กฎหมาย SIB : ความหวังเพื่อไทยเป็น ศูนย์กลางทางการเงินในอินโดจีน


นิตยสารผู้จัดการ( ตุลาคม 2534)



กลับสู่หน้าหลัก

นโยบายที่จะให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของอินโดจีนเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ ที่มีความพยายามที่จะให้เงินบาทเป็นสกุลเงินที่ใช้ได้ในตลาดไทย-เขมร-ลาว-ญวน

ความพยายามในรัฐบาลชุดนั้นไม่ใช่ไร้ค่าเสียทีเดียว พร้อม ๆ กันไปกับการผลักดันนโยบายเพื่อการแก้ปัญหาต่าง ๆ ในอินโดจีน รัฐบาลก็มีนโยบายที่จะตัดทอนกฎระเบียบทั้งหลายเพื่อพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุน (DEREGULATION) ในประเทศให้ผงาดเป็นศูนย์กลางทางการเงินของอินโดจีนขึ้นมาให้ได้

เมื่อมาถึงรัฐบาลโปร่งใสที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี จึงเป็นที่คาดหมายกันอย่างมากว่า ร่างกฎหมายที่จะใช้พัฒนาตลาดทุนและตลาดเงินของไทยจะผ่านขั้นตอนการพิจารณาต่าง ๆ ในสภาฯ ออกมาใช้กันเสียที

กฎหมายที่ว่าคือพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ (SECURITY AND EXCHANGE COMMISSION) ซึ่งมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วยกัน 3 ฉบับ คือ กฎหมายมหาชน กฎหมายตราสารทางการเงิน และกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ หรือ พรบ.ตลาดหลักทรัพย์ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

กฎหมายทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวจะยุบลงเหลือเพียง พรบ.บริษัทมหาชนฉบับหนึ่ง และพรบ. SEC อีกเป็น 2 ฉบับเท่านั้น โดยกฎหมาย SEC จะมีมาตราจำนวนมากถึง 346 มาตรา

สาระสำคัญในตัวกฎหมาย SEC นั้นแทบจะเรียกได้ว่า บัญญัติเรื่องทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไว้ทั้งหมด อาทิเช่น รูปแบบของใบหุ้น การเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชน การเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบครองกิจการ (TAKE OVER) การควบคุมการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ซึ่งจะมีการแยกธุรกิจเงินทุนออกไป การจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ ตลาด OTC ตลาดซื้อขายล่วงหน้า สถาบันที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหลักทรัพย์ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

เรื่องที่ถกเถียงกันมาก็คือ เรื่ององค์ประกอบของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SECURITIES INVESTMENT BOARD หรือ SIB) โดยเฉพาะผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการฯ ซึ่งแต่เดิมมีการเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานฯ โดยตำแหน่ง แต่มีฝ่ายที่คัดค้านมองว่าไม่ควร เพราะตำแหน่ง รมต.เป็นตำแหน่งทางการเมือง อาจจะมีการนำผลประโยชน์ส่วนได้ส่วนเสียทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

คณะกรรมการ SIB ทำหน้าที่กำกับควบคุมการประกอบธุรกิจและการดำเนินงานของสถาบันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ นอกจากประธานฯ มารจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว มีกรรมการโดยตำแหน่งอีก 3 คน คือ ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และผู้ว่าการแบงก์ชาติ และกรรมการที่มาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีก 3-5 คน รวมเป็นกรรมการทั้งสิ้นไม่เกิน 9 คน

ต่อมา หลังจากที่มีการโต้เถียงกันอย่างมากในสภาฯ จึงได้มีการเสนอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง ชื่อ คณะกรรมการควบคุมหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีหน้าที่ควบคุมให้มีการปฏิบัติตาม พรบ.นี้ กรรมการชุดนี้ประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิที่ รมต.ว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้งไม่เกิน 4 คน

การดำเนินงานของคณะกรรมการฯ ทั้งสองชุดจะได้รับทุนสนับสนุนจาก 3 แห่งใหญ่ คือ กองทุนแก้ไขปัญหาธุรกิจหลักทรัพย์จำนวน 535.56 ล้านบาท กองทุนพัฒนาตลาดทุนหลังจากที่มีการชำระบัญชีเรียบร้อยแล้วจำนวน 330.91 ล้านบาท และรายได้ส่วนหนึ่งจากการประมูลโบรกเกอร์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 505.51 ล้านบาท รวมเป็นทุนเบื้องต้นทั้งสิ้น 1,350 ล้านบาท

พิจารณาดูแล้ว ผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดในคณะกรรมการทั้งสองชุดก็คือ รมต.คลัง เพราะเป็นผู้ที่เสนอรายชื่อคณะกรรมการให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติ

เป็นเรื่องแปลกไม่น้อยที่ทุกฝ่ายต่างเห็นข้อบกพร่องตรงจุดนี้ ทว่ามีผู้ออกมาแสดงการคัดค้านเพียงคนเดียว คือ ไพจิตร เอื้อทวีกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ไพจิตร คัดค้านการที่รวมเรื่องตราสารทางการเงินทั้งหลายเข้าไว้ใน พรบ. SEC ซึ่งในเวลาต่อมาเรียกว่า พรบ.SIB ด้วย

แต่หลายฝ่ายมองว่า ไม่ควรจะแยกเพราะหลักทรัพย์ก็เป็นตราสารการเงินประเภทหนึ่ง ประเด็นที่ควรสนใจคือเรื่องการเปิดเผยข้อมูลมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นตราสารฯ ระยะสั้นหรือยาวก็ควรจะมีการเปิดเผยข้อมูลเท่าเทียมกันทั้งหมด

หลังจากที่ รมต.คลังสุธี สิงห์เสน่ห์ นำร่าง พรบ.SIB ไปแก้ไขอยู่หลายหน ครั้งล่าสุดที่เสนอเข้า ครม.เมื่อ 3 กันยายน สุธีใช้เวลาเสนอเพียงไม่กี่นาทีร่างกฎหมายเพื่อการปฏิวัติตลาดทุนฉบับนี้ก็ผ่านความเห็นชอบอย่างสะดวกง่ายดาย

ส่วนประเด็นที่ไพจิตรติติงไว้นั้น ถูกผลักไปสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตั้งคณะทำงานพิเศษขึ้นมาพิจารณากลั่นกรองกฎหมายฉบับนี้

นายกฯ อานันท์พยายามเร่งให้มีการประกาศใช้กฎหมาย SIB ก่อนที่รัฐบาลชุดปัจจุบันจะหมดอายุ

นั่นเท่ากับไม่นานเกินรอที่จะมีการพัฒนาเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ ขึ้นมาในตลาด รวมทั้งการพัฒนาตลาดอื่น ๆ โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นตลาดแรกทั้งหลาย

ความหวังที่ไทยจะเป็นศูนย์กลางทางการเงินเริ่มเป็นจริงเป็นจังมากขึ้นแล้ว



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.