|
ไทยพาณิชย์คาดกนง.ขึ้นดบ.ทั้งปีอีก75สต.
ผู้จัดการรายวัน(8 กรกฎาคม 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
"เศรษฐพุฒ สุทธิวาทนฤพุฒิ" คาด กนง.จะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในปีนี้ 3 ครั้ง หลังจากได้รับความกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตประมาณ 5% ชี้ พ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝากจะช่วยหนุนธุรกิจกองทุนรวม และส่งผลดีต่อประชาชนในระยะยาว พร้อมก้าวเข้ารับตำแหน่งเป็นกรรมการผู้อำนวยการคนใหม่ บลจ.ไทยพาณิชย์ เตรียมสานต่องานให้ดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง และรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจกองทุนรวม พร้อมประเดิมลุยต่อท่อช่องทางขายระหว่าง บลจ.กับทุกสาขาของแบงก์แม่ และเน้นพัฒนาศักยภาพของพนักงานขายในเฟสต่อไป
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศ ว่า คาดว่าคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ดอกเบี้ยอาร์พี) ภายในปีนี้อีกประมาณ 3 ครั้ง โดยจะเป็นการทยอยปรับขึ้นในอัตรา 0.25% ในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และตุลาคม เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่จะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม และกันยายน แต่การประชุม กนง.ในเดือนตุลาคม ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อในเดือนกันยายนยังไม่ปรับตัวลดลง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากสูงกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ตั้งไว้ 0-3.5% และคาดว่าในการประชุม กนง.ในเดือนธันวาคม อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลงมา ส่งผลให้ไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก
ปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) ได้ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core CPI) ที่กำจัดอิทธิพลของราคาสินค้าในหมวดพลังงาน และสินค้าเกษตรได้ปรับขึ้นตามไปด้วย โดยมาจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ค่าจ้างแรงงาน และสินค้าเกษตร ขณะเดียวกัน คาดว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 5% โดยตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 2 น่าจะออกมาดี แต่แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มไม่ดี เนื่องจากมีปัจจัยมากระทบอย่างราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ ค่าแจ้งแรงงาน และราคาสินค้าเกษตร
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันประกันเงินฝาก หากมองในระยะยาวจะช่วยสนับสนุนธุรกิจกองทุนรวม และส่งผลดีต่อประชาชน เนื่องจากที่ผ่านมา รัฐบาลมีภาระจากการเข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงินเป็นจำนวนมาก โดยเมื่อปี 2540 อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ที่ประมาณ 5 ล้านล้านบาท โดยเสียหายจากการเข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงิน โดยหักยอดที่มีการประมูลจากองค์การปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ประมาณ 1.3 -1.4 ล้านล้านบาท หรือคิดตัวเลขเป็นประมาณ 20% ของ GDP ดังนั้น เมื่อมีวิธีที่เข้ามาช่วยลดภาระทางการเงินของทางภาครัฐจึงนับว่าเป็นสิ่งที่ดี
นอกจากนี้ ยังถือว่าดีต่อธุรกิจ โดยตำแหน่งของ บลจ.นับว่ามีความสำคัญมาก เป็นธุรกิจบริหารสินทรัพย์ แต่เป็นธุรกิจที่สร้างความเชื่อมั่น เมื่อประชาชนมองหาสิ่งที่ใกล้เคียงกับการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ และค่อนข้างปลอดภัย และจะดูจากที่มีความมั่นคง และสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือการออกไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือซื้อกองทุนรวม
ส่วนการที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เข้ามาในการหักเงินเป็นประจำทุกเดือน ถือว่าเป็นการช่วยการออมของประชาชนในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่พอ หากจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เข้ามาช่วยในส่วนนี้ โดยสามารถให้เลือกสิ่งที่ต้องการลงทุน และรับความเสี่ยงไว้เอง หรืออย่างน้อยต้องให้ประชาชนได้มีสิทธิ์เลือกประเทศที่จะเข้าไปลงทุน หรือกองทุนที่จะลงทุนเอง
ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด ได้ประกาศแต่งตั้งนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ โดยได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน ศกนี้ เป็นต้นไป โดยนายเศรษฐพุฒิ เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีความรู้ความสามารถโดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ที่หลากหลาย จากทั้งภาคผู้กำกับดูแลตลาดทุนและภาคธุรกิจตลาดทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงมีความเข้าใจธุรกิจเป็นอย่างดี ส่งผลให้ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการคนใหม่ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ จำกัด
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวถึงการเข้ารับตำแหน่งในครั้งนี้ว่า การที่ บลจ.ไทยพาณิชย์ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในธุรกิจกองทุน โดยมีส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจกองทุนรวมสูงเป็นอันดับ 1 นั้น เนื่องจากได้รับการวางรากฐานเป็นอย่างดี ทั้งด้านระบบงาน การบริหารการจัดการ และทีมงานที่แข็งแกร่ง จึงมีความมั่นใจว่าการเข้ามารับตำแหน่งครั้งนี้จะสามารถสานต่องานให้ดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง และจะยังรักษาความเป็นผู้นำ และครองอันดับ 1 ในธุรกิจกองทุนรวม
โดยแผนระยะยาวจะเน้นหนักในเรื่องการสร้างคน โดยจะเข้ามาดูภาพรวมการแข่งขันรวมของธุรกิจกองทุนรวม เฟสแรกที่ทำเป็นเรื่องของ บลจ.ต่อท่อช่องทางขายกับทุกสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ผ่านมาก็ทำได้ค่อนข้างดี และการออกกองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund) ก็ทำก่อนใคร เนื่องจากผู้ฝากเงินมีความคุ้นเคยมากที่สุด ตลาดในส่วนนี้เจริญเติบโตเร็ว จะเห็นคู่แข่งค่ายอื่นๆ ก็หันมาต่อท่อกับสาขาแบงก์ และออกผลิตภัณฑ์ตาม
สำหรับเฟสต่อไป มองว่าสิ่งที่จะเป็นตัวกำหนดว่าใครจะชนะการแข่งขันคือเรื่องคุณภาพของพนักงานขาย และศักยภาพในแง่การให้ความรู้ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่จะทำให้คนซื้อ ต้องมีความเชื่อมั่น ต้องมีความรู้ ซึ่งที่ผ่านมาเป็นจะเน้นเพียงการขายผลิตภัณฑ์เท่านั้น โดยจะหันมาเป็นมองลูกค้ามากขึ้น รู้ความต้องการของลูกค้ามากขึ้น และมีบทบาทคล้ายกับที่ปรึกษาทางการ(Financial Adviser) ซึ่งหายากมากเพราะจะเป็นทั้งผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) บวกกับเป็นพนักงานขาย (Sale) ที่ชอบบริการด้วย มองว่าผลิตภัณฑ์สามารถเลียนแบบกันได้ค่อนข้างง่าย แต่เรื่องศักยภาพคนเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้แข่งขันได้ยั่งยืน ซึ่งที่สุดทุกธุรกิจก็ต้องหันมาเน้นหนักในด้านนี้กัน ซึ่งบทบาทตรงนี้ยังไม่มีใครตีโจทย์นี้ได้
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์มีนโยบายสนับสนุนผู้บริหารที่มีความรู้ ความสามารถ ตลอดจนมีความเข้าใจในธุรกิจเข้ามาร่วมบริหารงาน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธุรกิจของธนาคาร ดร.เศรษฐพุฒิเป็นผู้หนึ่งที่มีความรู้ความสามารถ ดังนั้นจึงได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ และด้วยประสบการณ์การทำงาน เชื่อมั่นได้ว่า จะสามารถบริหารงานได้บรรลุตามเป้าหมายและครองความเป็นผู้นำในธุรกิจกองทุนได้อย่างแน่นอน
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|