พัทยา ยังต้องเน่าอีกนาน

โดย นฤมล อภินิเวศ โสภิดา วีรกุลเทวัญ สุกรานต์ โรจนไพรวงศ์
นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2534)



กลับสู่หน้าหลัก

5S - SEA SUN SAND SEX AND SERVICE คือ สโลแกนที่บ่งบอกถึงการเป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่มีความพร้อมสูงมากในทุก ๆ ด้านของพัทยา สร้างชื่อเสียง และนำเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลเข้าประเทศมานานหลายปี กระทั่งไม่นานมานี้ อาการเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะปัญหาน้ำเน่าได้ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด ขณะที่แผนการแก้ไขมากมายที่วางกันมาหลายสมัยทั้งใหม่และเก่ากลับมัวติดขัดด้วยอุปสรรคนานาประการ…การเสื่อมสลายของ SEA หรือ SAND นี้อาจทำให้การเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของพัทยาถึงกาลอวสานได้ หรือมิเช่นนั้นก็ไม่ต้องขายความงามทางธรรมชาติกันอีกต่อไป ยังไงก็มีความงามแห่งเรือนร่างหญิงให้ขายได้ตลอดกาล

ใครที่เคยไปพัทยาเมื่อ 7-8 ปีก่อนคงยังจำได้ถึงภาพโค้งหาดทรายยาวทอดตัวลาดสู่ท้องทะเลเชื่อมต่อแผ่นดินกับพื้นน้ำในอ่าวพัทยา ซึ่งสะท้อนสีครามใสรับกับท้องฟ้าโปร่ง ริมถนนเรียบชายหาดก็เรียงรายอยู่ด้วยร้านค้าและสถานบริการที่พร้อมตอบสนองความต้องการและสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้เดินทางมาพักผ่อน …ธรรมชาติกับเมืองยืนอยู่เคียงข้างและควบคู่กัน

แต่ถ้ากลับไปพัทยาในวันนี้ จะได้ภาพอีกแบบหนึ่ง แม้ทะเลจะยังคงวาดวงเว้าเป็นอ่าวอยู่เช่นเดิม แต่แนวหาดทรายก็หายไปเสียแล้ว มีเพียงคันเขื่อนคอนกรีตกั้นไว้ ยามเย็นที่น้ำทะเลขึ้นนักท่องเที่ยวจากแดนไกลผู้ตั้งใจมาเที่ยวเมืองชายทะเลลงจากรถแล้วถึงกับต้องถามว่า "WHERE IS THE BEACH?"

สีครามของท้องทะเลถูกแต้มด้วยริ้วสีดำของน้ำจากท่อต่าง ๆ บวกกับสีสันของสกูตเตอร์ที่วิ่งกันวุ่นวาย และเรือโดยสารที่จอดระโยงระยางริมถนนเรียบชายหาด รวมถึงถนนสาย 2 มีสถานบริการและร้านค้าเพิ่มขึ้นอีก 3-4 เท่าตัว บาร์เบียร์กระจุกตัวเป็นหย่อม ๆ กระจายเกลื่อนอยู่ทั่วไป ตัวอาคารต่าง ๆ แออัดและเบียดเสียดอยู่ด้วยรูปร่างหน้าตาเหมือน ๆ กัน บ้างเสร็จสิ้นเป็นทรงเหลี่ยมสูงสมบูรณ์แล้ว บ้างก็ยังระเกะระกะไปด้วยเครนก่อสร้าง ร่วมกันบดบังทิวทัศน์ไปจนสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ท้องฟ้า

มิพักต้องพูดถึงการจราจรบนท้องถนนแทบทุกสายที่คับคั่งราวกับว่า เป็นส่วนเดียวกันกับปัญหารถติดตั้งแต่เมืองกรุงไล่ไปตามถนนสุขุมวิท จนถึงภายในตัวเมืองพัทยา

เมืองท่องเที่ยวที่เคยได้ชื่อว่า เป็นเมือง 5S คือ SEA SUN SAND SEX AND SERVICE ดูเหมือนจะไม่มีที่เหลือให้กับ "S" 3 ตัวแรกสักเท่าไร

ข่าวคราวที่ว่าอ่าวพัทยาเริ่มเน่า - ธรรมชาติที่พัทยาตายแล้วนับว่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นผลดีต่อเมืองท่องเที่ยวที่วางตัวว่า เป็นสถานที่ตากอากาศชายทะเลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเมื่อทั้งภูเก็ตและสมุยต่างก็ติดอันดับโลกแล้วเช่นกัน แต่ข่าวคราวอย่างนี้ก็สร้างผลด้านดีเหมือนกัน นั่นคือก่อให้เกิดความคิดที่จะแก้ปัญหาอย่างจริงจังมากขึ้น ?

ปลายปีก่อนมีการพูดกันถึงโครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาเมืองพัทยารวมทั้งสิ้น 9 โครงการด้วยวงเงินประมาณ 3,598 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเห็นชอบในหลักการเมื่อเดือนสิงหาคม เรื่องนี้ปรากฏเป็นข่าวใหญ่ที่ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างมาก ทั้งในแง่ที่ว่านี่นับเป็นครั้งแรกที่มีการดำริแก้ปัญหาของพัทยาในระดับกว้างและในแง่ของผลกระทบจากโครงการขนาดมหึมาทั้งหลาย โดยเฉพาะโครงการถมทะเลบริเวณพัทยาใต้

โครงการเร่งด่วนนี้เกิดจากการผลักดันของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (สพอ.) ที่มีสาวติตต์ โพธิวิหค เป็นผู้อำนวยการ โดยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่น (JICA) จัดส่งคณะเข้ามาเป็นผู้ทำการศึกษาและวางแผนแม่บท เพื่อพัฒนาเมืองพัทยาตั้งแต่เดือนเมษายน 2532 เป็นต้นมา ทั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้เมืองแห่งนี้สามารถขยายตัวได้อย่างสอดคล้องและรองรับการพัฒนาของพื้นที่แหลมฉบังและมาบตาพุด ซึ่งทั้ง 2 พื้นที่ตั้งขนาบอยู่ทางตอนเหนือและใต้ของพัทยา

ตามแนวทางการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก เพื่อรงอรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมและเป็นการกระจายความเจริญออกจากกรุงเทพมหานครนั้น พื้นที่ประมาณ 20,000 ไร่บริเวณมาบตาพุดจังหวัดระยอง ถูกกำหนดให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมทันสมัย ตอลดจนเป็นแหล่งอุตสาหกรรมที่สำคัญจำพวกปิโตรเคมี ปุ๋ยเคมี โรงแยกก๊าซ ส่วนบริเวณแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี บนเนื้อที่ประมาณ 10,000 ไร่ จะเป็นที่ตั้งของท่าเรือพาณิชย์และอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดลกางที่ไม่มีปัญหาด้านมลพิษ สำหรับพัทยาได้รับการวางตำแหน่งให้เป็นเมืองศูนย์กลางในด้านการท่องเที่ยวและศูนย์กลางด้านธุรกิจพาณิชย์เป็นสำคัญ

พัทยาจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวรับมือกับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ที่กำลังย่างกรายมาถึง พร้อมกับพัฒนาตัวเองให้ก้าวขึ้นไปสู่การเป็นศูนย์กลางให้ได้

จากการศึกษาของ JICA ได้ชี้ให้เห็นว่า สิ่งแวดล้อมของพัทยาเสื่อมโทรมถึงขั้นวิกฤต มีปัญหาใหญ่ ๆ มากมายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ปัญหาที่ได้รับการระบุไว้ ได้แก่ ปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำประปา มลพิษทางน้ำ น้ำท่วม ขยะมูลฝอย การกัดเซาะชายฝั่ง จราจรติดขัด มลพิษทางเสียงและอากาศ ความไร้ระเบียบในการใช้ทะเล และการขาดแคลนท่าเทียบเรือโดยสาร เฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องน้ำเสียนับว่ารุนแรงที่สุด โดยที่ปัญหาทั้งหลายนั้นเป็นเหตุให้ชื่อเสียงในการเป็นสถานที่พักผ่อนตากอากาศชั้นหนึ่งระดับนานาชาติกำลังจะสูญเสียไป และแท้จริงแล้วในปี 2532 ธุรกิจที่พัทยาใต้ก็ได้เริ่มซบเซาลง…

โครงการราคา 3,598 ล้านบาท คือ ทางออกที่ JICA เสนอสำหรับแก้ปัญหาทั้งหมด รวมทั้งเตรียมการรับมือกับอนาคตข้างหน้า โดยมีกรมโยธาธิการเป็นหน่วยงานที่จะเป็นผู้ดำเนินการโครงการต่าง ๆ ถึง 7 ใน 9 โครงการ และกำหนดระยะเวลาไว้ว่า อย่างน้อยควรจะต้องเสร็จสิ้นก่อนปี 2539 นอกจากนี้ยังจะต้องมีโครงการต่อเนื่องตามมาอีกเพื่อพัฒนาพัทยาให้เติบใหญ่ขึ้นไป

หลังจากโครงการดังกล่าวนี้ได้รับการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ทางสพอ. ได้ชี้แจงเรื่องให้เมืองพัทยารับทราบพร้อมกับบรรดาผู้ประกอบการธุรกิจในเมืองพัทยา แต่จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เกิดขึ้นอีกเลย ซึ่งสาวิตต์ โพธิวิหค ปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องนี้กับ "ผู้จัดการ" โดยกล่าวว่า ให้ไปถามกับทางเมืองพัทยา

"ถามผม ผมจะไปรู้ดีเท่าท่านได้อย่างไร ท่านเองเป็นตัวตั้งตัวตีตั้งแต่ต้นเรื่องเลย 3,600 ล้านก็ยังนิ่งอยู่ มีแต่ตัวเลข ตัวเงินไม่รู้อยู่ที่ไหน เป็นโครงการที่อยู่ในช่อง FREEZE แข็งปึ้ก" นั่นคือคำตอบของนายกฯ เมืองพัทยา โสภณ เพ็ชรตระกูล

ส่วนทางผู้อำนวยการกองแผนงานของกรมโยธาธิการ มานะ โชติกพนิช เล่าว่า เมื่อกรมโยธาธิการ ได้รับงานนี้มาหลังจากผ่านคณะรัฐมนตรีก็ได้เตรียมแผนปฏิบัติงานแล้ว แต่งบประมาณยังตกมาไม่ถึงจึงไม่มีการเริ่มต้นดำเนินการ

ล่าสุด ทาง สพอ. ได้นำโครงการกลับไปศึกษาใหม่อีกครั้งแล้ว เพื่อพิจารณาว่า มีโครงการใดสามารถให้เอกชนร่วมลงทุนได้บ้าง เชื่อว่า คงจะต้องมีการเสนอคณะรัฐมนตรีใหม่อีกครั้งหนึ่ง

แหล่งข่าวใน สพอ. กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า ในเวลานี้โอกาสเกิดของ 9 โครงการเร่งด่วนคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากสิ่งทีเสนอไปกับรัฐบาลชุดที่แล้วเป็นเพียงกรอบกว้าง ๆ ในขั้นปฏิบัติต้องมีการศึกษาร่วมกันอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งก็ยังไม่เสร็จสิ้น และที่สำคัญก็คือ มีโครงการอื่น ๆ ที่เร่งด่วนกว่าจะต้องผลักดันออกไปก่อน

เป็นอันว่า การพัฒนาพัทยาตามแผนของ JICA ยังเป็นเรื่องที่ไม่อาจจะฝากความหวังไว้ได้เช่นเดียวกับแผนก่อน ๆ ที่เคยมีการเสนอขึ้นมา

การเริ่มต้นคิดแก้ปัญหาอย่างจริงจังเกิดขึ้นแล้ว แต่การปฏิบัติที่จริงจังยังไม่เป็นจริง

ฝ่ายคุณภาพน้ำ กองมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้เริ่มติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำในเมืองพัทยา มาตั้งแต่ปี 2519 ขณะนั้นคุณภาพน้ำทะเลตามจุดต่าง ๆ ยังจัดว่า อยู่ในเกณฑ์ดี คือ มีค่า pH อยู่ในช่วง 8.0 - 8.7 ค่าบีโอดี (BOI - Biological Oxygen Demand) 0.5 - 2 มิลลิกรัม/ลิตร ยกเว้นบริเวณปากคลองนาเกลือมีค่า pH สูงเกินกว่า 9 ค่าบีโอดี 2 - 6 มิลลิกรัม/ลิตร และค่าออกซิเจนค่อนข้างต่ำ อีกจุด คือ ปากคลองพัทยาที่มีค่าโคลิฟอร์มสูงเกินมาตรฐานว่ายน้ำ ซึ่งกำหนดไว้ไม่เกิน 1,000 MPN/100 ลิตร แต่ปากคลองพัทยามีถึง 6,000 MPN/ 100 ลิตร

"น้ำทะเลไม่ควรจะวัด BOD เพราะข้อจำกัดในกรณีที่น้ำเค็มมาก ต้องวัด TOC แต่เครื่องวัดแพงมาก จึงทำได้เท่านั้น เป็นการเปรียบเทียบให้รู้แนวโน้มคุณภาพน้ำ ส่วนค่า MPN ย่อมาจาก MSOT PROBOBAL NUMBER คือ การวัดตัวโคลิฟอร์ม โดยคิดเป็นค่าสถิติออกมา ซึ่งปกติพวกโคลิฟอร์มแบคทีเรียจะพบในลำไส้ของสัตว์เลือดอุ่นออกมากับอุจจาระ ถ้าพบตัวนี้มากก็แสดงว่ามีการปนเปื้อนจากน้ำห้องน้ำมาก" นิศากร โฆษิตรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุณภาพน้ำ วล.อธิบายถึงความหมายของหน่วยวัดคุณภาพน้ำ

จากลักษณะของคุณภาพน้ำบ่งบอกให้รู้ว่า สาเหตุของปัญหาน้ำเสียที่ปากคลองนาเกลือนั้น เกิดจากการทิ้งน้ำของโรงงานแป้งมันสำปะหลังเป็นสำคัญ จึงมีทั้งตะกอนแขวนลอยและค่าไนโตรเจน - ฟอสฟอรัส ส่วนน้ำเสียบริเวณอ่าวพัทยาที่มีโคลิฟอร์มสูง และมีคราบน้ำมันลอยเกิดจากบ้านเรือนริมหาด และจากเรือที่วิ่งไปมาค่าโคลิฟอร์มแบคทีเรียเป็นเพียงมาตรตัวเดียวที่บอกถึงคุณภาพน้ำในลักษณะหนึ่ง ซึ่งตัวโคลิฟอร์มสามารถถูกความเค็มฆ่าได้ เมื่อน้ำเสียออกสู่ทะเลปริมาณโคลิฟอร์มจะลดลงระดับหนึ่ง ฉะนั้นการที่ยังตรวจพบในปริมาณที่สูงมาก ๆ บริเวณอ่าวพัทยา จึงบอกถึงความสกปรกอย่างยิ่งของน้ำที่ถูกทิ้งออกมา

ในปี 2521 เพียง 2 ปีให้หลังปรากฏว่า ค่าโคลิฟอร์มที่ปากคลองพัทยาเพิ่มขึ้นอีกเป็น 11,000 MPN/ลิตร เกินกว่ามาตรฐานที่จะว่ายน้ำอย่างปลอดภัยถึง 11 เท่า

จากการตรวจพบนี้เอง วล.จึงได้จัดทำรายงานการศึกษาถึงแนวทางการจัดการคุณภาพน้ำทะเลขึ้น โดยเสนอให้มีการจัดทำระบบบำบัดน้ำเสียรวม

ทางด้าน JICA เองก็มิได้เพิ่งเข้ามาศึกษาเกี่ยวกับเมืองพัทยาในปี 2532 นี้ แต่ได้เคยร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จัดทำแผนแม่บทและศึกษาเกี่ยวกับความเป็นไปได้สำหรับการพัฒนาการท่องเที่ยวของเมืองพัทยามาตั้งแต่ปี 2519 แล้ว และผลจากการศึกษาก็ชี้ถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องของน้ำทั้งน้ำใช้และน้ำทิ้งว่า จะเป็นอุปสรรคใหญ่ที่จะสกัดกั้นการพัฒนาพัทยามาตั้งแต่ครั้งนั้น

ทว่า นั่นก็เป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดังไม่พอ !

กว่าพัทยาจะเริ่มมีโรงบำบัดน้ำสเยแห่งแรกก็ล่วงเข้าสู่ปี 2525 ตั้งอยู่ที่ถนนพัทยาซอย 17 สร้างด้วยงบประมาณ 5 ล้านบาท และมีกำลังบำบัดประมาณวันละ 1,500 ลูกบาศก์เมตร

แต่เนื่องจากมีความไม่พร้อมด้านการจัดการ การบำรุงรักษา คนดูแล และค่าใช้จ่าย (ประมาณ 10,000 บาทต่อเดือนในการเดินระบบ) ทำให้ไม่มีการเดินเครื่องอย่างจริงจังและในที่สุดก็ต้องหยุดไปเมื่อปี 2528

แต่ถึงอย่างไร พัทยาก็นับได้ว่าเป็นเมืองแรกที่ได้รับการสนับสนุนตลอด จนถึงมีการจัดสร้างระบบบำบัดน้ำเสียรวม (CENTRAL TREATMENT SYSTEM)

ในช่วงหลังจากปี 2528 นั้นเอง อ่าวพัทยาก็เริ่มมีปัญหาในขั้นที่เรียกว่า วิกฤต จากการตรวจวัดคุณภาพน้ำของแหล่งน้ำธรรมชาติในเมืองพัทยา โดยฝ่ายคุณภาพน้ำ วล. เมื่อปี 2529 พบว่า ที่คลองพัทยามีค่าบีโอดีสุงถึง 23.4 มิลลิกรัม/ลิตร และค่าออกวิเจนละลายน้ำเท่ากับศูนย์ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพน้ำทะเลโดยตรง เพราะเป็นปลายทางของน้ำจากแหล่งเหล่านี้

ส่วนปริมาณโคลิฟอร์มรวมในอ่าวพัทยาก็มีมากขึ้นมาก บางจุดมีความเข้มข้นเท่ากับน้ำทิ้งโดยตรงจากส้วมทีเดียว นอกจากนั้น ตามพื้นทรายและชาดหายก็เต็มไปด้วยมูลฝอย

ในปีเดียวกันนั้น กรมโยธาธิการก็ได้ก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียแห่งที่ 2 ขึ้นที่ซอยเกษมสุวรรณ เสร็จสิ้นในวงเงิน 27.51 ล้านบาทที่ได้จากทาง สพอ.

ในปัจจุบัน เมืองพัทยาจึงมีโรงบำบัดน้ำเสีย 2 แห่งที่เปิดดำเนินการอยู่ คือ โรงบำบัดเดิมที่ซอย 17 ซึ่งได้รับการปรับปรุงระบบใหม่ มีกำลังบดบำ 5,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน และที่ซอยเกษมสุวรรณมีกำลังบำบัด 8,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน โดยกรมโยธาธิการเพิ่งขยายระบบเพิ่มเติมเสร็จไปเมื่อเดือนเมษายน รวมทั้ง 2 แห่งเท่ากับบำบัดได้วันละ 13,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน ในขณะที่ปริมาณน้ำเสียของพัทยาทั้งหมดมีประมาณ 40,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน

"มีความพยายามทำก็จริง แต่ไม่ทัน เพราะว่าการจะเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามที่เอกชนเขาลงทุนไปแล้ว เขาไม่ค่อยยอม อย่างเช่น ทางแถบพัทยาใต้มีสิ่งปลูกสร้างอยู่ในทะเล ผิดกฎหมายแน่ ๆ แต่แก้ไขไม่ได้ พยายามจะสร้างท่อดักน้ำเสียจากอาคารพวกนี้เข้าโรงบำบัดให้หมด แต่เนื่องจากเป็นท่อที่ใช้ร่วมกับท่อระบายน้ำฝน เวลาที่น้ำมากก็ไหลลงอ่าวโดยตรงจนได้" นิศากร โฆษิตรัตน์ กล่าว

นอกจากเรื่องน้ำเสียแล้ว ตัวแปรอีกตัวหนึ่งที่มีผลต่อคุณภาพน้ำในอ่าวพัทยาก็คือ เรื่องของขยะ เพราะเมื่อมีขยะหลงเหลือหมักหมมอยู่มาก ความสกปรกย่อมปะปนไปกับน้ำและลงสู่ทะเล

เช่นเดียวกับเรื่องการจัดการน้ำเสีย การจัดการกับขยะปฏิกูลของเมืองพัทยาก็มีปัญหาทั้งในเชิงปริมาณและเทคนิค นั่นคือปริมาณของขยะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ระบบกำจัดไม่อาจรองรับได้ทัน และมีประสิทธิภาพพอ

นอกจากจะเก็บขยะได้ไม่หมด เพราะรถมีไม่เพียงพอแล้ว สถานที่กลบฝังขยะที่ใช้อยู่ก็กำลังจะเต็มเมืองพัทยายังไม่มีเตาเผาขยะ ระบบการกำจัดที่ใช้อยู่จึงเป็นการทำ LANDFILL

"สถานที่อยู่ในซอยวัดอินทราราม ตรงถนนสุขุมวิท ทางไปสัตหีบ มีเนื้อที่อยู่ 35 ไร่ ใช้ประโยชน์มาแล้ว 6 ปี จะใช้ประโยชน์ได้อีกเพียง 1 ปีเศษก็จะเต็ม ต้องหาที่ดินผืนใหม่ เพราะขยะเป็นความจำเป็นเร่งด่วน" ผศ.นพ.วิทยา คุณานุกรกุล ปลัดเมืองพัทยา กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

พัทยายังมีปัญหาอีกมากมายหลายปัญหาที่นับเป็นเรื่องเร่งด่วน ณ วันนี้หลังจากที่ผ่านการสั่งสมและฟักตัวมาแล้วเป็นเวลานาน

ความไม่พอเพียงด้านสาธารณูปโภคดูจะเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่มีลักษณะเป็นปัญหาที่คู่ขนานแนบเนื่องมากับปัญหาของเสีย โดยที่สาเหตุความเป็นมานั้นก็เพราะเมืองเติบโตมากและรวดเร็ว

"สมัยก่อน พัทยาก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก พอเรามาพัฒนาพื้นที่เป็นชุมชน เป็นแหล่งท่องเที่ยว คนมาอยู่มากขึ้น น้ำเสียก็มาก ขยะมาก สิ่งต่าง ๆ เจริญไปก่อน พัฒนาไปก่อนที่ระบบสาธารณูปการจะเข้าไป" นิศากร โฆษิตรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุณภาพน้ำ วล. กล่าว

ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน พัทยาเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ริมฝั่งทะเลที่มีทิวทัศน์สวยงามซ่อนตัวสงบเงียบอยู่อย่างไร้ราคา

"ผมเกิดที่นี่ ที่นาเกลือ แถบชายหาดพัทยา 30 ปีที่แล้วน้ำทะเลสะอาดใส ผมเป็นเด็กก็ถีบจักรยานไป เป็นถนนลูกรัง ไม่มีรถวิ่ง ที่ทางก็ไม่มีใครใช้ทำอะไร คนแถวนั้นก็ลงทะเลหาปลากัน" ชายวัยกว่า 40 ปี เจ้าของร้านขายหนังสือที่ตลาดนาเกลือทวนความหลังให้ฟัง

ที่ดินริมอ่าวพัทยาในวันก่อนไม่มีคุณภาพเหมาะที่จะทำการเกษตรจึงถูกปล่อยรกร้างด้วยหญ้าหนามเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีใครอยากจับจองแผ่นดินไร้ประโยชน์เช่นนั้น

เล่ากันว่า มีชายคนหนึ่งชื่อ ลมูล นาคสนธิ์ มีอาชีพทำไร่ปลูกมันสำปะหลัง และรับจำนำที่ดินอยู่ริมถนนสุขุมวิท ยาที่มีชาวบ้านแถบพัทยาไปขอเอาที่ดินชายทะเลจำนำแลกกับข้าวสาร ลมูลก็ยังไม่ยอมรับเพราะไม่รู้จะเอาไปทำประโยชน์อะไร …ถึงวันนี้หลานที่เล่าเรื่องของลุงตนเองนี้ให้ฟังจึงได้แต่บ่นเสียดาย…

การท่องเที่ยวเข้าสู่พัทยาครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2502 นักท่องเที่ยวคณะแรกที่เดินทางมากับรถบรรทุกขนาดใหญ่จำนวนหลายคันนั้น คือ ทหารอเมริกันจากฐานทัพนครราชสีมา ทหารเหล่านี้เวียนกันมาพักผ่อนอยู่เป็นประจำมิได้ขาด จนกระทั่งสงครามในประเทศเพื่อนบ้านทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงยุติลง ทิ้งปัญหามากมายไว้กับสังคมอีสาน และวางรากความเจริญไว้กับอ่าวพัทยา

จากแผ่นดินไร้ราคา พัทยาพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยศักยภาพที่มีอยู่อย่างสูงในทุก ๆ ด้าน ทั้งทัศนีย์ภาพทางธรรมชาติที่สวยงาม ทำเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้เมืองหลวง ชาวประมงชายทะเลผู้ยากจนด้วยการครอบครองผืนดินไร้ค่ามานาน พากันย้ายตัวเองอกไปพร้อมเงินที่ได้จากการขายที่ดินนั้น ปล่อยให้คนจากต่างถิ่นเข้ามาสร้างเมืองพัทยาให้เป็นรูปแบบใหม่ ในราวปี 2515 ก็เริ่มมีโรงงานขนาดใหญ่เกิดขึ้น ได้แก่ ออร์คิดลอด์จ รอยัลคลิฟฟ์ เอเชีย สยามเบย์ซอร์ ฯลฯ

ตั้งแต่ปี 2521 พัทยาทำรายได้จากการท่องเที่ยวให้ประเทศมากถึง 1,200 ล้านบาท ในปีนี้เองที่ "เมืองพัทยา" ถือกำหนดขึ้น โดยรัฐบาลได้ตราพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ เมืองพัทยา พ.ศ. 2521 เปลี่ยนจากสุขาภิบาลนาเกลือเข้าสู่รูปการปกครองท้องถิ่นแบบใหม่ที่ประยุกต์มาจากระบบผู้จัดการเทศบาลของสหรัฐอเมริกา ถือว่า เมืองพัทยามีฐานะเทียบเท่าเทศบาลนคร

แล้วพัทยาก็ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในช่วงหลัง พ.ศ.2528 เป็นต้นมา

"ประมาณ 10 ปีก่อนเมืองก็เป็นเมืองท่องเที่ยวแล้ว แต่ตลาดก็ยังเล็ก ๆ อะไรก็เล็ก ๆ แล้วก็ขยายออก โดยภาพของเมืองก็เจริญขึ้น โรงแรมก็แทบจะเปิดกันเป็นรายเดือด จนผมจำไม่ได้ว่ามีกี่แห่งแล้ว มีสถานบริการมากขึ้น มีบาร์มากขึ้น ผู้หญิงก็มากขึ้น ซึ่งไม่ใช่คนท้องถิ่น มาจากที่อื่นทั้งนั้น เมื่อก่อนมีตรงพัทยาใต้เท่านั้นเอง แต่เดี๋ยวนี้กระจายตามชายหาดไปจนถึงพัทยาเหนือแล้ว และออกไปทางจอมเทียนด้วย" สกนธ์ หลิมวิจิตร ผู้ใช้ชีวิตอยู่กับพัทยามานานกว่า 18 ปีเล่าถึงความเปลี่ยนแปลง

เวลานั้น เมืองเริ่มเติบโตอย่างมาก ธุรกิจน้อยใหญ่ต่างผุดขึ้นราวดอกเห็ดหน้าฝน เพราะเศรษฐกิจดีขึ้น และชื่อเสียงพัทยาติดตลาดโลกอย่างแน่นเหนียวแล้ว ในขณะที่อีกด้านหนึ่งปัญหาต่าง ๆ ที่สะสมตัวมานานก็เริ่มออกอากาศ และนั่นคือเค้าลางร้ายของพัทยา

ด้วยจำนวนโรงแรมที่เพิ่มขึ้น สถานบริการ ร้านค้า ชุมชนที่ขยายตัวออกไป ตลอดจนนักท่องเที่ยว ที่เข้ามามากขึ้นได้ก่อให้เกิดความต้องการบริโภคทุกสิ่งทุกอย่างอย่างขนานใหญ่ พร้อมกับผลิตของเสียอย่างขนาดใหญ่ด้วย

การไม่มีกรอบที่จะกำหนดและควบคุมความเติบโตของอาคารและสิ่งปลูกสร้างมีผลต่อปริมาณของเสียโดยตรง ตามพระราชบัญญัติส่งเสิมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมโรงแรมที่ต้องมีระบบจัดการน้ำเสียด้วยตนเองก็คือ โรงแรมที่มีห้องพักเกิน 80 ห้องขึ้นไป ส่วนที่เล็กกว่านี้ไม่มีการควบคุม ทั้ง ๆ ที่โรงแรมขนาดเล็กนั้นมีจำนวนมากมาย

จากรายงานของงานเคหะบริการชุมชน กองวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม วล. ได้ศึกษารวบรวมข้อมูลในเรื่องนี้ไว้เมื่อปี 2529 พบว่า จากจำนวนโรงแรมในพัทยา 191 โรง มีเพียง 18 โรงเท่านั้นเองที่มีห้องพักเกิน 80 ห้อง

ขณะที่สภาพแวดล้อมต้องเสื่อมทรามลงจากการรองรับกับของเสียต่าง ๆ ปัญหาสาธารณูปโภคขาดแคลนก็นับเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง ทั้งในแง่น้ำใช้ที่ไม่เพียงพอและผิวการจราจรที่น้อยเกินไป

"เรื่องสาธารณูปโภคนี้ไม่ค่อยทัน อย่างผมก็ต้องซื้อน้ำแทบทุกวัน ประปามาถึงแล้วก็จริง แต่ก็มา ๆ ขาด ๆ อาจเป็นความโชคร้ายของเราก็ได้ที่อยู่บนที่สูง เวลาข้างล่างเขาใช้น้ำมาก ๆ เราก็อด น้ำใช้นี่จำเป็นมาก ช่วงที่แขกมาก ๆ ใช้น้ำวันละ 2,600 คิว ช่วงที่ตกต่ำก็ลดไปหน่อย" สกนธ์ หลิมวิจิตร ผู้จัดการฝ่ายบุคคลของโรงเรียนเอเชีย สะท้อนถึงภาวะเรื่องน้ำขาดแคลน

น้ำบาดาลที่ไดจากบ่อรอบนอกเมืองพัทยา มีสนนราคาประมาณคิวละ 30 บาท เป็นน้ำดิบที่ไม่อาจมั่นใจในความสะอาดมากนัก จำเป็นจะต้องผ่านกรรมวิธีกรอง และใส่คลอรีนเสียก่อนจึงจะเข้าขั้นที่ปลอดภัยสำหรับใช้ได้ ซึ่งเบ็ดเสร็จแล้วมีราคาเท่ากับ 3 เท่าของน้ำประปา

ในแต่ละเดือน โรงแรมเอเชียมีค่าใช้จ่ายในการซื้อและจัดการน้ำเหล่านี้มากถึงประมารกว่า 100,000 บาท เทียบกับค่าประปาแล้วคิดเป็น 2 ใน 3 ส่วน

ระบบประปาของพัทยาอยู่ในความรับผิดชอบของการประปาพัทยานาเกลือ ผลิตประปาโดยอาศัยน้ำจืดจากอ่างเก็บน้ำมาบประชันที่มีความจุประมาณ 15 ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้อย่างเต็มที่ก็ยังไม่ค่อยเพียงพอต่อความต้องการ

เมื่อปี 2533 เกิดภาวะฝนแล้ง น้ำจืดในอ่างมาบประชันแห้งขอดทำให้มีการต่อท่อจากอ่างหนองค้อ มาช่วยทางพัทยาในยามวิกฤต แต่อ่างหนงค้อก็ต้องรองรับพื้นที่ทางแหลมฉบังและชลบุรีบางส่วนมากกว่า ในอนาคต มีโครงการที่จะนำน้ำจากอ่างหนองกลางดงห้วยซากนอก ห้วยขุนจิต และห้วยสะพานเข้ามาสมทบ ซึ่งอ่างเหล่านี้เพิ่งก่อสร้างเสร็จหรือบางแห่งก็กำลังจะเสร็จในปีต่อไป

"ที่จริงพัทยาเองมีอ่างแห่งเดียว แต่ความต้องการมันเกินมาบประชันมานานแล้ว ที่เตรียมการไว้เป็นการไปขโมยเขามาทั้งหมด ของเมืองชลบ้าง ระยองบ้าง ซึ่งต่างก็ต้องโตกันทั้งนั้น ทำไมไม่เอาของตัวเองมาใช้ดีกว่า ทำเป็นแบบ RECIRCLING เทคโนโลยีมีใช้ได้ แต่ต้องลงทุนดูแลให้ดี ทุกคนต้องร่วมกัน" รศ. สุรพล สุดารา อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้กำลังร่วมกับทีมศึกษาถึงปัญหาของพัทยาเสนอแนะ

นอกจากปัญหาเรื่องแหล่งน้ำ การที่จะมีประปาตอบสนองได้เพียงพอยังเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตด้วย

ความต้องการน้ำของชุมชนพัทยาทั้งหมดรวมถึงพื้นที่นาเกลือและจอมเทียนมีประมาณวันละ 45,000 ลูกบาศก์เมตร ส่วนปริมาณน้ำที่การประปาจ่ายออกในแต่ละวันจะมีเพียง 30,000 - 40,000 ลูกบาศก์เมตรเท่านั้น เนื่องจากกำลังการผลิตยังจำกัดอยู่ นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะองหาทางออกต่อไป

ในระยะหลัง ๆ กล่าวได้มีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาหลัก ๆ เหล่านี้ของเมืองพัทยานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งจากทางรัฐบาลส่วนกลางและจากเมืองพัทยาเอง แต่ก็เป็นความพยายามที่ค่อนข้างจะไร้หวัง

เกี่ยวกับปัญหาจราจร และขยะ ทางเมืองพัทยาเพิ่งจะยื่นเสนอ "โครงการเร่งด่วนเพื่อบูรณะเมืองพัทยา" ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลจำนวน 230,539,500 บาท เพื่อแก้ไขสาธารณูปโภคสาธารณูปการด้านต่าง ๆ

"เป็นการขอเงินอุดหนุนเป็นกรณีพิเศษ เสนอไป 8 โครงการผ่านกรมการปกครอง เอาเข้าไปแปรญัตติในกระทรวงมหาดไทย ผ่านวาระแรกได้มา 50 ล้านบาท ก็คิดว่าจะจัดการเรื่องซื้อที่ดินกสลบขยะก่อน เพราะถ้ายิ่งช้าที่ดินก็ยิ่งแพง" หมายเลขหนึ่งของเมืองพัทยา โสภณ เพ็ชรตระกูล เล่าถึงโครงการเร่งด่วนฉบับของเมืองพัทยาเอง

อุปสรรคในการทำงานพัฒนาประการหนึ่งของเมืองพัทยาก็คือ เรื่องงบประมาณ รายได้ปกติของเมืองนั้นจะมาจากการเก็บภาษีต่าง ๆ ในท้องถิ่นประมาณปีละ 100 ล้านบาทร่วมกับเงินงบประมาณรายปีที่ได้จากส่วนกลางอีกประมาณปีละ 35 ล้านบาท

"จำนวน 35 ล้านบาท จะเป็นค่าครุภัณฑ์ไปแล้ว 21,700,000 บาท จริง ๆ เมืองควรได้สักปีละไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท เทียบสัดส่วนจากรายได้ที่ทำให้ประเทศได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี จะได้นำมาแก้เรื่องต่าง ๆ ได้ เพราะถ้าพูดถึงการลงทุนของเอกชนแล้วมหาศาล หากรัฐไม่เอื้อเฟื้อ เมืองก็ตกที่นั่งลำบาก คนไหลมาเทมา แต่ถนนก็ไม่มีรองรับ ไม่มีท่อระบายน้ำ ไม่มีทางเดิน" พิสัย พนมวัน ณ อยุธยา สมาชิกสภาเมืองพัทยาและผู้จัดการอัลคาซ่าร์ พูดถึงข้อติดขัดในการทำงาน

เรื่องของงบประมาณมีความสัมพันธ์กับปัญหาตัวเลขประชากรที่ไม่เป็นจริงของเมืองพัทยา กล่าวคือ ในปัจจุบันจำนวนประชากรตามทะเบียนของทางการมีอยู่เพียงประมาณ 60,000 คนเท่านั้น !

และในเมื่อแบบแผนการจัดสรรงบประมาณของประเทสไทยใช้หัวประชากรเป็นดัชนีชี้วัด พัทยาก็ย่อมจะต้องโอบอุ้มประชากรแฝงอีกนับแสนคนไปด้วยเงินจำนวนที่ให้สำหรับคนจำนวนเพียง 60,000 คนต่อไป

อย่างไรก็ตาม ระบบโครงสร้างของเมืองพัทยาเองก็จัดว่าเป็นปัญหาด้วยประการหนึ่ง

ตามกฎหมายระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยาการบริหารงานราชการของเมืองพัทยาทั้งหมด ถือเป็นภาระของปลัดเมืองผู้ถูกจ้างเข้ามาในฐานะมืออาชีพในขณะที่การวางแผนขึ้นกับสภาเมืองที่มีสมาชิกมาจากทั้งการเลือกตั้งและแต่งตั้ง (9 : 8) โดยนายกแท้จริงนั้นมีหน้าที่เป็นเพียงประธานสภา ระบบนี้มีลักษณะที่เป็นแบบตะวันตกค่อนข้างสูง เน้นการบริหารโดยให้อำนาจอยู่กับคณะบุคคล ซึ่งเป็นระบบที่มีใช้เฉพาะที่เมืองพัทยาเพียงแห่งเดียว

แต่ในทางปฏิบัติ ปรากฏว่า ช่องว่างระหว่างสมาชิกาสภากับปลัดและข้าราชการของเมืองค่อนข้างจะฉีกกว้าง การประสานในขั้นของแผนกับการปฏิบัติมีความเหลื่อมกันอยู่ และแน่นอนว่า ในเรื่องนี้นั้นเกี่ยวข้องกับเกมอำนาจด้วย แม้จะมีผู้เห็นปัญหาก็ไม่ใช่เรื่องที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ๆ …

กลับมาถึงเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำเสียของพัทยา ส่วนนี้จัดได้ว่าเป็นโครงการขนาดมหึมาระดับชาติเพราะคณะรัฐมนตรีชุดพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เคยได้พิจารณาเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2531 กำหนดเป็นแนวทางปฏิบัติเอาไว้ 3 ประการ คือ

1) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งรัดตรวจสอบและกวดขันบรรดาโรงแรมและร้านอาหารต่าง ๆ มิให้ระบายน้ำเสียและของเสียลงทะเล หากพบการกระทำผิดให้พิจารณาลงโทษตามกฎหมายถึงขั้นให้ดำเนินการปิดกิจการ

2) ให้ระงับการพิจารณาอนุญาตก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ในเขตเมืองพัทยาไว้ชั่วคราว จนกว่าจะพิจารณาเห็นว่าผู้ขออนุญาตสามารถวางระบบการกำจัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพ

3) ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการ) เร่งรัดดำเนินงานการขยายระบบการกำจัดน้ำเสียเมืองพัทยาให้สามารถรองรับปริมาณน้ำเสียได้อย่างเพียงพอทั้งระยะสั้นและระยะยาว

จากนั้น ในวันที่ 30 มกราคม 2533 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติ "แผนปฏิบัติการในการแก้ไขปัญหามลพิษของแหล่งน้ำเมืองพัทยา" ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพลังงาน เสนอ ได้แก่ โรงบำบัดที่หาดนาจอมเทียน ในซอยวัดบุณย์ ใช้งบประมาณราว 390 ล้านบาท กำหนดเสร็จสิ้นทั้งระบบในปี 2537 จะมีกำลังบำบัด 20,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน

แผนการในอนาคตยังได้วางไว้ว่า จะเพิ่มกำลังบำบัดที่ซอยเกษมสุวรรณอีก 21,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน และสำหรับที่ชุมชนนาเกลือก็มีโครงการเสนอแล้วโดยเมืองพัทยา แต่ยังไม่เป็นที่ตกลง เพราะยังหาที่ดินก่อสร้างไม่ได้ และทางออกที่ว่าให้ถมทะเลบริเวณลานโพธิ์ก็ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าที่นาเกลือสร้างได้ก็จะมีกำลังบำบัดเพิ่มขึ้นอีก 12,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน ทั้งหมดเหล่านี้มีกำหนดว่า จะเสร็จสิ้นภายในปี 2539 ใช้งบประมาณของรัฐทั้งสิ้น 2,160 ล้านบาท

หนึ่งในโครงการเร่งด่วนของ สพอ. ก็มีโครงการก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน โดยได้กำหนดว่า จะสร้างบนที่ที่ทำการถมทะเลบริเวณพัทยาใต้ออกไป มีกำลังบำบัด 16,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน งบประมาณส่วนนี้ไม่รวมกับส่วนแรก

เรียกว่า ถ้าทุกโครงการเป็นจิรงเมืองพัทยาก็จะสามารถบำบัดน้ำเสียได้ทั้งสิ้นวันละ 82,000 ลูกบาศก์เมตร สามารถรองรับปริมาณน้ำทิ้งทั้งหมดได้จนถึงปี 2543

"ปัญหาเรื่องน้ำเสีย นับเป็นปัญหาเร่งด่วนอันหนึ่ง แต่ก็มีโครงการแล้วที่จะสร้างโรงบำบัดขึ้น ถ้าโครงการเสร็จ เรื่องน้ำเสียก็เป็นอันหมดปัญหา" นายกเมืองพัทยา กล่าว

แต่ในทางปฏิบัติ แม้ว่าจะมีโรงบำบัดน้ำเสียแล้ว อ่าวพัทยาก็ใช่จะกลับคืนดีดังเดิมได้ หากไม่มีมาตรการประกอบอื่นมาสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นการที่เจ้าของอาคารทุกหน่วยจะต้องต่อท่อน้ำทิ้งเข้ามาสายท่อของเมือง หรือเรื่องของการจ่ายค่าบำบัดน้ำเพื่อให้ระบบสามารถเดินไปได้ เรื่องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องการความร่วมมือจากคนพัทยาทั้งหมดเป็นสำคัญ ทว่า นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หาได้ยากนักจากเมืองพัทยา เพราะส่วนใหญ่คนที่นี่ ไม่มีใครรู้สึกเป็นเจ้าของเมืองพัทยาอย่างแท้จริง แทบทั้งหมดคือคนต่างถิ่นที่เพียงมาอาศัยทำมาหากิน

"พัทยานั้น ถ้าแก้เรื่องน้ำเสียได้ทุกอย่างจะดีขึ้นมาก ต่อมาก็แก้เรื่องความโทรมของเมืองที่มีแต่ใช้กันมานานไม่เคยบำรุงเลย ขอให้มีการปลูกต้นไม้ให้ดี ห้องแถวแบบกรุงเทพฯ โละทิ้งไปเสีย การปรับปรุงเรื่องความสวยงามไม่ใช่เรื่องยาก ที่สำคัญสำหรับชายหาด คือ เขื่อนริมชายฝั่งจะต้องรีบทุบทิ้ง เพราะนั่นคือตัวการที่ทำให้ชายหาดพัทยาสั้นกว่าปกติ เวลาที่น้ำทะเลซัดเข้ามา คลื่นกระแทกย้อนกลับก็ขุดเอาทรายออกไป ผมไม่อยากให้พัทยาเสียไป ผมถือว่าเมืองพัทยาเป็นเมืองที่ดีมาก ต้องช่วยกันรักษาไว้ให้ได้" รศ.สุรพล สุดารา เรียกร้องความร่วมมือ

ถึงวันนี้ก็ยังคงระบุไม่ได้ว่า ความหวังในการที่จะฟื้นคืนพัทยาให้กลับน่าไปยลเยือนจะเป็นจริงได้เพียงใด เพราะตัวกระตุ้นที่จะปลุกคนพัทยาได้อย่างแท้จริงนั้นยังไม่ได้แสดงบทบาทเต็มที่ นั่นก็คือ การล่มสลายของการทำมาหากิน - ความซบเซาของการท่องเที่ยว !

"ปัญหาของเมืองพัทยาเรื่องน้ำไม่เท่าไร ปัญหาใหญ่คิดว่า คือเรื่องรายได้จากการท่องเที่ยวตก รายได้จากการท่องเที่ยวขาดไป ตกมาประมาณ 6 เดือนแล้ว ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องของส่วนรวม อาจจะยังไม่มีสถิติตัวเลขบ่งชี้ ไม่มีผลการศึกษาเป็นเรื่องเป็นราว แต่ไปถามเอากับพ่อค้า เสียจากพวกนี้แน่นอนที่สุด บ่นว่าซบเซากันมาก" แหล่งข่าวที่เป็นข้าราชการประจำของเมืองพัทยากล่าวทั้งบอกเล่าทั้งสะท้อนปัญหา

จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนพัทยาปกติมีอัตราเพิ่มขึ้นตลอดมา ระหว่างปี 2525 - 2530 อัตราเฉลี่ยนั้นเท่ากับ 6.3% ต่อปี แต่ในปี 2532 จำนวนนักท่องเที่ยวกลับลดน้อยลงกว่าปี 2531 ถึง 9.58% และแม้ว่าในปี 2533 จำนวนนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่า บรรยากาศการท่องเที่ยวในรอบปีหลัง ๆ นี้มีความซบเซาเกิดขึ้นจริง

อย่างไรก็ตาม เจ้าของกิจการส่วนใหญ่ กล่าวว่า ภาวะที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งถือเป็นกระแสโดยส่วนรวมระดับโลกที่ประสบกับภัยสงคราม และปัญหาเศรษฐกิจ ตลอดจนสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศเองก็ไม่สู้ดีนักในสายตาชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่สำคัญของพัทยา ไม่น่าจะเกิดจากปัญหาของตัวเมืองพัทยาเอง จะมีก็แต่การที่ต้องแย่งชิงลูกค้าจากกันและกัน เนื่องจากในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา การขยายตัวของธุรกิจต่าง ๆ มีสูงมากในขณะที่ตลาดเท่าเดิม

จากสถิติของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในปี 2531 มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าพักในพัทยา 1,727,025 คน (ไม่รวมนักท่องเที่ยวที่ไป-กลับในวันเดียว) ขณะนั้นจำนวนห้องพักในโรงแรมต่าง ๆ มีรวมกันประมาณ 12,000 ห้อง แต่ปัจจุบันจำนวนห้องพักเพิ่มไปถึง 24,000 ห้องทั้งที่จำนวนนักท่องเที่ยวเมื่อปี 2533 ยังคงมีประมาณ 1,757,000 คน

"มันเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ว่าน้ำเหยือกเดียวแก้วหลายใบ การขยายตัวทุกอย่าง มีลักษณะที่เป็นแก้วน้ำเข้ามาแบ่งน้ำจากเหยือกเดียว ภัตตาคารก็มากขึ้น ร้อนช็อปปิ้งมากขึ้น แม้แต่ร้านขายผลไม้ก็มากขึ้น ทุกคนจึงบ่งว่าตัวเองตก แต่ถ้าดูแขกจริง ๆ แล้วเข้ามามาก จำนวนรวมนักท่องเที่ยวและรายได้ต่าง ๆ ไม่ตกเท่าไร" สุรพล เศวตเศรนี ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวฯ สำนักงานพัทยา กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

ส่วน สกนธ์ หลิมวิจิตร ผู้จัดการฝ่ายบุคคลของโรงแรมเอเชีย กล่าวว่า "คนมาเยอะจริง จำนวนไม่ลดลง เพราะตอนนี้สภาพที่เสีย ๆ ก็ไม่เด่นชัดอะไร คนก็มองว่าเมืองท่องเที่ยว เมืองตากอากาศ มาจากต่างประเทศก็อยากมาเล่นน้ำ มาชมธรรมชาติ ทีนี้บ้านเราทำเป็นลักษณะมาขาย SEX เป็นพวกนั้นไป มีแต่บาร์เยอะแยะ มีแต่พวกนี้ พวกนี้แขกคนละประเภทกัน พวกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ชายทะเล ต่อให้อยู่ที่ไหนคนที่เขาต้องการก็ไป การมาอยู่ที่ชายทะเลหมักหมมอยู่ที่นี่ทำให้แขกพวกแรกหนี แขกเป็นคนละกลุ่มก็เปลี่ยนไป และมาแล้วมาเจอสภาพก็จะเล่าปากต่อปาก อนาคตมันจะมีผล ตอนนี้อาจจะไม่มีผลหรอกครับ"

การตกต่ำลงของการท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน นอกจากความรู้สึกถึงบรรยากาศโดยรวมว่าเป็นเช่นนั้น ในทำนองเดียวกัน สาเหตุของการตกต่ำเกิดมาจากอะไรบ้างก็ไม่อาจระบุได้อย่างชัดเจน

ก็คงจะมีเพียงความเสื่อมทรามของสภาพแวดล้อมและปัญหาสารพันเท่านั้นที่เป็นจริงอยู่ ณ เมืองพัทยาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ !



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.