|
แบงก์จี้ขึ้นดบ.สกัด"เงินเฟ้อ"คาดครึ่งปีหลังขยับอีก0.50%
ผู้จัดการรายวัน(3 กรกฎาคม 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
นายแบงก์หนุนธปท.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสกัด หลังเงินเฟ้อเดือนมิถุนาฯพุ่ง 8.9% "ประสาร"ชี้ต้องระดมทั้งนโยบายการเงิน การคลัง และมาตรการประหยัดในการแก้ปัญหาดังกล่าว ระบุครึ่งปีหลังดอกเบี้ยกู้-ฝากขยับได้อีก 0.25-0.50% ด้าน "แบงก์ไทยพาณิชย์" ยันเงินเฟ้อสูงยังไม่กระทบการปล่อยสินเชื่อแบงก์
นายเดชา ตุลานันท์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) เปิดเผยว่า จากอัตราเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศออกที่ระดับ 8.9%นั้น นับว่าเป็นระดับที่สูง ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยให้อัตราเงินเฟ้อไม่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าในปัจจุบัน แม้อัตราดอกเบี้ยเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันด้วย เนื่องจากราคาน้ำมันก็เป็นต้นทุนหลัก ที่ทำให้ราคาสินค้าทุกประเภทปรับเพิ่มขึ้นและส่งผลกระทบต่อผู้ที่มีรายได้น้อย
สำหรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยของระบบมีโอกาสปรับขึ้นได้อีก 0.50% ทั้งเงินฝากและเงินกู้ในครึ่งหลังของปีนี้ เนื่องจากสภาพคล่องในระบบเริ่มตึงตัวมากขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมัน
ทั้งนี้ การปรับขึ้นดอกเบี้ยก็อาจส่งผลกระทบต่อภาคการลงทุน ซึ่งจะมากน้อยเพียงใดต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป ขณะที่สถานการณ์ของตลาดหุ้นก็ยังคงปรับตัวลดลงสวนต่างกับปัจจัยพื้นฐานที่เป็นอยู่
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาสินเชื่อขนาดกลางและย่อม(SME)ของธนาคารยังไม่พบปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดราย(NPL) แม้ภาวะเศรษฐกิจค่อนข้างซบเซา แต่กลุ่มลูกค้าของธนาคารยังดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยดี โดยปัจจุบันธนาคามีสินเชื่อคงค้างของ SME มูลค่า 300,000 ล้านบาท โดยฐานลูกค้าสินเชื่อ SME ของธนาคารยังเป็นอันดับ 1
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ ในส่วนของการวิเคราะห์ในตลาดนั้นได้มองว่าน่าจะมีการปรับขึ้น อีกทั้งธปท.ก็ได้ส่งสัญญาณว่ามีความเป็นไปได้ อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งหากธปท.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียงเล็กน้อยก็จะยังไม่ชัดเจนว่าธนาคารพาณิชย์จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามหรือไม่ เนื่องจากการปรับอัตราดอกเบี้ยส่วนหนึ่งจะต้องดูถึงการแข่งขันว่าเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ หากธนาคารพาณิชย์จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ต้องมีการปรับขึ้นทั้ง 2 ขา คือปรับทั้งเงินกู้และเงินฝาก โดยมองว่าครึ่งปีหลังนี้อัตราดอกเบี้ยน่าจะปรับขึ้น 0.25-0.5% ส่วนการที่กระทรวงการคลังได้ออกมาบอกว่าอยากให้ธนาคารต่าง ๆ มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฉพาะในส่วนของเงินฝากนั้น มองว่าการปรับขึ้นจะเป็นในรูปแบบใดก็ต้องดูถึงการแข่งขันในตลาดว่าเป็นอย่างไรประกอบด้วย
สำหรับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารในปีนี้น่าจะยังยังคงเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อรวมปีนี้ที่ 10-15% เนื่องจาก 5 เดือนแรก สินเชื่อรายใหญ่ก็ยังคงสูงกว่าเป้าที่คาดไว้ และธนาคารยังคงเป้าสินเชื่อรายใหญ่ว่าทั้งปีจะเติบโต 12-15% แต่ในส่วนของสินเชื่อเอสเอ็มอีที่ตั้งเป้าไว้ว่าทั้งปีจะเติบโต 20% นั้นอาจจะต่ำกว่าเป้าหมายไปบ้าง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและเงินเฟ้อที่สูงขึ้น แต่ธนาคารก็ได้พยายามศึกษาว่าจะเป็นไปตามเป้าหรือไม่ แต่ก็ไม่น่าจะปรับเป้าหมายไปมาก เนื่องจากมีแสินเชื่อ K-Subply Chain Solution เข้ามาเสริม
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเงินเฟ้อปัจจุบันจะสูงถึง 8.9% แต่มองว่าปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในเฉพาะประเทศแต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกๆประเทศ เพราะมีสาเหตุมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งวิธีแก้ไขก็ต้องใช้ทั้งนโยบายการเงิน นโยบายการคลัง รวมถึงมาตรการอื่นๆ โดยเฉพาะมาตรการการประหยัดพลังงาน ซึ่งในส่วนของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ก็ต้องมีการระมัดระวัง เนื่องจากผู้ประกอบการบางส่วนที่ไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาสินค้าได้ก็จะได้รับผลกระทบ แต่ในส่วนของธนาคารนั้นเชื่อว่าปีนี้การทำธุรกิจจะยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้
ยันเงินเฟ้อสูงยังไม่กระทบสินเชื่อ
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อเดือนมิถุนายนที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 8.9% นั้นไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร และจะกระทบกับภาคธุรกิจบางส่วนที่ต้องใช้ต้นทุนสูง แต่ในส่วนของการปล่อยสินเชื่อรายย่อยของธนาคารก็ยังเติบโตได้ เนื่องจากลูกค้ารายย่อยมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าครองชีพในช่วงที่ผ่านมา ส่วนสินเชื่อบ้านก็ยังมีการเติบโตเช่นกัน เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนอสังหาริมทรัพย์
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเชื่อว่าจะมีการปรับขึ้นทั้งเงินกู้และเงินฝาก แต่การขึ้นของดอกเบี้ยเงินกู้นั้นจะไม่สูงเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก หรือไม่น่าจะสูงถึง 0.50% แต่อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะต้องขึ้นอยู่กับภาวะในตลาดด้วยว่าเป็นอย่างไร
"แบงก์ยังไม่มีการทบทวนเป้าสินเชื่อปีนี้เพราะยังไม่ถึงเวลาซึ่งสินเชื่อครึ่งปีแรกก็เติบโตดีพอสมควร แม้จะมีความไม่แน่นอนจากปัญหาด้านเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันใกล้จะถึงการประกาศตัวเลขงบของธนาคาร แล้วและจะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป แต่ในด้านความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ลดลงก็มองว่าไม่กระทบกับลูกค้ารายใหญ่ของธนาคารเพราะลูกค้ารายใหญ่เป็นกลุ่มที่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจดี จึงมีการวางแม้อนาคตไว้อยู่แล้ว ส่วนสินเชื่อของทั้งระบบปีนี้คาดว่าจะโต 6-8%"
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|