เพื่อลดปัญหาการจราจรที่คับคั่งและสร้างระบบการขนส่งน้ำมันอันทรงประสิทธิภาพมากขึ้น
บริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย (THAI PETROLEUM PIPELINE CO.,LTD) ซึ่งใช้ชื่อย่อว่า
"THAPPLINE" จึงเกิดขึ้นตามนโยบายองรัฐบาลเมื่อปลายปี 2533 โดยมีสุโรจน์
จงวรนนท์ เป็นกรรมการผู้อำนวยการ
บริษัทนี้รับผิดชอบโครงการท่อน้ำมันขนาดใหญ่เส้นแรกของไทย เพื่อขนน้ำมันจากศรีราชากระจายไปสู่พื้นที่ภาคตะวันออกในระยะต้น
และขยายออกไปสู่ทางภาคเหนือหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือในอนาคต
เส้นทางท่อจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกจากดอนเมือง-ศรีราชา ระยะ 160 กิโลเมตร
ซึ่งกำหนดสร้างเสร็จต้นปี 2536 ทำให้ส่งน้ำมันอากาศยานจากโรงกลั่นไทยออยล์และเอสโซ่ซึ่งอยู่ที่ศรีราชาเข้ามายังอดนเมืองได้โดยตรง
ไม่ต้องวิ่งกลับไปกลับมาเหมือนตอนนี้ ซึ่งจะขนส่งทางเรือมายังช่องนนทรี แล้วขนส่งโดยรถยนต์ไปยังดอนเมืองจากดอนเมืองวิ่งกลับเข้าเมืองและจะวิ่งได้ตั้งแต่
3 ทุ่มขึ้นไปรวมแล้วตกวันละพันกว่าเที่ยว
ส่วนช่วงที่ 2 จากศรีราชา-สระบุรี ระยะทาง 86 กิโลเมตรกำหนดสร้างเสร็จในปลายปีเดียวกัน
โดยระบบท่อจะเริ่มต้นจากศรีราชา ไปยังชลบุรี ผ่านฉะเชิงเทรา ไปถึงสถานีรถไฟคลองหลวง
ซึ่งเป็นจุดพื้นที่ใกล้จะสร้างสนามบินหนองงูเห่าหากมีการสร้างก็เชื่อมต่อท่อเข้าด้วยกันได้
เพราะห่างกันเพียง 11 กิโลเมตร จากนั้นก็ผ่านรามอินทราไปยังคลังลำลูกกาซึ่งจะสร้างขึ้นใหม่ในบริเวณปทุมธานีเพื่อตอบสนองความต้องการน้ำมันในเขตกรุงเทพตะวันออก
จากคลังลำลูกกาผ่านไปยังจุดใกล้สถานีรถไฟรังสิต จากจุดนี้จะมีท่อแยกแถวเขตหนองจอก
กรุงเทพไปเชื่อมกับคลังน้ำมันที่ดอนเมือง แล้วไปบางปะอิน อยุธยา บ้านภาชี
แล้วไปสุดปลายทางที่คลังน้ำมันสระบุรี
รถที่เคยรับน้ำมันในเขตกรรุงเทพไปขายทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็จะเปลี่ยนมารับจากสระบุรีแทน
ท่อเส้นนี้จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 นิ้ว ภายในท่อจะออกแบบให้แยกส่งน้ำมันประเภทต่างๆ
ทั้งเบนซิน ดีเซล และน้ำมันอากาศยานได้ในท่อเดียวกันเรียกว่า MULTI PIPE
LINE SYSTEM ซึ่งเป็นระบบที่มีชื่อเสียงในวงการท่อน้ำมัน
ดังนั้นเมื่อสร้างระบบท่อเรียบร้อยททั้งโครงการก็จะทำหน้าที่ขนส่งน้ำมัน
จากศรีราชารวมไปถึงน้ำมันจากโรงกลั่นคาลเท็กซ์และของเชลล์ที่จะสร้างขึ้นที่มาบตาพุดทั้งหมด
"เราจ้าง บริษัท จอห์นบราวน์ คอนสตรัคเตอร์ เป็นวิศวกรที่ปรึกษา วงเงิน
4 แสนเหรียญสหรัฐ การออกแบบสเปกท่อจะรับความดันได้ถึง 1,500 ปอนด์ ซึ่งเป็นมาตรฐานของระบบท่อ
พวกนี้จะต้องนำเข้าทั้งหมด" สุโรจน์เล่าถึงส่วนสำคัญของสเปกท่อที่จะทนทานและรองรับความดันได้สูงเพื่อป้องกันการระเบิด
ขณะเดียวกัน ก็จะมีระบบควบคุมที่เรียกว่า "SCADA" ระบบที่รวมศูนย์การคอนโทรลและเรียกข้อมูลที่ต้องการได้ทั้งหมด
ซึ่งสุโรจน์พูดถึงระบบ "SCADA" ว่าเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงที่มีชื่อเสียงในยุโรป
"ทำเรารู้ข้อมูลได้ทุกส่วนในทุกเวลา และตรวจเช็คได้ทั้งหมดว่า ระบบการทำงานในขณะนั้นเป็นอย่างไร
เรียกขึ้นมาดูหน้าจอได้เลยหรือหามีปัญหา สมมติว่ามีจุดรั่ว ก็จะมี LOCK VAULUE
เป็นตัวปิดอัตโนมัติ เรียกว่าเป็น การเริ่มต้นระบบท่อน้ำมันของไทยตามมาตรฐานชั้นสูงของโลก"
สุโรจน์ ซึ่งเคยรักษาการนายช่างใหญ่ของ บริษัท คอลเกตปาล์มโอลีฟ (ประเทศไทย)
จำกัด เป็นผู้จัดการฝ่ายวางแผน บริษัท เอสโซ่แสตนดาร์ด ประเทศไทย จำกัด และจากตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าฯ
ด้านการจัดหาและกลั่นน้ำมันของปตท. ในช่วงล่าสุด ก่อนที่จะรับงานชิ้นใหม่ที่นี่ยังเล่าถึงความคืบหน้าว่า
ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบก่อสร้าง ซึ่งจะเริ่มประมูลได้ในต้นปีหน้า
สำหรับแนวท่อน้ำมัน 80 % จะยึดแนวเขตทางรถไฟ อีก 20% จะอิงแนวสถานีสายส่งแรงสูงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
ซึ่งเป็นแนวพื้นที่ชานเมือง นอกเขสตชุมชน "จึงมั่นใจได้ว่าไม่สร้างปัญหาด้านจราจรระหว่างการก่อสร้างประชาชนก็ไม่เดือดร้อน
ซึ่งเป็นเรื่องที่เราให้ความสำคัญมากและพยายามหลีกเลี่ยงผลกระทบนี้"ผู้จัดการ"ต่อปัญหาที่หลายพันคนกังวล
โครงการนี้ใช้เงินลงทุนประมาณ 5,000 ล้านบาท มีบริษัทน้ำมันร่วมทุนอย่างคับคั่ง
โดยบริษัทมีทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นประกอบด้วย ปตท. 25.5%
เชลล์และเอสโซ่รายละ 15 % คาลเท็กซ์บีพีและคูเวตออยล์รายละ 10 % โมบิล 4.5
% และบาฟส์ 5 %
ผู้ร่วมทุนเหล่านี้ก็คือลูกค้าที่จะใช้บริการขนส่งทางท่อเมื่อสร้างเสร็จ
ซึ่งในปีแรกประมาณการว่าจะมีน้ำมันของลูกค้าไหลผ่านราว 30 ล้านลิตรและจะเพิ่มขึ้นเป็น
70 ล้านลิตรใน20 ปี ซึ่งเป็นตัวเลขน้ำมานไหลผ่านท่อเต็มประสิทธิภาพตามที่วางสเปกไว้
พร้อมกันนั้น บริษัทก็จะต้องเป็นผู้จัดสรรลำดับการขนส่งน้ำมันให้ลูกค้าก่อน
ซึ่งเรื่องนี้สุโรจน์กล่าวว่าจะต้องจัดระบบและกติกาอีกครั้งหนึ่ง
ทางด้านราคาบริการในช่วง 4-5 ปีแรกจะคิดในอัตราที่ไม่สูงกว่าค่าขนส่งทางรถยนต์และรถไฟ
และหลังจากนั้นราคาก็จะถูกกว่า ซึ่งสุโรจน์ย้ำว่าอัตราค่าบริการจะเป็นตัวเลขที่แข่งขันกับค่าขนส่งทางอื่นได้และดึงดูดลูกค้ามากที่สุด
เนื่องธุรกิจการขนส่งน้ำมันทางท่อไม่ใช่มุ่งค้ากำไร จึงมีหลักดำเนินการเพื่อให้อยู่ได้ในฐานะที่เป็นโครงการเพื่อส่วนรวม
โดยจะเน้นให้อยู่ในฐานะทัดเทียมกับบริษัทน้ำมันระหว่างประเทศ เนื่องจากผู้ร่วมทุนแต่ละรายล้วนแต่เป็นบริษัทรายใหญ่ในตลาดโลกทั้งสิ้น
มาตรฐานความต้องการเชิงบริหารก็ย่อมสูงขึ้นด้วย
การบริหารท่อโครงการนี้จึงใช้หลักว่าจะใช้คนให้น้อยที่สุดแต่เน้นประสิทธิภาพและปริมาณความรับผิดชอบของแต่ละคนสูง
รวมไปถึงการนำเครื่องมืออุปกรณ์สมัยเข้ามาใช้
จากบุคลากร 15 คน ในขณะนี้ เมื่อเริ่มก่อสร้างจะเพิ่มเป็น 48 คน และเมื่อเปิดบริการแล้ว
ได้กำหนดกำลังคนไว้ไม่เกิน 100 คน ซึ่งพูดได้ว่าเป็นอิทธิพลที่เข้าได้รับจากเอสโซ่
"เราจะใช้คนน้อย เพราะจะใช้ระบบการควบคุมอัตโนมัติเป็น UNAMNSTATION
ระบบควบคุมจะรวมศูนย์อยู่ที่นี่ (สำนักงานในกรุงเทพ-ตึกแปซิฟิกทาวเวอร์)
ส่วนวิศวกรก็เพียง 6-7 คน ซึ่งจะต้องสรรหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในระบบขนส่งท่อจริงๆ"
งานนี้จึงเป็นการท้าทายฝีมือการบริหารขนองสุโรจน์ว่า จะเป็นผู้ถือหุ้นยอมรับและชื่นชมได้แค่ไหน…!