป็นไปได้

เมื่อพูดถึงภาระหน้าที่ในการรักษาผลประโยชน์ของการทางฯ ให้มากที่สุด ประภัสร์กลับมองว่า การรักษาผลประโยชน์ควรให้เป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่ายการที่ให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนแน่นอนว่าองค์กรธุรกิจต้องแสวงหากำไร เพียงแต่ว่ากำไรนั้นควรจะเป็นเท่าไหร่ เงื่อนไขเหมาะสมหรือไม่ เพราะความผูกพันต่อสัญญาแต่ละครั้งยาวนานถึง 30 ปี ถ้าสัญญาไม่ดีบาปจะตกต่อคนรุ่นหลังต่อไปจึงต้องพยายามดูกันอย่างดีที่สุด

การยกร่างสัญญาทางด่วนขั้นที่ 2 ในส่วนที่เกี่ยวกับข้อกฎหมายเป็นผลงานท่ประภัสร์มีส่วนในความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ นอกเหนือจากการออกกฎหมายอื่น ๆ ของการทางฯ

โดยส่วนตัวแล้วประภัสร์ยอมรับว่า เขามีความคิดไม่เหมือนคนอื่น อย่างกรณีของการตัดสินใจเข้ามาอยู่ที่การทางฯ ทั้ง ๆ ที่ได้รับเงินเดือนเพียงเดือนละ 6-7 พันบาทในขณะที่เคยได้รับจากที่เดิมถึง 2 หมื่นเศษ แต่ประภัสร์กลับกล่าวถึงเรื่องนี้วา "ผมไม่ได้รวย แต่ผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน ผมไม่เคยคิดว่าจะต้องทำงานให้ได้เงินเดือนเป็นแสน ๆ คนเราความสุขมันไม่ได้อยู่ตรงนี้ผสมสามารถรักษาผลประโยชน์ให้กับคนส่วนรวมได้ มันเป็นความภูมิใจอย่างหนึ่งที่ได้เห็นภาพจากการไม่มีอะไร มันผุดขึ้นมาเป็นสะพาน เป็นทางด่วนและเราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น ซึ่งผมคิดว่าความภูมิใจอันนี้บางทีเงินก็ซื้อมาไม่ได้"

และดูเหมือนความคิดนี้จะสวนทางกับโรคสมองไหลที่กำลังเกิดขึ้นกับหน่วยงานราชการของรัฐเป็นอย่างยิ่ง



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.