บริษัทหลักทรัพย์ชาวไทย "ช็อก" ตลาด


นิตยสารผู้จัดการ( กุมภาพันธ์ 2533)



กลับสู่หน้าหลัก

The Four DARK DAYS ของตลาดหุ้นไทยคือวันที่ 9-12 มกราคม 2533 เมื่อราคาตลาดหุ้นไทยมีอาการแกว่งอย่างสวิงสุดเหวี่ยง เปิดฉากการไต่ราคาที่สูงสุดเหยียดตอนเปิดตลาดแล้วตกติดพื้น ตอนปิดตลาดเป็นการไล่ซื้อแล้วทุบราคาของกลุ่มนักปั่นราคา เพื่อเก้งกำไรหุ้นในตลาดที่ว่ากันว่าตลอดช่วงปีใหม่เกิดขึ้นอย่างหนาแน่นมาก การไต่ราคาของดัชนี ตลาดหุ้น (SET INDEX) ที่ทะลุ 900 จุดอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดหมายเป็นประจักษ์พยานถึงความหมายนี้ชัดเจน

ขณะที่นักปั่นราคาหุ้นในตลาดกำลังทำงานกันอย่างสนุกมือนั้นการ "ช็อก" ในตลาดก็เกิดขึ้น เมื่อบริษัทหลักทรัพย์ชาวไทยซับโบรกเกอร์ของกลุ่มพี่น้อง "บูลกุล" ถูกทางการและตลาดหลักทรัพย์ฯเล่นงาน สั่งห้ามซื้อขายหุ้นอย่างไม่มีกำหนดพร้อมเข้าดำเนินการสอบสวนผู้บิรหารและฐานะรวมถึงลูกค้าของบริษัทในข้อหามีพฤติกรรม "ปั่นหุ้น" เมื่อวันที่ 10 มกราคมที่เพิ่งพ้นมานี้

บริษัทหลักทรัพย์ชาวไทย ผู้ถือหุ้นใหญ่โดยกลุ่มพี่น้อง "บูลกุล" ซึ่งมาชานลี น้องชายต่างมารดาของศิริชัย บูลกุล ถือหุ้นอยู่ 20% ในนามบริษัท เอ็ม.ซี.แอล และศุภชัย, ร.ท.วันชัยฯ บุญครอง โชคชัย, ศิริชัย แห่งสกุล "บลูกุล" ถือรวมกันประมาณ 32%

บริษัทแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาพร้อมกับการเฟื้องฟูของกลุ่มธุรกิจ "มาบุญครอง" ของตระกูล "บูลกุล" ที่มีศิริชัย เป็นหัวหอก เมื่อสมัยก่อนตลาดหุ้นไทยจะ CRASH ในกรณีราชาเงินทุนเมื่อปี 2522 เล็กน้อย เมื่อเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่สั่งซื้อขายหุ้นมาบุญครองฯ ในตลาด จนราคาพุ่งสูงระดับ 400 บาทในวันแรกที่เข้าตลาด จนถึง 1,648 บาท ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น

ยังไม่มีใครสามารถบอกตัวเลขหนี้สินที่เกิดจากการถูกสั่งห้ามการซื้อขายหุ้นของบริษัทชาวไทยในขณะนี้ ได้ถูกต้องมีเท่าไรกันแน่เพียงแต่คาดหมายเชิงประมาณการว่าน่าจะอยู่ในราว ๆ 800-1,000 ล้านบาท

วิโรจน์ นวลแข นายกสมาคมผู้ค้าหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า บริษัทชาวไทยมีเจ้าหน้าที่เป็นโบรกเกอร์อยู่ 8 ราย และซับโบรกเกอร์อยู่ 2 ราย ในจำนวนเจ้าหน้าเหล่านี้ประกอบด้วย บงล.ภัทรธนกิจ นวธนกิจ จีเอฟ นครหลวง นครหลวงเครดิต สหธนกิจไทย มิตรไทยยูโรพาร์ทเนอร์ และไทยฟูจิ

"การเคลียร์หนี้สิน คงเป็นเรื่องที่เจ้าหนี้แต่ละรายกับทางบริษัทชาวไทยคงต้องจัดการกันเอง เนื่องจากเงื่อนไขของแต่ละรายแตกต่างกัน" วิโรจน์กล่าว อย่างไรก็ตามคงไม่ยืดเยื้อในปัญหานี้เนื่องจากเจ้าหนี้ทุกรายมีใบหุ้นของบริษัทหุ้นต่าง ๆ ที่บริษัทชาวไทยสั่งซื้อและขายถือเป็นหลักประกันอยู่

ยังไม่มีผู้ใดสามารถกล่าวออกมาในเชิงมั่นใจต่ออนาคตราคาหุ้นในตลาด ว่าจะทะยานถีบตัวสูงขึ้นไปอีกหรือไม่ในอนาคตอันใกล้นี้

"ช่วงนี้สถานการณ์ราคาในตลาดหุ้น เป็นระยะการปรับตัวทางเทคนิค (TECHNICAL CORRECTION) ยังบอกไม่ได้ว่าราคาจะลงลึกหรือตื้นแค่ไหน ถ้าดัชนีขึ้นไปถึง 905 จุด น่าจะเป็นระยะทดสอบ ถ้าผ่านไปได้ก็คงจะไปได้ดี แต่ถ้าไม่ผ่าน ก็น่าจะลงลึก" นักลงทุนรายหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ขณะเขียนต้นฉบับดัชนีราคาหุ้นอยู่ที่ 897 จุด

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จากบริษัท HOAR GOVETTS ได้กล่าวว่า มองในระยะยาวตลาดหุ้นไทยยังคงไปได้ดี ดัชนีราคาตลาดปีนี้น่าจะไปได้ไกลถึง 1,200 จุดแน่นอน

ปัญหาหนี้สินของบริษัทชาวไทยที่มีต่อเจ้าหนี้ก็คงจะไม่ยืดเยื้อถ้าดัชนีราคายังไปได้สวย แต่ถ้าผลเป็นตรงข้าม บรรดาเจ้าหน้าที่ยึดไปหุ้นที่บริษัทชาวไทยสั่งซื้อขายผ่านก็คงต้องตัดบัญชีหนี้สูญในส่วนขาดทุนแน่นอน



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.