|
'เจริญ'สบช่องศก.ทรุด ไล่ชอปที่ดิน-อสังหาฯ
ผู้จัดการรายวัน(9 กรกฎาคม 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
เจ้าสัวเจริญสั่งลุย! ดันทีซีซี แลนด์ฯ ใช้ศักยภาพกำลังเงินที่มีอยู่ เทเงิน 2,000 ล้านบาท ไล่ซื้อที่ดินเปล่า-เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์เก่า ผุด 3 โครงการช่วงครึ่งปีหลัง ระบุเศรษฐกิจไม่ดีราคาที่ดินลด เป็นฤดูแห่งการชอปของถูก เจ้าของเร่ขายโครงการเพียบ ล่าสุดเช่าพื้นที่อาคารแยกเพลินจิตของบริษัทลูก ลงทุนโรงแรมหรู ระบุการเมืองกระทบท่องเที่ยวคาดทั้งปียอดเข้าพักหาย 10% ด้านยูนิเวนเจอร์ฯที่กลุ่มลูกเจริญถือ 51% ลั่นภายใน 3 ปี สัดส่วนรายได้จากอสังหาฯเพิ่มเป็น 80-90%
ชี้ลงทุน พลังงานแค่รายได้เสริม
นายโสมพัฒน์ ไตรโสรัส กรรมการรองผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ทีซีซี แลนด์ จำกัด ธุรกิจในกลุ่มทีซีซี โฮลดิ้ง ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินเปล่า 2 แปลงๆ ละเกือบ 10 ไร่ แนวรถไฟฟ้า ในราคาตาราวาละประมาณ 3 แสนบาท สามารถพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมราคาประมาณ 90,000 บาทต่อตารางเมตร และเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์อีก 1 แห่ง มูลค่ารวมกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมและโรงแรม
สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง มีแผนเปิด 3 โครงการ เป็นคอนโดมิเนียม 1 โครงการ และวิลลาอีก 1 โครงการ ซึ่งจะพัฒนาในนามบริษัท ที.ซี.ซี. แคปปิตอล แลนด์ จำกัด ส่วนเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ที่ซื้อมานั้นจะปรับปรุงเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ทีซีซี แลนด์
“ ในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ทำให้มีเจ้าของโครงการนำโครงการเก่าและโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างมาเสนอขายให้หลายโครงการ แต่ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก เพราะราคายังสูงอยู่ แต่ก็สมเหตุสมผลมากขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ราคาสูงเกินความเป็นจริงมาก เจ้าของอยากขายมากขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนเศรษฐกิจไม่ดีถือเป็นช่วงซื้อที่ดินไว้เก็บสะสม แต่สำหรับเราตอนนี้ต้องเลือกซื้อโครงการหรือลงทุนในโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและมีศักยภาพจริงๆ ไม่ยากซื้อเข้ามาเก็บไว้” นายโสมพัฒน์กล่าว
ทุ่ม3,000ล้านผุดรร.หรูแยกเพลินจิต
สำหรับแผนการลงทุนในขณะนี้ นายโสมพัฒน์ กล่าวว่า ล่าสุด ทางบริษัทยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทที่นายนายฐาปน สิริวัฒนภักดี และ นายปณต สิริวัฒนภักดี ถือหุ้นอยู่ 51% ได้ลงทุนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่บนเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ของบริษัทเลิศรัฐการ จำกัด ที่ยูนิเวนเจอร์ถือหุ้น 100% สัญญาเช่า 30 ปี เริ่มนับจากวันที่ 30 กันยายน 2511 โดยพัฒนาเป็นอาคารสูง 33 ชั้น พื้นที่ 81,400 ตร.ม. มูลค่าการลงทุนรวม 7,500 ล้านบาท ชั้นที่ 1-21 จำนวน 28,000 ตร.ม.เป็นพื้นที่อาคารสำนักงานเกรดเอ ส่วนชั้น 22-33 จำนวน 25,000 ตร.ม.เป็นโรงแรม
สำหรับในส่วนของโรงแรมนั้น ได้ให้บริษัท ทีซีซี ลักซ์ชูรีโฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ทีซีซี แลนด์ เช่าในราคา 53,000 บาท/ตร.ม.นาน 30 ปี รวมเป็นเงิน 1,357 ล้านบาท ทยอยจ่ายในช่วงระยะเวลา 4 ปีระหว่างดำเนินการก่อสร้าง โดยทีซีซีฯจะลงทุนเพิ่มอีก 1,700 ล้านบาท (รวมเป็นเงินลงทุนในส่วนของโรงแรมประมาณ 3,000 ล้านบาท) พัฒนาเป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว จำนวน 240 ห้อง ขนาด 48 ตร.ม./ห้อง อัตราค่าเช่าประมาณ 6,000-7,000 บาท/คืน ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาเชนโรงแรมระดับ Top 5 ของโลกมาบริหาร
“ โครงการนี้จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ที่มีสำนักงานเกรดเอด้านล่างชั้นบนเป็นโรงแรม 5 ดาว ซึ่งในต่างประเทศมีจำนวนมาก ส่วนระดับราคาเช่านั้นจะไม่ไปเบียดตลาดจากพลาซ่าแอทธินี เพราะมีราคาเช่าสูงกว่า ส่วนพลาซ่าแอทธินีนั้นราคาประมาณ 5,000 บาท/คืน อัตราผลตอบแทนประมาณ 12-13% สำหรับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ไม่ดีนั้น เชื่อว่าไม่กระทบมากนัก เพราะกว่าที่โรงแรมจะสร้างเสร็จและเปิดให้บริการได้ประมาณปี 2555 เชื่อว่าในขณะนั้นเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้นแล้ว” นายโสมพัฒน์กล่าว
การเมืองฉุดยอดเข้าพักโรงแรมวูบ10%
ด้านนายไพสิฐ แก่นจันทร์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ทีซีซี แลนด์ เลเชอร์ จำกัด ซึ่งดูแลพอร์ตการลงทุนด้านโรงแรม ของกลุ่มทีซีซี แลนด์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันอัตราการเข้าพักในโรงแรมถือว่าลดลงไปพอสมควร โดยเฉพาะโรงแรมระดับราคา 3,000-5,000 บาท/คืน เนื่องจากนักท่องเที่ยวไม่มั่นใจสถานการณ์การเมืองของไทย และจะเห็นผลชัดเจนในช่วงไตรมาส 3-4 เพราะส่วนใหญ่จะจองล่วงหน้า 6 เดือน
อย่างไรก็ตามคาดว่า ทั้งปีอัตราการเข้าพักจะลดลงประมาณ 15% เฉลี่ยทั้งปี 60-70% ของห้องพักทั้งหมด เหลือประมาณ 55-65% สังเกตได้จากงานประชุมสมาชิกไลออน สากล ที่ปกติจะมีสมาชิกเข้าร่วมอย่างน้อย 30,000 ราย แต่ปีนี้มาเพียง 25,000 รายเท่านั้น ส่วนภาวะเงินบาทอ่อนค่าลงนั้น บริษัทได้รับประโยชน์เนื่องจากคิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ
ยูนิเวนเจอร์คาด3ปีพอร์ตอสังหาฯโต90%
นางอรฤดี ณ ระนอง ประธานอำนวยการ บริษัท ยูนิ เวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV กล่าวถึงแนวโน้มของรายได้รวมในปีนี้ คงจะใกล้เคียงกับเป้าหมายเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 2,500 ล้านบาท เนื่องจากราคาสังกะสีลดลงจากเดิมที่คาดว่าในปีนี้ราคาสังกะสีจะอยู่ที่ 2,400 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากปัจจุบันที่ราคาสังกะสีอยู่ที่ 1,800 เหรียญสหรัฐต่อตัน ตามราคาสินแร่ที่ลดลง โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้แบ่งเป็นธุรกิจสังกะสี 80% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 20% ซึ่งธุรกิจอสังหาฯจะทยอยรับรู้ยอดขายอีกประมาณ 500 ล้านบาท จากโครงการที่ร่วมทุนกับปริญสิริฯ ในโครงการยูโรเปียนทาวน์ สุวรรณภูมิ และโครงการนอร์ธเทิร์น ทาวน์ รังสิต
สำหรับเป้าหมายรายได้ของธุรกิจอสังหาฯในช่วง 3 ปีข้างหน้า นางอรฤดี กล่าวว่า จะเพิ่มเป็น 80-90% จากเดิม 20% เนื่องจากบริษัทฯจะรับรู้รายได้จากโครงการอสังหาเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจพลังงานยังคงมีสัดส่วนรายได้ไม่มากนัก เนื่องจากบริษัทฯได้ใช้งบลงทุนเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ดี ปีนี้บริษัทฯ วางแผนเปิดโครงการทั้งสิ้น 3 โครงการ มูลค่า 2,500 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯได้เปิดโครงการไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการที่กล้วยน้ำไท มูลค่า 500 ล้านบาท และโครงการที่วิภาวดี ส่วนในไตรมาส 4/51 บริษัทฯ เตรียมจะเปิดโครงการใหม่อีก โดยมีมูลค่าโครงการอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|