|
TPIPLฟุ้งรีไฟแนนซ์หมดปีนี้
ผู้จัดการรายวัน(10 กรกฎาคม 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
ทีพีไอ โพลีน มั่นใจออกจากแผนฟื้นฟูปีนี้แน่ ฟุ้งหาเงินจ่ายรีไฟแนนซ์ 8.6 พันล้านบาททันเวลา พร้อมแตกไลน์2 ธุรกิจใหม่ปีนี้ "ฟิล์มโซล่าร์เซลล์-กาวร้อน" เสริมธุรกิจ "ประศิษย์" ชี้ธุรกิจเม็ดพลาสติกปีนี้โต เหตุความต้องการสูง เพิ่มกำลังอีก 8.5% จากปีก่อน เตรียมปรับราคาขายขึ้นอีก 10% ปลายปีนี้หลังต้นปีปรับแล้ว 15% คาดรายได้ปีนี้51ไม่ต่ำกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท จากปีก่อน 2.69 หมื่นล้านบาท แจงราคาหุ้นไม่สะท้อนผลประกอบการจากประชาสัมพันธ์น้อย
นายประศิษย์ ชาญสิทธิโชค รองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน)หรือ TPIPL เปิดเผยว่า บริษัทเชื่อว่าจะสามารถออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ภายในปีนี้แน่นอน เนื่องจากจะสามารถนำเงินมารีไฟแนนซ์จำนวน 8,600 ล้านบาท ได้ทันตามกำหนด โดยจะใช้เงินจากผลการดำเนินงานของของบริษัท เพราะ ทุกธุรกิจมีการเติบโตที่ดี ซึ่งบริษัทพยามที่จะทำรายได้และกำไรมากขึ้นเพื่อที่จะพอในการชำระหนี้ โดยที่บริษัทจะไม่ต้องกู้เงินจากสถาบันการเงิน
ทั้งนี้บริษัทคาดรายได้ปีนี้จะไม่ต่ำกว่า 29,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2550 ที่มีรายได้รวม 26,933.90 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจเม็ดพลาสติกเติบโตดี จากคาวมต้องการใช้ที่สูงขึ้นทำให้เม็ดพลาสติกเกิดการขาดตลาด โดยบริษัทได้เพิ่มกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกอีวีเอเป็น 70,200 ตันต่อปี หรือเพิ่ม8.5% จากเดิมที่มีกำลังการผลิต 65,000 ตันต่อปี โดยใช้เงินลงทุนจำนวน 18-20 ล้านบาท ซึ่งดำเนินการเสร็จแล้วและบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกแอลดีพีอี
นอกจากนี้ การที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มอย่างต่อเนื่องส่งผลดีต่อบริษัททำให้ราคาขายปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยตั้งแต่ต้นปีบริษัทได้มีการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นแล้ว 15% และมีโอกาสที่บริษัทจะมีการปรับขึ้นราคาสินค้าอีก 10%ในช่วงปลายปีนี้ โดยปัจุบันบริษัทได้ส่งออกเม็ดพลาสติกส่งออก 80%ของกำลังการผลิตรวม ซึ่งประเทศที่มีความต้องการใช้เม็ดพลาสติกสูงคือจีน และอินเดีย ที่มีการพัฒนาเรื่องสุขภาพที่ดีขึ้นโดยหันมาใส่รองเท้าแตะมากขึ้น ซึ่งเม็ดพลาสติกอีวีเอเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตรองเท้า ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น(มาร์จิ้น)ปีนี้อยู่ที่ 12-15%จากปีก่อนที่8%
" แนวโน้มรายได้ในไตรมาส2/51 คาดว่าจะยังคงสูงกว่กไตรมาส1/51 ที่มีรายได้ จากธุรกิจเม็ดพลาสติกยังมีการเติบโตที่ดี จากความต้องการใช้ที่สูงทำให้กำลังการผลิตไม่เพียงพอ และจากการที่ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลดีทำให้ราคาขายสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นตามและรายได้ทางด้านการขายปูนซิเมนต์ยังเป็นสัดส่วนรายได้หลักของบริษัท"นายประศิษฐ กล่าว
นายประศิษย์ กล่าวว่า โครงการก่อสร้างปูนซีเมนต์แห่งที่ 4 นั้นบริษัทได้มีการชะลอการก่อสร้างออกไป เพราะ จากธูรกิจปูนมีการซบเซาตั้งแต่ปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน เนื่องจากภาครัฐยังไม่มีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่จริงเป็นเพียงการพูดเท่านั้นว่าจะมีการลงทุนโครงการต่าง และจากการที่เศรษฐกิจมีการชะลอตัว ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้นทำให้ต้องมีการประหยัดจึงทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างชะลอตัว
ทั้งนี้ บริษัทก็สามารถที่จะมียอดขายในระดับที่น่าพอใจ โดยการให้ตัดแทนขายมีการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า แต่เชื่อว่าปลายปีนี้เป็นต้นไปเชื่อว่าจะธุรกิจปูนจะดีขึ้น จากโครงการต่างๆของภาครัฐน่าจะมีการลงทุนติง เล่น การสร้างถนน งานอสังหาริมทรัพย์ หากรัฐบาลมีความชัดเจนเรื่องยุบพรรคการเมืองทำให้ยอดขายปูนปรับตัวดีขึ้น
สำหรับในปีนี้บริษัทได้มีการทำธุรกิจใหม่ 2 ธุรกิจ คือ การนำเม็ดพลาสติกมาเพิ่มมูลค่าเพิ่มโดยพัฒนาเป็นแผ่นฟิล์มเป็นชิ้นส่วนประกอบเป็นแผงโซลาร์เซลล์ ซึ่งเริ่มจำหน่ายแล้ว 1-2 เดือนที่ผ่านมา โดยกลุ่มลูกค้าคือบริษัทที่ผลิตและจำหน่ายแผงโซล่าร์เซลล์ เช่น บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน)หรือ SOLAR และ บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ AKR เพราะ ปัจจุบันยังไม่มีผู้ผลิตในประเทศไทย โดยที่ผ่านมาจะต้องนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นและอเมริกา ทำให้มาร์จิ้นธุรกิจดังกล่าวสูงถึง 40%
โดยบริษัทมีแผนที่จะนำไปจำหน่ายฟิล์มโซลาร์เซลล์นี้ไปจำหน่ายยังต่างประเทศเช่นกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งตัวอย่างไปทดสอบที่ประเทศจีน เพราะ ประเทศดังกล่าวมีความต้องการใช้ที่สูง โดยคาดว่าจะส่งออกไประเทศจีนได้ประมาณ 2 เดือนข้างหน้า และบริษัทมีแผนที่จะทำตลาดที่ประเทศอินเดียเช่นกันซึ่งขณะนี้ได้ส่งสินค้าไปทดสอบแล้วเช่นกัน โดยบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 250,000 ตารางเมตรต่อเดือน โดยคาดว่าปีหน้าจะสร้างรายได้ประมาณ 25 ล้านบาทต่อเดือน และจะเน้นส่งออกประมาณ 70% และขายในประเทศ 30% ส่วนอีก 1ธุรกิจคือการทำกาวร้อน ที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตหนังสือในส่วนของสันหนังสือ และเฟอร์นิเจอร์ ที่ปัจจุบันมีการใช้ประมาณ 200-300 ต้นต่อเดือน ซึ่งบริษัทเริ่มจำหน่ายในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยบริษัทสามารถที่จำหน่ายได้ประมาณ 25%ของการใช้ปัจจุบันที่มี 200-300 ตันต่อ
เดือน เพราะปัจจุบันกาวร้อนดังกล่าวนั้นยังไม่มีการผลิตในประเทศจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้เมื่อบริษัทมีการผลิตทำให้มีราคาถูกว่านำเข้า และทำให้บริษัทที่ใช้ไม่ต้องสั่งซื้อปริมาณที่สูงเพื่อสต๊อกสินค้าไว้
นายประศิษย์ กล่าวถึงราคาหุ้นของบริษัทว่า ถ้าหากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานถือว่าหุ้นที่น่าลงทุนจากมีการเติบโตที่ดี แต่การที่ราคาหุ้นของบริษัทไม่สะท้อนกับผลการดำเนินงานเพราะ บริษัทมีการประชาสัมพันธ์ที่ยังไม่ดีเท่าไร ทำให้นักลงทุนมองไม่เห็นถึงการเติบโตที่ดีของบริษัท
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|