ประมวล สภาวสุ ได้ชื่อว่าเป็นรมต.คลังที่มีภูมความรู้ต่ำสุดในบรรดารมต.คลังที่มีมา
เขาจึงต้องมีกลุ่มมันสมองที่ 2 ไว้เป็นที่ปรึกษา ซึ่งมีทั้งข้าราชการประจำและคนภายนอกที่เขาไว้ใจ
ผลงาน 10 เดือนของเขา ดูจากจุดยืนของประชาชนได้รับความนิยมไม่น้อย แต่ในคณะรัฐมนตรีแล้ว
เขาดูเหมือนเป็นคนที่พูดน้อยที่สุด และมีบางสิ่งบางอย่างบอกเหตุผลว่า เขาอาจต้องลุกจากที่นั่งตำแหน่งนี้หลังจากการประชุมสภาสมัยสามัญนี้ได้ปิดฉากลง…
สิงหาคมปีที่แล้ว อุณหภูมิในกรุงเทพมหานครยังร้อนอบอ้าว ทั้งๆที่เป็นช่วงย่างเข้าฤดูฝนแล้ว
ความร้อนรุ่มของอากาศดูจะไม่เป็นใจนักต่ออุณหภูมิภายในร่างกายของชายวัย 60
ปีคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเกรียมเข้มบ่งบอกถึงความกร้านของชีวิติที่ผ่านความล้มเหลว
และสำเร็จหลายอย่างมาแล้วอย่างทรหดทันทีที่รู้ว่าเขาต้องเข้าแบกรับภารกิจอันหนักหน่วงในฐานะรัฐมนตรี-คลัง
ตำแหน่งงานที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนตามสามัญสำนึกที่รู้ตัวเองดีว่า ไม่มีคุณสมบัติข้อใดเลยที่เหมาะสมกับงานในตำแหน่งหน้าที่นี้
จากความรู้แค่เตรียมธรรมศาสตร์ไปเป็นเสมียนธนาคารตันเปงชุน (ธนาคารมหานคร-ปัจจุบัน)
อยู่ไม่กี่เดือน แล้วผันชีวิตตัวเอง เข้าสู่ธุรกิจก่อสร้างด้วยการเป็นลูกจ้างบริษัทรัชตะก่อ-สร้าง
ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก่อนที่จะโผผินออกมาสู่รังของตัวเองในนามบริษัทประมวลก่อสร้าง
หลังจากได้ประสบการณ์และช่องทางทำมาหากินในธุรกิจก่อสร้าง จวบจนกระทั่งโดดเข้าสู่วิถีการเมืองด้วยการเสนอแก่ประชาชนจังหวัดอยุธยา
บ้านเกิดเลือกให้เป็นผู้แทน
นับว่าเป็นภูมิหลังของชีวิตที่เข้ากันไม่ไได้เลยซักนิดเดียวกับภารกิจที่ใช้เกียรติยศทางการเมืองของตนเองเข้าแลก
ซึ่งรออยู่เบื้องหน้า ในถานะรัฐมนตรีคลัง
ใช่…"ผู้จัดการ" กำลังพูดถึงประมวลสภาสุ นักการเมืองจากอยุธยา
ผู้ประสบความสำเร็จในการไต่เต้าตำแหน่งทางการเมืองในพรรคชาติไทยมาแล้วก่อนหน้าที่นี้ในตำแหน่งรมต.อุตสาหกรรม
สมัยรัฐบาลเปรม 5!
ก่อนหน้าที่ประมวลจะเข้ามารับตำแหน่งรมต.คลัง ดูเหมือนว่าเขาจะโชคดีกว่าคนอื่น
ตรงที่ภาวการณ์เงินการคลังของรัฐบาลกำลังอยู่ในขั้นสดสวยเอาการ
เดือนมิถุนายนปีกลาย ก่อนหน้าที่เขาจะเข้ารับตำแหน่ง 2 เดือน เงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในจำนวน
6,113.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และฐานะเงินคงคลังอยู่ในระดับ 8,180 ล้านบาท ชึ่งเป็นดัชนีที่บ่งบอกถึงความมั่งคั่งในฐานะการเงินการคลังของรัฐที่ย่อมเข้าใจกันได้
เขาไม่จำเป็นต้องมานั่งปวดหัวเป็นตาบอดคลำช้างเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้เหมือนรัฐมนตรีคลังคนก่อนๆ
เศรษฐกิจภายใต้นโยบายรัฐบาลชาติชายที่รับผลพวงมาจากนโยบายรัฐบาลเปรม ยังคงรุดหน้าต่อไปในอัตราเร่งการเติบโตที่สูงลิ่วถึง
9.5% /ปี ทำให้มีความต้องการใช้ทุน (CAPITAL) เพื่อสนับสนุนและรองรับการเจริญเติบโตทางเศรฐกิจนั้นอย่างมหาศาล
โครงการลงทุนสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานของรัฐวิสาหกิจ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิต
(EGAT) ที่ต้องการลงทุนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าป้อนโรงงานอุตสาหกรรมในอนาคตอีกนับ
100,000 ล้านบาท การบินไทยต้องลงทุนอีกหลายหมื่นล้าน เพื่อซื้อเครื่องบินขยายกองบินให้เพียงพอกับตลาดที่เพิ่มขึ้น
องค์การโทรศัพท์ต้องลงทุนอีก 6 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายคู่สายเลขหมายอีกไม่น้อยกว่า
1.2 ล้านเลขหมายให้เพียงพอกับความต้องการของผู้ใช้และธุรกิจต่างๆ ในอีก 5
ปีข้างหน้า เป็นต้น
ทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลังไดดด้คำนวณความต้องการใช้เงินทุนเพื่อการลงทุนใน
5 ปีข้างหน้า ว่าจะอยู่สูงถึง 3.3 แสนล้านบาท ขณะที่ความสามารถในการออมภายในประเทศมีเพียง
2.5 แสนล้านบาท มันขาดอยู่ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท
แต่ช่างเถอะ! มันเป็นเรื่องอนาคต ที่เขาไม่จำเป็นต้องคิดไกลมากขนาดนั้น
เพราะตำแหน่ง รมต.คลังที่มาจากการเมือง มันอาจไม่ยืนยาวไปถึงจุดนั้นก็เป็นได้
ตอนแรกๆ ที่ประมวลเข้ารับตำแหน่ง รมต.คลังใหม่ๆ เขาถูกมองจากคนภายนอกในเชิงตั้งข้อสังเกตว่า
การที่เขาเป็นนักการเมืองสังกัดพรรคชาติไทย และไม่มีความรู้ทางการเงินการคลังมาก่อน
อาจเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับพรรคพวกและตนเอง แต่เขาก็ตอบโต้ข้อสังเกตนี้ว่า
เป็นความคิดแบบเด็กๆ นักการเมืองอย่างเขาก็มีอุดมการณ์เหมือนกัน และทุกวันนี้เขามีเงินทองมากมายเพียงพอแล้ว
มันเป็นคำตอบที่พยายามสร้างภาพพจน์ให้สถานภาพดูสะอาด อย่างน้อยที่สุดก็อาจช่วยทดแทนภาพพจน์ในส่วนที่ขาดหายไป
จากคุณสมบัติที่เป็นคนรู้เรื่องการบริหารการเงินการคลังของประเทศอย่างจำกัดจำเขี่ยที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐมนตรีคลังของสยามประเทศนี้
(ดูตาราง รมต.คลังฯ) จนหลายครั้งที่เขาต้องตอบคำถามการเงินการคลังแก่ผู้สื่อข่าว
เขาต้องระมัดระวังคำพูดของตัวเองเสมอด้วยเกรงว่าความไม่รู้จะทำให้เขาเสียหน้า
แน่นอนภายใต้ภาวะแบบนี้ทำให้ดูอึดอัดจนมีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาระแวงคำถามของผู้สื่อข่าวอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อถูกถามถึงว่าเขาจะเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทและอัตราดอกเบี้ยบ้างไหม? ซึ่งเขาก็ตอบอย่างระแวงออกไปว่า
"พวกคุณกำลังลองภูมิความรู้ผม แต่ผมไม่จนงายๆ หรอก"
โธ่! นักการเมืองอย่างประมวลไม่เคยจนใครง่ายๆหรอก ตำแหน่งรัฐมนตรีเขาเคยเป็นมาแล้วที่กระทรวงอุตสาหกรรม
สมัยรัฐบาลเปรม 5 โดยมี กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ลูกชายคนโตเป็นเลขาฯอยู่หน้าห้อง
เมื่อเขามาอยู่ที่กระทรวงคลัง กอร์ปศักดิ์ก็มานั่งเป็นเลขานุการรัฐมนตรี
และเป็นคนสำคัญในการให้คำปรึกษาและประสานงานสร้างทีมงานที่ปรึกษาแก่พ่อของเขา
มันจึงเป็นประสบการณ์ที่ไม่แปลกอะไรนัก
กอร์ปศักดิ์เคยบอกกับ ผู้จัดการ" ว่า รมต.ประมวลจะใช้ข้าราชการประจำในกระทรวงคลังเป็นที่ปรึกษามากกว่าคนภายนอก
มันเป็นเหตุผลที่ง่ายมาก จากประสบการณ์การเป็นนักการเมือง เป้าหมายในนโบายจะบรรลุได้แค่ไหน
มันอยู่ที่กลไกการทำงานของข้าราชการประจำในกระทรวงจะให้ความร่วมมือกับรัฐมนตรีมากแค่ไหน
ยิ่งในเงื่อนไขที่ รมต.มีความรู้ในกระบวนการตัดสินใจทางนโยบายการเงินการคลังอย่างจำกัดมากๆ
เช่นนี้ ความจำเป็นในการใช้บทบาทของข้าราชการในกระทรวงให้มากที่สุด ย่อมเป็นทางออกที่ดีกว่าอย่างอื่น
กอร์ปศักดิ์เป็นลูกชายคนโตของประมวลในพี่น้องทั้งหมด 5 คน เขาจบวิศวเครื่องกลจาก
UCLA ผ่านงานเป็นวิศวกรที่ปรึกษาที่บริษัทแอมแพ็คก่อนหน้าที่จะหันออกมาทำธุระกิจวิศวกรที่ปรึกษาดังในบริษัทส่วนตัวของครอบครัว
บริษัทสแปน จำกัด ในปี 2518 โดยมี ประมวล ผู้พ่อเป็นประธานบริษัท
เขามีวิญญาณการเป็นนักการเมืองเหมือนพ่อไม่มีผิดเพี้ยน การเลือกตั้งสมัยรัฐบาลเปรม
5 เขาได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนจังหวัดนครราชสีมา พร้อมพ่อที่ได้รับเลือกเป็นผู้แทนจังหวัดอยุธยา
ในนามพรรคชาติไทย
แต่ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว เขาต้องผิดหวังเมื่อเป็นผู้สอบตก!
12 ธันวาคม ปีที่แล้ว เป็นครั้งแรกของประมวลที่แถลงนโยบายการเงินการคลังต่อประชาชน
หลังจากศึกษางานที่กระทรวงร่วมกับอธิบดีทุกกรมในกระทรวงอย่างหนักตลอด 3 เดือน
นโยบายของประมวลมีจุดเด่น 2 ประการคือ หนึ่ง-เขาเน้นการระดมเงินออมในระบบมาก
และ สอง-เข้าเน้นการรักษาความมีวินัยทางการเงิน-การคลังอย่างเข้มงวด
รูปธรรมของนโยบายเงินออมก็คือเป้าหมายเพื่อลดช่องว่าง SAVING/INVESTMENT
GAP โดยไม่มีผลต่อการดึงอัตราเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ลดน้อยถอยลง "การระดมเงินออมจากกลไกสถาบันการเงินจะใช้วิธีหนุนให้สถาบันการเงินกระจายตัวออกไปสู่ชนบทให้มากขึ้น
เพื่อลดบทบาทการพึ่งพาของประชาชนต่อเงินนอกระบบ รวมทั้งจะหนุนให้มีการพัฒนาตราสารการเงินเพื่อการระดมเงินออมระยะยาวมากขึ้น
นอกจากนี้จะหนุนให้มีการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาวจากต่างประเทศเพื่อจูงใจให้ธุรกิจเอกชนนำเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามา
ขณะเดียวกัน ก็จะเปิดโอกาศให้สถาบันการเงินต่างประเทศเข้ามาพัฒนาตลาดทุนในประเทศ
เพื่อนำเงินมาลงทุนในประเทศมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังจะหนุนให้รัฐวิสาหกิจที่มีผลการดำเนินงานดี
นำหุ้นเข้ามาจำหน่ายในตลาดหุ้นเพื่อเป็นการขยายตลาดทุนให้เติบใหญ่และส่งเสริมการออมของประชาชนโดยผ่านกลไกตลาดหลักทรัพย์ฯ
สำหรับการระดมเงินออมจากกลไกภาครัฐนั้น จะใช้วิธีหนุนด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
และทรัพย์สินต่างๆ ของรัฐที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จะนำมาปรับปรุงให้มีรายได้และผลต่อการนำมาใช้ประโยชน์ต่อการลงทุนของรัฐ"
ประมวลกล่าวนโยบายรูปธรรมการระดมเงินออมแก่ผู้สื่อข่าว
ส่วนรูปธรรมของนโยบายการรักษาความมีวินัยทางการเงิน การคลัง นั้นประมวลกล่าวว่า
"จะเข้มงวดเรื่องงบประมาณรายจ่ายโดยเฉพาะการก่อหนี้ การใช้กลไกทางการเงินไปยังสาขาที่ไม่ก่อประโยชน์ต่อการเพิ่มผลผลิต
และการบริโดภคที่ฟุ่มเฟือย เช่น รถยนต์ ที่มีราคานำเข้าชิ้นส่วนอุปกรณ์ถึงปีละ
12,000 ล้านบาท จนเป็นรายการนำเข้าใหญ่ที่มีผลยอดการขาดดุลการค้า ที่ในระยะยาวแล้วมีผลกระทบต่อยอดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
เงินสำรองระหว่างประเทศและเสถียรภาพค่าเงินบาท…"
นโยบายของประมวลที่แถลงออกมารนี้สวยหรูมาก ไม่มีตรงไหนเลยที่ส่งผลร้ายต่อผลประโยชน์ของประชาชน
และธุระกิจเอกชน ที่น่าสังเกตคือ เป็นนโยบายที่ออกมาจากรัฐมนตรีที่หลายคนปรามาสไว้อย่างน่าชิงชัง
ตอนที่เขาขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆ ว่า "ไม่มีน้ำยา" แต่นโยบายของประมวลนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายต่อตัวเขาเป็นอย่างมาก
ที่จะต้องกระทำให้บรรลุเป้าหมายโดยรีบด่วนเพราะฐานะการเป็นรัฐมนตรีในระบบรัฐบาลผสมไม่มีอะไรยืดยาว
แหล่งข่าวระดับสูงในธนาคารแห่งประเทศไทยท่านหนึ่งได้วิเคราะห์ให้ "ผู้จัดการ"
ฟังว่า สิ่งจูงใจในการดำเนินนโยบายของ รมต.ประมวล อยู่ที่การมองผลระยะสั้น
เพื่อความนิยมของประชาชนในทางการเมือง โดยที่มาตรการทางนโยบายหลายสิ่งหลายอย่างทีทำลงไปอาจส่งผลเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศในระยะยาวได้
ที่เห็นได้ชัดคือ เมื่อกลางเดือนมิถุนายน ประมวลได้สั่งให้แบงก์พาณิชย์ทุกแห่งรับตั๋วสัญญาใช้เงินของการบินไทยจำนวณ
1,700 ล้านบาท ซึ่งถือว่าใช้ทดแทนพันธบัตรของรัฐบาลได้ โดยมีอายุของตั๋วยาว
20 ปี อัตราดอกเบี้ย 9%/ปี ทุกปีจะมีการจ่ายดอกเบี้ยให้
ความจริงเพียงแค่นี้ไม่เสียหายอะไรแก่ฐานะของแบงก์ แต่มีผลเสียหายต่อตลาดการเงินอย่างมาก
ด้วย เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ตลาดการเงินเริ่มเงินตึงตัว อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เริ่มสูงขึ้น
การที่แบงก์พาณิชย์ต้องกันเงินไว้ 1,700 ล้านบาท เพื่อชื้อพันธบัตรการบินไทยทำให้สภาพคล่องยิ่งเข้าสู่วงการตึงตัวขึ้น
"ที่น่าเป็นกังวลคือ รมต.ประมวล สั่งให้แบงก์ชาติทำเรื่องนี้โดยที่แบงเกอร์ไม่มีใครรู้มาก่อนเลยสักคน"
มีผู้ให้ข้อสังเกตว่า แนวความคิดนโยบายการเงินการคลังของประมวลได้รับอิทธิพลมาจากบุญชู
โรจนเสถียร อดีตรัฐมนตรีคลังคนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง เมื่อ 14 ปีก่อนและเป็นเพื่อนร่วมพรรคการเมืองกิจสังคมด้วยกันในสมัยแรกเริ่ม
ตรงนี้สอดคล้องกับคำพูดของบุญชูที่กล่าวกับ"ผู้จัดการ" ว่า "เป็นความจริง
รมต.ประมวลเป็นผู้บอกเขาเองว่าได้ศึกษาความคิดของตนอย่างละเอียด" รนมาตรการบางอย่างของประมวลที่ทำไปก็ได้ปรึกษาหารือกับบุญชูอย่างไม่เป็นทางการ
เช่น การนำเงินคงคลังมาตั้งเป็นงบประมาณรายจ่ายเพื่อเพิ่มเงินเดือนและค่าครองชีพให้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจทั่วประเทศ
เมื่อเดือนกันยายนปี'31 เพียง 1 เดือนให้หลังจากขึ้นดำรงตำแหน่ง โดยมาตรการนี้มีผลบังคับตั้งแต่
1 มกราคม ปี'32 เป็นต้นไป
บุญชูเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า มาตรการนี้ก็คือนโยบายการบริหารการคลังเพื่อกระจายความมั่งคั่งสู่ประชาชน
เพราะเงินคงคลังช่วงขณะนั้นมียอดสูงถึง 10,000 ล้านบาท จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องกักเงินคงคลังก่อนนี้ไว้เฉยๆเหมือน
"ยายแก่เฝ้าทรัพย์"
รัฐมนตรีคลังที่มาจากการเลือกตั้งการดำเนินนโยบายการคลังย่อมไม่เหมือนรัฐมนตรีคลังที่มาจากการแต่งตั้งอย่างสุธี
สิงห์เสน่ห์ หรือสมหมาย ฮุนตระกูล
แบงเกอร์ท่านหนึ่งกล่าวกับ"ผู้จัดการ"ว่า รัฐมนตรีคลังคนก่อน
(สุธีและสมหมาย) เป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง การตัดสินใจใช้มาตรการอะไรลงไปจะมองผลระยะยาวมากกว่าระยะสั้น
ซึ่งประมวลไม่เป็นเช่นนั้น ฐานะเงินคงคลังที่มั่งคั่งทุกวันนี้มันมาจากการเป็น
'ยายแก่เฝ้าทรัพย์' ของอดีตรัฐมนตรีสุธี ซึ่งแน่นอนว่าในสายตาประชาชนย่อมสู้ประมวลไม่ได้
ข้อสังเกตตรงนี้ตัวอย่างหนึ่งที่นำมาเปรียบเทียบพิจารณากันได้ คือ การก่อหนี้ต่างประเทศ
ในสมัยรัฐมนตรีสุธี นโยบายก่อหนี้ต่างประเทศถูกรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัดที่เพดาน
1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในงบประมาณรายจ่ายในแต่ละปี ทั้งนี้เนื่องจากความหวั่นเกรงในภาระหนี้ต่อมูลค่าการส่งออก
(DEBT/SERVICE RATIO) จะมีส่วนสูงเกิน 19% จะเป็นอันตรายต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ
นโยบายรัดเข็มขัดก่อหนี้แบบนี้คราวแรกประมวลก็ใช้ แต่พอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายก่อหนี้ต่างประเทศ
นโยบายอันนี้ก็เปลี่ยนเป็นเพดานไม่เกิน 1,200 ล้านเหรียญ เหตุที่เป็นเช่นนี้
แหล่งข่าวในกระทรวงการคลังเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า รมต.ประมวลไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเอาชนะแนวคิดนี้กับคณะรัฐมนตรีท่านอื่นๆในคณะรัฐมนตรีได้
อาจเป็นเพราะท่านมีความรู้จำกัดในเชิงเทคนิคก็เป็นได้ จึงไม่สามารถชี้ผลเสียให้
ครม.เห็น "พอ ครม.ดันมาแรง เพราะมีการปรับแผนพัฒนาฉบับที่ 6 ใหม่ เศรษฐกิจมันโตมากๆ
รัฐวิสาหกิจต่างๆ เพื่อขยายบริการสาธารณูปโภครองรับการลงทุน และเศรษฐกิจที่ขยายตัวรวดเร็วมากๆ
ยกตัวอย่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (EGAT) ของบลงทุน 5 ปีข้างหน้าตั้งแสนร้านบาท
โทรศัพท์ขอมาเกือบ 60,000 ล้านบาท เป็นต้น
ว่ากันว่า ประมวลถึงกับปวดหัวเพราะ เสนาะ อูนากูล เลขาธิการสภาพัฒน์เวลานั้นก็เล่นตามกระแสดันของ
ครม. ด้วย จึงเอาเรื่องนี้ไปถามกรมบัญชีกลาง และสำนักงานเศรษฐกิจการคลังดูเพื่อเช็กว่าฐานะการคลังของประเทศจะรองรับภาระหนี้จากเพดานก่อหนี้
1,200 ล้านเหรียญต่อปีได้หรือไม่? ในที่สุดก็ตกลงตามแรงดันของ ครม.
ตรงนี้มีจุดสังเกตคือ รมต.ประมวลไม่ใช่คนจนตรอกง่ายๆ แม้จะรู้ผลเสียหายจากนโยบายก่อหนี้สูงทางด้านเทคนิคน้อยก็ตาม
แต่เขาเป็นนักการเมือง ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปขัดขวางกระแสการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ที่ประชาชนทั่วไปต่างชื่นชม แม้ผลระยะยาวจะเป็นภาระแก่ฐานะการเงินการคลังของประเทศก็ตาม
คือถ้าหากว่าสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่วัฏจักรการตกต่ำ ขณะที่การสร้างการผลิตใหญ่ของไทยอยู่ที่ภาคเกษตรที่ยังอ่อนแอ
ความสามารถในการชำระหนี้ภายใต้สภาพเศรษฐกิจตกต่ำแบบนั้นจะลดน้อยถอยลงไป เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในประเทศกลุ่มละตินอเมริกาเมื่อต้นทศวรรษที่'80…
ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นไม่ใช่ภาระหน้าที่ของเขาแล้วดังที่ประมวลเคยกล่าวว่า
"เวลานี้ผมคิดอยู่อย่างเดียว จะหาเงินที่ไหนมาให้รัฐวิสาหกิจต่างๆ ที่ขอมาใช้
มันไม่น้อยนะ จำนวนหลายหมื่นล้านบาท ผมปวดหัวที่สุดปัญหานี้"
การสร้างคะแนนนิยมกับประชาชนของ รมต.ประมวลเป็นความชำนาญพิเศษที่ดีอยู่
มีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่แสดงถึงบทบาทอันนี้ ล่าสุดเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม
เขาให้สำภาษณ์หนังสือพิมพ์โจมตีแบงเกอร์อย่างก้าวร้าวว่า พวกนี้ไม่เคยทำประโยชน์อะไรเพื่อเป็นการช่วยเหลือสังคม
คิดแต่จะหากำไรลูกเดียว 1% จากส่วนต่างสุทธิของดอกเบี้ยมันมากพอแล้ว
เหตุที่เขาลุกขึ้นมาโจมตีแบงเกอร์อย่างรุนแรงเช่นนี้ทำให้วงการถึงกับช้อก
เพราะไม่คิดว่าเพียงคำพูดของแบงเกอร์ใหญ่อย่าง ชาตรี โสภณพนิช จากธนาคารกรุงเทพ
ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายเจ้าหนี้หลายรายที่เคยเร่งรัดหนี้สินจากบริษัทประมวลก่อสร้างของเขาเมื่อ
20 ปีก่อน ที่เรียกร้องให้ประมวลควรปรึกษาธนาคารพานิชย์ก่อนหน้าจะขยับยกเลิกเพดานดอกเบี้ยเงินฝากเกิน
1 ปี จะได้รับการตอบโต้จากประมวลอย่างแข็งกร้าว จนนายชาตรี ต้องไปขอโทษขอโพย
รมต.ประมวลถึงที่บ้านที่ซอยนวศรี ถนนรามคำแหง ในวันรุ่งขึ้นทันที
"การโจมตีแบงก์ในจุดที่ว่าไม่รับผิดชอบต่อสังคม เป็นจุดที่รัฐมนตรีการเมืองมักใช้เป็นประจำอยู่แล้ว
เพราะมันสะใจประชาชนดี ผมว่ามันเป็น 'แทกติก' ของท่านที่ต้องการเตือนให้พวกเราร้อนตัวมากกว่าซึ่งก็ได้ผลนะ
เราคงต้องวางท่าทีในลักษณะต้องปรับตัวให้กับแทกติกของท่าน" แบงเกอร์รายหนึ่งวิเคราะห์ประมวลให้ฟัง
ประสบการณ์ในธุรกิจที่ล้มคว่ำล้มหงายมาแล้ว จนถูกแบงก์ไล่จี้เร่งรัดหนี้
เป็นภูมิหลังที่ลืมไม่ได้ของประมวลนำมาต่อภาพในการมองบทบาทของแบงก์พาณิชย์ในยุคสมัยนี้
มีอยู่คราวหนึ่งตอนที่เขาเป็น รมต.คลังใหม่ๆ พวกสมาคมธนาคารพาณิชย์ได้เข้าเยี่ยมคำนับ
เพื่อแสดงความยินดีที่กระทรวง คำพูดประโยคแรกที่เขาพูดออกไป คือ "พวกคุณจะมาขออะไรจากผม"
มันเป็นส่วนที่สะท้อนออกมาจากส่วนลึกอย่างแท้จริงของประมวลมองแบงเกอร์อย่างไม่มีความไว้วางใจ
และยังฝังใจจากเหตุการณ์ในอดีตที่เคยเกิดขึ้นกับเขา
เป็นเวลา 10 เดือน นับตั้งแต่ประมวลเข้ารับผิดชอบงานการเงินการคลังของประเทศ
มันเป็นเวลาไม่ยาวนานนักต่อการแสดงความสามารถในการบริหารในเชิงประจักษ์ให้ประชาชน
คณะรัฐมนตรี และรัฐสภายอมรับในฝีมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอย่างเขาซึ่งมีความรู้เชิงเทคนิคในการเงินการคลังของแผ่นดินอย่างจำก
แต่ก็ออกจะเหลือเชื่อ เมื่อสิ่งที่เขาทำออกมาในระยะ 10 เดือนที่ผ่านมาต่อความรู้สึกของประชาชน
มันมีทางบวกอยู่มาก
มาตรการเพิ่มค่าครองชีพและปรับบัญชีเงินเดือนข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจทั่วประเทศ
เมื่อกันยายนปีที่แล้ว ติดตามด้วยการปรับโครงสร้างหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแก่ผู้มีรายได้น้อยและกลางในเดือนมกราคมปีนี้
และล่าสุดยกเลิกเพดานดอกเบี้ยเงินฝากประจำส่วนที่มีอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป โดยคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ที่
15% / ปี เมื่อกลางเดือนมิถุนายน…ล้วนแต่เป็นมาตรการที่เขาทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสิ้น
(ดูตารางผลงานประมวล)
คำถามคือ มาตรการเหล่านี้ออกมาจากแนวความคิดของเขาเองหรือไม่ ?
คำตอบคือ ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะมาตรการหักลดหย่อนภาษีผู้มีรายได้น้อยและเพิ่มเงินเดือนข้าราชการทั่วไป
มาจากคำแนะนำและรับเอาอิทธิพลทางความคิดมาจากบุญชู โรจนเสถียร รมต.คลังที่มาจากการเลือกตั้งคนแรก
สำหรับมาตรการยกเลิกเพดานดอกเบี้ยเงินฝากประจำเกิน 1 ปีขึ้นไป มาจาก ศ.นงเยาว์
ชัยเสรี ที่ปรึกษา ซึ่งประมวลขอยืมตัวมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2 ปี เป็นคนหนึ่งที่ให้คำปรึกษาเรื่องนี้
เรื่องยกเลิกอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำฯ มาจากรากฐานการศึกษาเดิมของแบงก์ชาติที่เสนอให้ประมวลขยับอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ข้างละ
1% เพื่อลด OVER HEAT ECONOME เนื่องจากอาจมีผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านราคาเกิน
5% ซึ่งเป็นเป้าหมายทางนโยบายที่แบงก์ชาติพยายามดูแลอยู่
เหตุผลของแบงก์ชาติในการเสนอมาตรการทางด้านอัตราดอกเบี้ยเป็นตัวฉุดภาวะเศรษฐกิจไม่ให้โตเร็วเกินไป
จนมีผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อ เป็นสิ่งที่ทางแบงก์ชาติประเมินผลดีผลเสียในทางเทคนิควิชาการแล้วว่า
เห็นควรกระทำโดยรีบด่วน
เรื่องนี้ประมวลเสนอให้แบงก์ชาติตั้งแต่เดือนเมษายน! แต่ประมวลกลับนำเรื่องนี้ไปให้กองงานที่ปรึกษาพิจารณาด้วยกรอบเหตุผลทางการเมือง
เพราะว่านโยบายใหญ่ของคณะรัฐมนตรีที่ประมวลรับทราบมาตลอดทุกระยะนั้น ไม่ต้องการให้มีมาตรการอะไรทั้งสิ้นมาเป็นเครื่องกีดขวางการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ผลจึงออกมาในรูปยกเพดานดอกเบี้ยเงินฝากฯ แต่คงเพดานดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ที่เดิม
ดังที่ทราบกัน
ก็อีกนั่นแหละ กว่าที่มาตรการทางนโยบายเรื่องยกเลิกเพดานดอกเบี้ยเงินฝากนี้จะผ่านวาระเพื่อรับทราบจากคณะรัฐมนตรีได้
ไม่ใช่เพราะประมวลเป็นคนบรรยายเรื่องนี้ให้ครม.ฟังเอง
เขาต้องเรียก ดร.ศิริ การเจริญดี เทคโนแครตมือเยี่ยมของแบงก์ชาติมาบรรยายถึงผลดีให้
ครม.ฟัง ซึ่งว่ากันว่าการบรรยายของดร.ศิริในครั้งนี้สร้างความประทับใจให้ประมวลเป็นอย่างมาก
จนเป็นเหตุที่ทำให้ดร.ศิริ กลายเป็นหนึ่งในสต๊าฟที่ปรึกษาของประมวลไปโดยปริยาย
คณะกลุ่มที่ปรึกษาของประมวล (ดูตารางที่ปรึกษาฯ) ซึ่งเปรียบดุจมันสมองของเขาในการกระบวนตัดสินใจทางงนโยบายมีอยู่
2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในสายงานกระทรวงการคลัง ประกอบด้วยปลัดพนัส
สิมะเสถียร ซึ่งประมวลไว้ใจมากเนื่องจากปลัดพนัสเป็นลูกหม้อเก่าแก่ที่สู้งานกระทรวงดีที่สุดและมีความผูกพันในฐานะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องธรรมศาสตร์ด้วยกัน
บุคคลทั้ง 2 สนิทสนมกันมาก สมัยที่ธรรมศาสตร์ดำเนินโครงการสร้างโรงพยาบาลที่รังสิตซึ่งขณะนั้นปลัดพนัสเป็นคณะกรรมการจัดหาทุนสร้าง
รพ.ให้ธรรมศาสตร์ถึง 2 ครั้ง และหมั่นไปตรวจเยี่ยมงานก่อสร้างโรงพยาบาลอยู่เสมอ
อีกคนหนึ่งคือภุชงค์ เพ่งศรี ซึ่งเพิ่งเกษียณอายุราชการที่กรมบัญชีกลางเมื่อตุลาคมปีนี้เอง
ก็เป็นเพื่อนรักเก่าของประมวล รู้จักสนิทสนมกันมาตั้งแต่ทั้ง 2 คนเรียนอยู่วัดบวรนิเวศ
อีกกลุ่มหนึ่งเป็นคนภายนอกที่ประมวลรู้จักและไว้วางใจคือ กมล พุธนาฎนนท์
เป็นวิศวกรจบจากจุฬาฯเคยอยู่กองโยธา กรุงเทพมหานคร รู้จักประมวลตั้งแต่สมัยประมวลทำธุรกิจก่อสร้างส่วนตัว
ที่บริษัทประมวลก่อสร้าง และถูกประมวลดึงเข้ามาทำงานที่บริษัทด้วย จนปัจจุบัน
เป็นอีกคนหนึ่งที่ประมวลไว้ใจมากที่สุดรองจากกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ลูกชายทุกวันนี้
กมลมีบทบาทอยู่ในกองงานที่ปรึกษาที่ทำหน้าที่รวบรวมและสรุปงานทั้งหมดให้ประมวลรับทราบเสมือนหนึ่งเลขานุการ
กมลเป็นที่ปรึกษาประมวลที่เก็บตัวเงียบที่สุด เขาจะไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆกับสื่อมวลชน
เป็นคนหนึ่งที่รู้จักประมวลดีที่สุดและใกล้ชิดที่สุดทั้งในชีวิตส่วนตัวและการงาน
อีกคนหนึ่งคือ ศ.คุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จบบัญชีจากสหรัฐฯ เข้ามาเป็นที่ปรึกษาประมวล เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้วก่อนหน้านี้
(ปี 2529) รู้จักประมวลเมื่อตอนเป้นกรรมการจัดหาทุนสร้างโรงบาลธรรมศาสตร์ที่รังสิต
"ตอนที่ท่านเป็น รมต.คลัง ดิฉันก็โทรศัพท์ไปแสดงความยินดีกับท่าน
และบอกกับท่านว่า เป็น รมต.คลังแล้วคงช่วยโรงบาลธรรมศาสตร์และคณะแพทย์ของธรรมศาสตร์ได้เยอะทีเดียว
ท่านก็เลยบอกดิฉันว่า เออ งั้นอาจารย์ก็มาเป็นที่ปรึกษาผมก็แล้วกัน มันก็เลยกลับกัน
ตอนท่านเป็น รมต.อุตสาหกรรม ดิฉันกำลังหาทุนสร้าง รพ.ท่านเป็นที่ปรึกษาดิฉัน
ตอนนี้ดิฉันมาเป็นที่ปรึกษาท่าน" ศ.นงเยาว์ เล่าให้ "ผู้จัดการ"
ฟังถึงที่มาของการเป็นที่ปรึกษา
ว่ากันว่า ในตอนแรกๆประมวลวางบทบาทที่ปรึกษาให้ ศ.นงเยาว์ เน้นหนักในงานด้านกิจการสังคม
เช่น กรรมการโครงการหลวงฯ ต่อมาก็ส่งเข้าไปเป็นกรรมการแบงก์ชาติ จนปัจจุบันนโยบายการเงินหลายเรื่อง
เธอเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทให้คำแนะนำแก่ประมวลไม่น้อย
ทุกวันพุธ เธอจะนั่งทำงานอยู่ที่กองงานที่ปรึกษารัฐมนตรีที่กระทรวงการคลัง
มีผู้ใหญ่ในแบงก์ชาติท่านหนึ่งให้ข้อสังเกตกับ "ผู้จัดการ" ถึงบทบาทของเธอว่า
สถานภาพของเธอตอนนี้อยู่ในจุดที่ดีต่ออนาคตงานราชการไม่น้อย อายุราชการที่เหลืออยู่
6 ปีจะเกษียณ ผ่านงานเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยชั้นนำมาแล้ว มีผลงานวิชาการระดับเป็นศาสตราจารย์
มีฐานะทางสังคมระดับคุณหญิง ได้รับความไว้วางใจจากรัฐมนตรี เป็นกรรมการแบงก์ชาติ
ถ้าหากจะเข้ามากินตำแหน่งเป็นรองผู้ว่าแบงก์ชาติในปีหน้าแทนคุณ ชวลิต ธนะชานันท์
ซึ่งจะเกษียณไป ก็มีความเป็นไปได้สูง และโอกาสเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ไทยก็มีไม่น้อย
ความเป็นไปได้ในข้อสังเกตนี้อาจอยู่ที่ตัว ศ.นงเยาว์เองว่าจะยอมรับหรือไม่ถ้ามีข้อเสนอมา
นั่นประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง ขึ้นอยู่กับประมวลเองว่าจะอยู่ในตำแหน่งนี้นานแค่ไหน?
จะสังเกตได้ที่ประมวลเป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรีที่ฉลาด เขาให้ความสำคัญกับข้าราชการประจำ
ขณะเดียวกัน ก็มีที่ปรึกษาจากภายนอกที่เขาไว้ใจ มาครองงานอีกขั้นหนึ่งมันเป็นวิธีบริหารงานนโยบายที่ไม่เหมือนรัฐมนตรีสุธี
และสมหมาย ที่เข้ามาโดยการแต่งตั้ง และมีสไตล์บริหารที่ตรงไปตรงมาวางน้ำหนักอยู่ที่กลไกข้าราชการประจำ
"อย่างรัฐมนตรีสุธี จะใช้แบงก์ชาติมากเพราะท่านเป็นเทคโนแครต เหมือนพวกแบงก์ชาติ"
แหล่งข่าวในระดับสูงในกระทรวงการคลังเล่าให้ฟัง
แต่ประมวลจะใช้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังมาก งานนโยบายหลายอย่างที่ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
คนที่ป้อนข้อมูลให้เขาจะอยู่ที่หน่วยงานแห่งนี้
ดร.เชิดชัย ขัณธ์นะภา เศรษฐศาสตร์ระดับปริญญาเอกจากฮาร์วาร์ด เป็นคนหนึ่งที่มีบทบาทในหน้าที่นี้มากที่สุดคนหนึ่ง
เขามาอยู่ที่กองงานสำนักเลขานุการรัฐมนตรีเพราะถูกภุขชงค์ เพ่งศรี ที่ปรึกษาประมวลดึงตัวมาจากกองนโยบายการเงิน
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โดยคำสั่งของประมวล
บทบาทของเขามีหน้าที่รวบรวมข้อมูล และตรวจเช็กวิเคราะห์ข้อมูลที่หน่วยราชการในกระทรวงทำขึ้นมาให้รัฐมนตรีตามคำสั่ง
เพื่อส่งต่อให้คณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีประมวลวิเคราะห์ทำความเห็นเสนอแนะนำรัฐนมตรี
มองรูปแบบนี้แล้วเป็นการประสานงานกันระหว่าง กองงานที่ปรึกษารัฐมนตรีที่มาจากข้าราชการประจำและข้าราชการการเมืองที่มีใช้กันอยู่ในกลุ่มรัฐมนตรีของคณะรัฐมนตรีญี่ปุน
ที่เรียกว่า "คณะเลขานุการรัฐมนตรี" นั่นเอง
แม้โครงสร้างระบบบริหารนโยบายของประมวล จะดูดี แต่ก็มีหลายเรื่องที่เขาไม่สามารถโน้มน้าวให้คณะรัฐมนตรียอมรับในมาตรการนโยบายที่เขาเสนอได้
เรื่องการบินไทยเข้าตลาดหุ้นเป็นตัวอย่างหนึ่งที่เขาผิดพลาดอย่างมาก ทั้งๆที่เมื่อ
12 ธันวาคม วันที่เขาแถลงนโยบายได้พูดชัดเจนว่า เขาจะนำหุ้นการบินไทยเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯให้ได้
เรื่องนี้เริ่มมาจากกระทรวงคมนาคมคือ มนตรี พงษ์พานิช ต้องการจัดซื้อเครื่องบิน
16 ลำ
ให้การบินไทยจำนวนเงิน 23,000 ล้านบาท และได้นำเสนอโครงการนี้มาให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเป็นไปได้
ประมวลนำเรื่องนี้ให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังพิจารณาศึกษาอย่างละเอียด ซึ่งเห็นชอบในหลักการด้วย
แต่มีเงื่อนไขให้นำหุ้นการบินไทยเข้าจดทะเบียนใจตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อระดมทุนจากตลาดส่วนหนึ่ง
สำนักงานเศรษฐกิจการคลังศึกษาเสร็จก็เสนอให้กองงานที่ปรึกษารัฐมนตรีพิจารณาอย่างรอบคอบ
และส่งต่อให้ประมวล
จนกระทั่งการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 18 เมษายน มนตรีได้เสนอโครงการนี้เข้าที่ประชุม
จนรับในหลักการ แต่ให้ซื้อเพิ่มเพียง 13 ลำ และได้มีการเห็นชอบในหลักการตามข้อเสนอทางการเงินของกระทรวงการคลังด้วย
แต่ประมวลพลาดจนได้ ตรงที่ไม่ได้สั่งการให้บันทึกข้อความมติของครม.ที่เห็นชอบในหลักการข้อเสนอนี้ทั้งหมด
โดยเฉพาะแผนดารระดมทุนเพื่อจัดซื้อเครื่องบินที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้เสนอชัดเจนให้นำหุ้นการบินไทยเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
เรื่องที่บันทึกตามมติครม.กลายเป็นว่าครม.เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงคมนาคมจัดซื้อเครื่องบินให้การบินไทย
13 ลำ และให้คมนาคมคลังและการบินไทยร่วมกันศึกษาแผนการระดมทุน!
ประมวลพยายามจะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมครม.อีกในคราวหน้า แต่ก็สายเสียแล้วเมื่อ
มนตรีไม่ยอมแผนการนี้ เขาคัดค้านในที่ประขุมครม.เมื่อ 18 เมษายน กับประมวลอย่างแข็งกร้าว
ว่ากันว่า งานนี้มนตรีกับประมวลต่างมองหน้ากันไม่ติด ทั้งๆที่เวลาประชุมครม.ทั้ง
2 คนนั่งตรงข้ามกันพอดี
"ถ้าจะกินอย่างมากก็ตามน้ำ แต่บางคนเล่นกินกันแบบขายชาติมันไม่ไหว"
เสียงเปรยขึ้นมาในที่ประชุม ครม.ดังขึ้นจนได้ยินไปถึงหูรัฐมนตรีอีกท่านหนึ่งจนไม่รู้ว่าเสียงพูดนั้นเป็นของท่านใด?
ว่ากันว่า ในหลายครั้งประมวลมักเป็นรถด่วนนำเรื่องเข้าครม.ในวาระจรอยู่บ่อยครั้ง
จนเป็นที่รู้กันทั่วไปในหมู่คณะรัฐมนตรีว่า เป็นคนเดียวที่นำเรื่องวาระจรเข้าสู่ที่ประชุมครม.บ่อยคร้งที่สุด
การนำเรื่องเข้าครม.ในวาระจร เป็นเรื่องที่ไม่บรรจุในระเบียบวาระการประชุมของสำนักเลขาคณะรัฐมนตรี
ที่ อนันต์ อนันตกูล ควบคุมแลอยู่
เมื่อไม่อยู่ในระเบียบวาระ บรรดารัฐมนตรีก็ไม่มีโอกาสได้ศึกษารายละเอียดในเรื่องนั้นก่อนเข้าที่ประชุม
เพราะตัว รมต.เลนนำเรื่องนั้นมาบอกในที่ประชุม ครม.ในวันนั้นเลย!
"เรื่องที่ท่าน รมต.ประมวลนำเข้าวาระบ่อยที่สุด ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการกู้หนี้และขอ
REFINANCE หนี้เก่า เวลาท่านพูดเรื่องนี้ก็หอบเอาเอกสารปึกใหญ่มาให้บรรดารัฐมนตรีได้อ่านดูด้วย"
รัฐมนตรีท่านหนึ่งเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังถึง TACTIC อันแพรวพราวของประมวล
ก็เห็นจะจริง เอกสารปึกใหญ่ใครหรือเทวดาที่ไหนก็ไม่มีปัญญาอ่านและซักถาม
รมต.ประมวลได้!
รมต.ประมวลก็เลยรอดตัวไป ไม่ต้องมานั่งตอบเรื่องราวที่ยากๆ สำหรับตัวเองเพราะโดยปกติเวลาประชุม
ครม.ว่ากันว่า รมต.ประมวลเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว ส่วนใหญ่เวลาจะพูดมากก็ตอนต้องปะทะคารมกับรมต.มนตรีเท่านั้น
รัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง อย่างประมวล เขาฉลาดพอที่จะไม่สร้างปมเงื่อนไขอะไรให้ฝ่ายค้านเล่นงานได้ในรัฐสภา
เขาเคยพูดกับคนใกล้ชิดว่า มีอยู่ 2 เรื่องที่เป็นขยะที่รัฐมนตรีคนก่อนๆทิ้งไว้ให้เขาแก้
มีเรื่องทรัสต์ 4 เมษาและบริษัทเงินทุนฯ (IFCT)
เรื่อง 2 เรื่องนี้ มีปมของปัญหาที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้าที่เขาจะเป็น รมต.คลังทั้งสิ้น
ถ้าเขาไปแตะโอกาสพลาดจะมีสูง หรือถ้าไม่พลาด ผลดีอย่างมากก็แค่เสมอตัว
ยกตัวอย่าง กรณี IFCT เขาฉลาดพอที่จะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องนี้เอง โดยวิธีโยนไปให้คณะกรรมาธิการงบประมาณ
รัฐสภา เป็นผู้ตัดสินทางออกให้ ทั้งๆที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตีความและชี้ขาดในแง่ข้อกฎหมายแล้วว่า
ค่าเสมอภาคของเงินบาทกับค่าเงินบาทที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นที่กระทรวงการคลังต้องเข้าไปแบกรับภาระผลการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนของบรรษัทดังที่เคยกระทำมา
"ผู้จัดการ" เคยวิเคราะห์เรื่องนี้ไว้แล้วอย่างละเอียดในเล่มที่
65 เดือนกุมภาพันธ์ 2532 นี้ และสรุปตรงที่ว่า คณะกรรมาธิการงบประมาณของรัฐสภาได้มีมติให้ประมวล
ชดเชยผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนของบรรษัทได้ก่อนหน้ามีนาคม 2521 จำนวน 240
ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 523 ล้านบาท ให้บรรษัทแบกรับภาระเอง
เรื่องกรณีนี้ก็ผ่านไปแล้ว โดยประมวลไม่เสียหายอะไรเลย แต่ทีน่ากังขาในความรู้สึกของคณะรัฐมนตรี
โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีชาติชายฯ คือประมวลทำไมถึงไม่ทำอะไรสักอย่างหนึ่งลงไปในบรรษัท
ทั้งๆที่สมหมาย ฮุนตระกูลประธานกรรมการบรรษัทก็ท้าทายอยู่ตลอดเวลา "ให้ประมวลปลดเขาได้ถ้าต้องการ"
เหตุไรประมวลจึงไม่เด็ดขาดในการแก้ปัญหาบรรษัท ทั้งๆที่เขามีอำนาจที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดลงได้ในสถานะกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่!
หลังการปิดประชุมสภาสมัยสามัญเดือนกรกฎาคมนี้ มีการพูดกันมากถึงความเป็นไปได้ที่คณะรัฐบาลอาจมีการปรับปรุงคณะรัฐมนตรีบางกระทรวงใหม่
ซึ่งประมวลอาจเป็นหนึ่งในบรรดารัฐมนตรีที่จะถูกสับเปลี่ยนโยกย้ายกระทรวง
แม้ 10 เดือนที่ผ่านมา ผลงานของประมวลดูจะเป็นที่พออกพอใจพอสมควรในบรรดาประชาชนโดยทั่วไป
แต่ CACIBER ของเขาในหมู่คณะรัฐมนตรี ในกรณีล้มเหลวเรื่องดันการบินและเป้าใหญ่เรื่องทรัสต์ไทยเข้าตลาดหุ้น
4 เมษา ที่เขามอบหมายให้ ไพศาล กุมาลย์พิศัย ผู้ช่วยผู้ว่าการแบงก์ชาติเป็นผู้ดูแลแก้ปัญหา
เป็นแนวโน้มที่ฝ่ายค้านในรัฐสภาเตรียมเล่นงานอยู่ ก็เป็นองค์ประกอบของสาเหตุที่เขาอาจต้องถูกสับเปลี่ยนเก้าอี้รัฐมนตรีคลัง
ประมวลและกลุ่มมันสมองของเขาอาจประสบความสำเร็จในการสร้างกระแสนิยมแก่ประชาชน
แต่เขาอาจล้มเหลวในการสร้างความยอมรับในฝีมือนายกรัฐมนตรีชาติชายก็เป็นได้
ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ นายกฯชาติชายอาจต้องชั่งน้ำหนักการตัดสินใจยากพอดี!