เพียงช่วงระยะเวลาจากต้นปี 2532 เมื่อโครงการสร้างถนนพระราม 9 ตัดผ่านถนนที่จัดได้ว่าเป็นเส้นเลือดสำคัญของการจราจรในกรุงเทพฯอย่างถนนรัชดาภิเษก
และเป็นเส้นทางลัดตัดสู่ย่านสำคัญระหว่างถนนราคำแหงและอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
ประกอบกับพื้นที่ที่เคยเป็นที่ยอดนิยมอย่างถนนสีลมและราชประสงค์ได้กลายเป็นบริเวณที่จวนเจียนจะกลายเป็นอัมพาตทางการจราจรไปเสียแล้ว
เงื่อนไขทั้งสองนี้ได้ทำให้พื้นที่บริเวณในซอยศูนย์วิจัยเป็นพื้นที่แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ
ที่นักลงทุนต่างให้ความสนใจเป็นพิเศษลงทุนสร้างโครงการเรียลเอสเตทกันหลายโครงการโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านโครงการสำนักงาน
ที่นับวันจะมีการแข่งขันกันสูงขึ้นทุกที
หนึ่งในโครงการทั้งหลายนั้นมีโครงการสำนักงาน RAINTREE OFFICE GARDEN ของบริษัท
เซ็นเตอร์ 9 ที่มีสำคัญ ศังขวณิช เป็นกรรมการผู้จัดการรวมอยู่ด้วย
ชื่อ "สำคัญ ศังขวณิช" อาจจะไม่คุ้นหูนักสำหรับวงการเรียลเอสเตท
แต่ในวงการการตลาดในอุตสาหกรรมน้ำมันในช่วง 10 ปีที่ผ่านมารู้จักเขาดีในฐานะลูกหม้อคนหนึ่งของเชลล์ซึ่งทำงานที่เชลล์ตั้งแต่งานด้านการเงิน
, การตรวจสอบภายในและตำแหน่งสุดท้ายคือผู้จัดการฝ่ายโฆษณา ก่อนที่จะลาออกมาดำเนินธุรกิจอย่างจริงจังที่เซ็นเตอร์
9
ความจริงในช่วงที่เขาทำงานให้กับเชลล์ โดยส่วนตัวเขาเองก็มีหุ้นส่วนอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆในบริษัท
OCTA ESTATE ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดการโครงการบ้านจัดสรร และมีกิจกรรมทางวิชาการการตลาด
โดยการเป็นอาจารย์พิเศษในโครงการ MBA และ MIS ทางด้าน ADVANCE MARKETING
ของธรรมศาสตร์นอกจากนี้ยังเป็นที่ปรึกษาทางการตลาดให้กับบริษัท JSL และ STUDIO
ACTIVE อีกด้วย
"การเปลี่ยนแปลงโยกย้ายแหล่งสำคัญทางด้านธุรกิจที่เรียกว่าเป็น PRIME
AREA ในกรุงเทพฯนั้น จาการศึกษาของเราจะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปประมาณทุกๆ
10-15 ปี จากเดิมเมื่อ 20-25 ปีที่แล้วเราจะนึกถึงที่วังบูรพา และก็มาถึงที่สีลมและราชประสงค์เมื่อ
10 ปีที่แล้ว ช่วงทศวรรษหน้านี้มีแนวโน้มของ PRIME AREA คือบริเวณรัชดาภิเษกและพระราม
9" สำคัญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็นเตอร์ 9 กล่าวแสดงความคิดเห็นต่อทิศทางการเปลี่ยนแปลงไปของบริเวณ
PRIME ที่เขได้สังเกตมาในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่เลือกลงทุนในพื้นที่แห่งนี้
การที่ BUSINESS AREA มีแนวโน้มมาสู่ถนนพระราม 9 นี้เป็นส่วนหนึ่งของการประจวบเหมาะกับที่กลุ่มเพื่อนๆ
ของสำคัญได้รู้จักและขอเช่าที่ดินระยะเวลา 17 ปี กับเจ้าของที่ดิน
ตรงกันข้ามกับโรงเรียนญี่ปุ่นอยู่ห่างจากถนนพระราม 9 800 เมตร พร้อมกับที่มีความคิดในการที่จะตั้งบริษัททางด้านคอนซัลแตนส์อยู่เดิม
โอกาสนี้จึงผนวกรวมมาเป็นการตั้งบริษัทเซ็นเตอร์ 9 เพื่อจัดการพัฒนาโครงการปฐมฤกษ์บนที่ดิน
18 ไร่แห่งนี้
ถึงแม้ว่า สำคัญจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านตลาดเรียลเอสเตท แต่ MARKETING
CONCEPT คือ CONSUMER IS A KING ซึ่งสำคัญนั้นเข้าใจและคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เขาเริ่มศึกษาถึงความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อเรียลเอสเตทใกล้กับ PRIME
AREA คำตอบชัดเจนก็คือ
โครงการสำนักงาน หลังจากนั้นการศึกษาจึงลงลึกถึงปัญหาที่ผู้บริโภคต้องประสบจากการมีสำนักงานใน
OFFICE BUILDING และ HOME OFFICE หรือ MINI OFFICE
"จุดอ่อนและปัญหาที่ลูกค้าได้รับจากอาคารสำนักประเภทที่เป็นตึกสูงๆ
คือความขาดแคลนที่จอดรถ ในขณะที่สำนักงานประเภท HOME OFFICE มีจุดอ่อนทางด้านบรรยากาศการทำงานที่ไม่ได้เป็นสำนักงานรองรับการทำงานเหมือนกับสำนักงานอื่นๆ
และยูนิตรอบข้างบางครั้งก็ประกอบธุรกิจการค้าของชำต่างๆ ทำให้ความเหมาะสมบางอย่างต้องเสียไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดที่โครงการสำนักงานไม่มีให้กับลูกค้าก็คือความร่มรื่นของสถานที่รอบข้างในดครงการ"
สำคัญ กล่าวถึงการวิเคราะห์ปัญหาของลูกค้าที่ไปใช้ที่ในโครงการประสบมาให้
"ผู้จัดการ" ฟัง
ด้วยจุดด้อย 2 ประการสำคัญของทั้ง 2 โครงการสำนักงาน จึงนำมาสู่การสรุปเป็นความคิดในการพัฒนาสินค้าและบริการแก่ลูกค้า
ในลักษณะของการเป็น OFFICE GARDEN ที่จะมีที่จอดรถอย่างเพียงพอ, มีบรรยากาศของการเป็นสำนักงาน,
มีความร่มรื่น รวมทั้งมีบริการทางด้านอื่นๆ เพื่อความสมบูรณ์ของโครงการ
"เราพยายามที่หาช่องว่างทางการตลาด เอาแนวคิดของโครงการสำนักงานที่ยังขาดอยู่ในตลาดมาใช้เพื่อที่เราจะได้ไม่มีคู่แข่งโดยตรง"
สำคัญกล่าวเพิ่มเติมของความคิดทางด้านการสร้าง PRODUCT DIFFERENTIATION ให้กับโครงการแรกของบริษัท
โดยอาศัยข้อได้เปรียบของการมีเนื้อที่มากถึง 18 ไร่ การจัดสรรที่ดินเพื่อคอนเซ็ปท์ของการเป็น
OFFICE GARDEN จึงเป็นไปได้ไม่ยาก พื้นที่ประมาณ 9 ไร่จะถูกนำมาจัดสรรเพื่อสร้างความร่มรื่นให้เกิดขึ้นในโครงการที่ดินเกือบ
1 ไร่คือบริเวณที่เป็นสวนพักผ่อนกลางโครงการ อีก 8 ไร่ที่เหลือ คือพื้นที่ที่จะนำมาสร้างสถานบริการต่างๆ
ทั้งร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต โรงยิมเนเซียม รวมทั้งที่จอดรถ ที่พร้อมจะทำเป็นอาคารที่จอดรถโดยเฉพาะสำหรับลูกค้าเมื่อปริมาณความต้องการที่จอดรถสูงขึ้น
ในขณะที่อาคารสำนักงานต่างๆ จะถูกจัดสรรบริเวณและออกแบบ เพื่อความเหมาะสมทางการประกอบกิจการของลูกค้าโดยไม่ทำให้บรรยากาศของสำนักงานต้องเสียไปบนเนื้อที่อีก
9 ไร่ทีเหลือ
"ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเราคือกลุ่มลูกค้าที่ดำเนินกิจการที่เรียกว่ามืออาชีพมีธุรกิจประเภทที่ต้องการบรรยากาศการทำงานที่ดี
เพื่อการสร้างสรรค์งานอย่างบริษัทโฆษณาต่างๆ, สำนักงานทนายความ, คลินิก,หรือบริษัทที่ทำการค้าระหว่างประเทศ
เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องการหน้าร้านติดถนนใหญ่" สำคัญแจกแจงกลุ่มเป้าหมายของโครงการแก่
"ผู้จัดการ" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการนำความรู้และประสบการณ์ทางการตลาดของสำคัญมาผสมผสานได้อย่างมีขั้นตอนต่อเนื่อง
ชัดเจน
บทสรุปของธุรกิจโครงการสำนักงานนั้นอยู่บนพื้นฐานของการเติบโตของเศรษฐกิจของบ้านเราที่บริษัทธุรกิจต่างพอใจกับความเติบโตนี้
สำนักงานจึงเป็นสิ่งที่ต้องการควบคู่กันขึ้นมา และโยกย้ายไปตามพื้นที่สำคัญของย่านธุรกิจ
ดังจะเห็นได้จากการย้ายที่ทำงานสำนักงานใหญ่หลายๆ แห่งเช่นของบริษัทประกันภัยใหญ่ๆ
ที่มีแนวโน้มมาสู่บริเวณถนนรัชดาภิเษก กันมากขึ้น หรือแม้กระทั่งบริษัทยักษ์ใหญ่ของวงการคอนซูเมอร์โพรดักส์อย่างลีเวอร์
บราเธอร์ ก็เลือกลงหลักปักฐานที่มั่นในบริเวณถนนศรีนครินทร์ ห่างจากถนนรามคำแหงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
บนถนนรัชดาภิเษก เมื่อ 2 ปีก่อน วงการเรียลเอสเตทได้เคยฮือฮากับโครงการ
"มินิออฟฟิศ รัชดาภิเษก"ของพงศกร ญาณเบญจวงศ์มาแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นการบัญญัติศัพท์
"มินิคอมเพล็กซ์" ขึ้นเป็นครั้งแรก มาคราวนี้ในปีแรกแห่งทศวรรษ1990
สำคัญ ศังขวณิช ได้นำโครงการ "OFFICE GARDEN" เข้าสู่วงการเรียลเอสเตทเมืองไทยด้วยการเลือกเข้าสู่ตลาดที่ว่างท่ามกลางแนวโน้มของการพัฒนาทัศนคติของผู้บริโภคทางด้าน
HEALTH CARE ที่เริ่มเห็นความสำคัญของสุขภาพร่างกายและสภาพแวดล้อมกันมากขึ้น
ถึงแม้ว่า "RAINTREE OFFICE GARDEN"จะเป็นโครงการแรกของบริษัทคอนซัลแตนซ์หน้าใหม่อย่างเซ็นเตอร์
9 แต่น่าจะเป็นโครงการที่จะทำให้ชื่อ "สำคัญ ศังขวณิช" คนนี้ไม่ใช่ชื่อใหม่ที่ไม่คุ้นหูในวงการเรียลเอสเตทอีกต่อไป
เมื่อเขาได้บุกเบิกธุรกิจอาคารสำนักงานแบบฉีกแนวจากความซ้ำซากจำเจ เหมือนกับที่
พงศกร ญาณเบญจวงศ์ ได้เคยทำมาแล้ว