ลุ้นบอนด์ระยะสั้นดันกองทุนโต20%


ผู้จัดการรายวัน(15 กรกฎาคม 2551)



กลับสู่หน้าหลัก

วงการกองทุนลุ้นครึ่งปีหลัง ธุรกิจกองทุนรวมขยายตัวต่อ "มาริษ" ยังมั่นใจทั้งปีโต 15-20% โดยได้กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นพระเอก ตามแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ด้าน "วนา" ชี้ แม้แบงก์จะขึ้นดอกเบี้ยต่อ แต่พันธบัตรรัฐบาลก็น่าจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ขณะที่พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ส่วนค่าย "กรุงไทย" หารือปรับแผนครึ่งปีหลัง เน้นเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนใหม่ๆ ตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุน

นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้ยังมองการเติบโตของอุตสาหกรรมกองทุนรวมที่ระดับ 15-20% แม้ในตลาดครึ่งปีแรกจะโตเพียง 0.9% ก็ตาม เพราะมีหลายกองทุนโดยเฉพาะประเภทตราสารหนี้ระยะสั้นนั้น ครบกำหนดการปิดกอง (โรลโอเวอร์) เป็นจำนวนมาก ขณะที่ภาวะตลาดโดยรวมไม่ดี ผู้ลงทุนส่วนใหญ่จะก็หันมาสนใจในกองที่มีการซื้อขายระยะสั้นมากขึ้น เพราะไม่ต้องการความเสี่ยงยาว อีกทั้งยังมองว่า แม้ขณะนี้เทรนด์ดอกเบี้ยกำลังขึ้น แต่การซื้อกองทุนก็ยังได้อัตราผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ดี

ทั้งนี้ บริษัทจะไม่มีการปรับลดเป้าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) ของปี 2551 ตามภาวะตลาดที่อ่อนตัวลงอย่างแน่นอน เนื่องจากเป้าที่ตั้งไว้ 2.06 แสนล้านบาท แต่ขณะนี้บริษัทมีเอยูเอ็มอยู่ที่ 1.96 แสนล้านบาทแล้ว ซึ่งตัวเลขปัจจุบันกับเป้าที่ตั้งไว้ไม่ได้หมายห่างกันมาก ซึ่งถ้าจะปรับเอยูเอ็ม น่าจะเป็นการปรับเป้าขึ้นมากกว่า แต่ตอนนี้ยังมองการเติบโตของบริษัทแบบอนุรักษ์นิยมมากกว่า และปัจจุบันบริษัทจะเฉลี่ยออกกองทุนใหม่เดือนละ 12 กอง ซึ่งส่วนหนึ่งจะมาจากกองทุนที่ครบอายุเวลาและต้องเปิดใหม่

สำหรับกรณีที่มีการประเมินกันว่ากองทุนอสังหาริมทรัพย์อาจจะไม่ได้รับการความนิยมจากผู้ลงทุนอย่างที่ผ่านมานั้น นายมาริษ ให้ความเห็นเรื่องดังกล่าวว่า ไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดีอยู่ เฉลี่ยอยู่ที่ 7-8%

“ความนิยมของกองทุนอสังหาฯ ขึ้นอยู่กับ บลจ.นั้น ว่ามีการคัดเลือกสินทรัพย์มาบริหารอย่างไรมากกว่า อีกทั้งแต่ละบริษัทสามารถบริหารและให้ผลตอบแทนกับผู้ลงทุนอย่างไร ขณะที่ยังมีสินทรัพย์อสังหาฯ อีกมากที่น่าสนใจให้เข้าไปทำกองทุน” นายมาริษกล่าว

นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในครึ่งปีหลังน่าจะโตได้ 20% และน่าจะทำให้ภาพทั้งปีเติบโต 10% จากครึ่งปีแรกเติบโตค่อนข้างน้อยมาก เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเงินไหลออกไปอยู่ในระบบเงินฝากธนาคารพาณิชย์ค่อนข้างมาก

“ภาพครึ่งปีแรกลงทุนในพันธบัตรก็ได้ดอกเบี้ยลดลง แต่แบงก์เพิ่มดอกเบี้ยเงินฝากก็ทำให้เงินไหลออกจากกองทุนรวม ครึ่งปีแรกเลยไม่โต แต่ครึ่งปีหลังแนวโน้มน่าจะดีขึ้น แม้แบงก์จะขึ้นดอกเบี้ย แต่พันธบัตรรัฐก็น่าจะได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นด้วย อีกทั้งพ.ร.บ.ประกันเงินฝากที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้เดือนส.ค.นี้ แม้จะเป็นจุดเริ่มต้นแต่เชื่อว่าจะทำให้ผู้ลงทุนเริ่มขยับหาช่องทางลงทุนใหม่ๆ ทำให้มองว่ากองทุนพันธบัตรัฐบาล ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำก็น่าจะได้ผลดีจากส่วนนี้”นายวนา กล่าว

กรุงไทยหารือปรับแผนครึ่งปีหลัง

นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการทบทวนแผนงานในช่วงครึ่งปีหลังใหม่ หลังจากในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา ธุรกิจกองทุนรวมเติบโตได้เพียงเล็กน้อยโดยทั้งอุตสาหกรรมขยายตัวประมาณ 0.93% เท่านั้น ซึ่งหากมองถึงการขยายตัวทั้งปีนี้ อาจจะไม่ถึง 20% อย่างที่คาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่ต้นปี

โดยสาเหตุหลักมาจากการขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อระดมเงินของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี ขณะเดียวกันปีที่แล้วมีกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในตั๋ว ECP (ตราสารทางการเงินของสถาบันการเงินในต่างประเทศ) ออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งทยอยครบอายุอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในเดือนนี้ ทำให้บริษัทจัดการบางบริษัทมีสินทรัพย์รวมติดลบ ส่งผลต่อถึงเงินลงทุนโดยรวมทั้งระบบไม่โตตามไปด้วย

ทั้งนี้ ในส่วนของบลจ.กรุงไทยเอง สามารถออกกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้มาชดเชยกองทุน ECP ที่ทยอยครอบอายุ แต่ก็ไม่สูงมากนักทำให้ช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทมีสินทรัพย์ติดลบไปประมาณ 7,000 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม การปรับลดดังกล่าวมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหุ้นที่ลดลงตามการปรับตัวของตลาดหลักทรัพย์ที่ลดลงไปแล้วประมาณ 20% รวมถึงการเทคโพรฟิตในกองทุนอื่นๆ ด้วย

"เราออกกองทุนพันธบัตรเกาหลีมาแล้วประมาณ 8-9 กองทุน ซึ่งมียอดระดมทุนได้ประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท แต่เราก็เสียกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของการไฟฟ้ามูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทไป รวมถึงการครบอายุของกองทุน ECP และหารหดตัวของกองทุนหุ้นตามภาวะตลาด ก็เลยทำให้โดยรวมแล้วยังติดลบอยู่ อย่างไรก็ตาม ทั้งปีนี้ เราคาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท"นายสมชัยกล่าว

สำหรับพ.ร.บ คุ้มครองเงินฝาก ที่จะมีผลบังคับใชในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ นายสมชัยกล่าวว่า ในปีนี้คงยังไม่เห็นผลมากนัก เพราะยังคงคุ้มครองเต็มจำนวนอยู่ ซึ่งหากถึงเวลานั้น ธนาคารพาณิชย์เองก็อาจจะใช่กลยุทธ์ขึ้นดอกเบี้ยดึงเงินเอาไว้ก็ได้ เช่น ธนาคารพาณิชย์ต่างชาติ ที่อาจจะสามารถให้ดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าตามดอกเบี้ยในต่างประเทศหากมีต้นทุนถูกกว่าแต่อย่างไรก็ยังเชื่อว่าในแง่ของธุรกิจกองทุนรวมน่าจะได้รับความสนใจจากผู้ฝากเงินมากขึ้น

ในส่วนของบลจ.กรุงไทยเอง ที่ผ่านมามีการหารือกับธนาคารกรุงไทยซึ่งเป็นบริษัทแม่ในการให้นโยบายเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับพ.ร.บ คุ้มครองเงินฝากอยู่แล้ว โดยเราเองมีกองทุนคุ้มครองเงินต้นที่ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้โดยไม่จำกัด แต่ในระยะต่อไปก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องคิดหาผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนใหม่ๆ ที่มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนได้


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.