|
สศค.คงจีดีพี51โต5-6% ลั่นพื้นฐานศก.ไทยปึ๊ก
ผู้จัดการรายวัน(26 มิถุนายน 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
สำนักงานเศรษฐกิจการคลังแถลงการณ์คงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 51 ที่ระดับ 5-6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อปรับใหม่จาก มาอยู่ที่ 7.2% ยันแม้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นจนกดดันอัตราเงินเฟ้อต่อเนื่อง แต่พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังรับมือความเสี่ยงได้
นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สศค.กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยยังมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและสามารถรองรับปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศได้ดี โดยเศรษฐกิจไทยในปี 2551 คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 5.0-6.0 ต่อปี เท่ากับประมาณการครั้งก่อน ณ เดือนมีนาคม 2551 และปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 4.8 ต่อปี เนื่องจากได้รับแรงส่งต่อเนื่องจากอัตราการขยายตัวในไตรมาส 1 ปี 2551 ที่สูงถึงร้อยละ 6.0 ต่อปี
อย่างไรก็ตาม สศค.ได้ปรับคาดการณ์ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจอื่นๆ ของปี 51 ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 7.2% จากเดิม 4.3-4.8% ส่วนการบริโภคจะขยายตัว 4.1% การลงทุนขยายตัว 8.3% การส่งออกในแง่ปริมาณขยายตัว 8% การนำเข้าในแง่ปริมาณขยายตัว 9.7% เกินดุลการค้าในระดับ 1.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
"เหตุผลที่ยังคงคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปีนี้ไว้ที่ 5.0-6.0% หรือเฉลี่ยที่ 5.6% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและสามารถรองรับปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศได้ดี" นางพรรณีกล่าวและว่า แรงขับเคลื่อนหลักจากอุปสงค์ภายนอกประเทศยังขยายตัวได้ดี ตามเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าใหม่ในเอเชียและตะวันออกกลางที่เติบโตในระดับสูง และเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงกว่าที่คาดการณ์เดิม ส่งผลให้การส่งออกของไทยที่เปลี่ยนไปยังตลาดใหม่ยังคงเติบโตได้ดี ตลอดจนอุปสงค์ภายในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น เพราะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากรายได้เกษตรกรที่เพิ่มขึ้นตามราคาสินค้าเกษตร การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ มาตรการของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจ รวมถึงการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ
อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของภาคเอกชนยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่ลดลง
นางพรรณีกล่าวถึงเสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศในปี 51 ว่า ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่ายังคงเกินดุลที่ร้อยละ 1.0 -2.0 ของจีดีพี แต่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศในปี 2551 มีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 6.0-8.0 ต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก
ด้านนายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยขณะนี้ไม่ได้เข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า Stagflation หรือภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อสูง เนื่องจากเศรษฐกิจของไทยในขณะนี้ยังสามารถขยายตัวได้ดี แต่ก็เห็นว่าภาครัฐควรจะเร่งเพิ่มรายได้ก่อนที่จะปัญหาเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบไปมากกว่านี้
"กลุ่มที่รัฐบาลควรจะเข้าไปช่วยเหลือ คือ กลุ่มผู้มีรายได้น้อย, ข้าราชการ และผู้เกษียณอายุ ที่ควรจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 5-6% ส่วนกลุ่มเกษตรกรแม้จะเป็นฐานประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ขณะนี้ถือว่ามีรายได้ดีขึ้นตามราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งเข้าไปช่วยเหลือมากนัก" นายคณิศ กล่าวและว่า หากอัตราเงินเฟ้อขึ้นไปถึง 2 หลักจริง ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะต้องปรับขึ้นไปถึง 160-165 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะต้องติดตามราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างใกล้ชิด รวมถึงกรณีที่รัฐบาลส่งเสริมให้ใช้น้ำมัน E85 และไบโอดีเซลว่าจะเกิดขึ้นเร็วเพียงใด
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|