|
ตลาดหุ้นดัชนีขึ้นเขียวนักลงทุนไทยซื้อฝรั่งยังเทขายต่อ
ผู้จัดการรายวัน(5 มิถุนายน 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
ตลาดหุ้นไทยกระเตื้องปิดบวกจากแรงซื้อนักลงทุนในประเทศ หลังรัฐบาลมีทีท่าชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ-ราคาน้ำมันลด ขณะที่ต่างชาติยังขายกว่า 3 พันล้านบาท ด้านนักวิเคราะห์ คาดดัชนีวันนี้อาจลดลง จับตาการเมือง-เศรษฐกิจอเมริกา-ราคาน้ำมัน ขณะที่ บล.ทิสโก้ชี้ระยะสั้นดัชนีรีบาวนด์ จากที่ผ่านมาฝรั่งเทขายอย่างหนัก พร้อมแนะลงทุนหุ้นชนะเงินเฟ้อ 'พลังงาน เกษตร โรงพยาบาล เทเลคอม' เตือนนักลงทุนลดพอร์ตหุ้นเหลือ 60% จากเดิม 80%
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้(4 มิ.ย.) ดัชนีแกว่งตัวในแดนลบสลับแดนบวกตลอดทั้งวันโดยปิดตลาดที่ 808.92 จุด เพิ่มขึ้น 2.06 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.26% ซึ่งปรับตัวเพิ่ม ขึ้น สูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 815.94 จุด ปรับตัวต่ำสุดระหว่างวันที่ระดับ 803.48 จุด มูลค่าการซื้อขาย 20,462.34 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,094.73 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 236.70 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,858.03 ล้านบาท
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการบริหาร และหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทิสโก้ จำกัด กล่าวในงานสัมมนายุทธศาสตร์หุ้นสู้เงินเฟ้อ ว่า ในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยจะมีการรีบาวนด์ได้ในช่วงระยะ สั้น เนื่องจากที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นออกมาจำนวนมาก และการ เมืองมีโอกาสที่จะคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากที่ รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะยกเลิกการยื่นมติ แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเชื่อว่าจะไม่เกิดการปฏิวัติขึ้น แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากการที่ถูกลดน้ำหนักการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศทำให้ดัชนีสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 10-15 จุด โดยอยู่ที่ระดับ 820- 830 จุด
สำหรับในเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองนั้นคาดว่ารัฐบาลจะมีการแก้ไขโดยการจัดตั้งคณะกรรมการร่างฯหรือการลงประชามติ ทำให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยล้มเลิกการชุมนุมซึ่งเชื่อว่ามีโอกาสมากที่สุดประมาณ 85% ส่วนเรื่องการยุบสภา ในกรณีของพรรคร่วมรัฐบาล อื่นๆไม่ร่วมด้วยนั้น มีโอกาสเกิด 10% โดยเกิดการเผชิญหน้ากันของกลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่ายนั้นมีโอกาสเกิดเพียง 5%เท่านั้น และหากรัฐบาลชะลอเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ออกไปก่อนจริงและรอจนกว่ากฎหมายลงประชามติออกมาก่อน คาดว่าจะใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน น่าจะส่งผลดีต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้
ทั้งนี้ การที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ปรับตัวสูงขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่ 7.6% นั้น ส่วนตัวมองว่ายังไม่ถึงจุดสูงสุด ซึ่งคาดว่าจะปรับ ตัวเพิ่มต่อเนื่อง โดยคาดว่าการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนกรกฎาคมนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 8.1% หากราคาน้ำมันอยู่ที่ 120-130 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยเรื่องอัตราเงินเฟ้อนั้นจะเป็นปัจจัยที่กดดันการลงทุนโดยรวมและเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัว ของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศ และจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนชะลอลงในระยะสั้น
นายวิศิษฐ์กล่าวว่า แม้ตลาดหุ้นจะสามารถปรับตัวในช่วงสั้นแต่จากมีความไม่แน่นอนสูงในเดือนมิถุนายนนั้น บริษัทจึงมีการลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นในเดือนนี้ เหลือ 60% และถือเงินสด 40% จากเดือนที่แล้วแนะลงทุนหุ้น 80% ถือเงินสด 20% โดยหุ้นที่สามารถลงทุนเพื่อสู้ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นนั้น จะต้องมีลักษณะธุรกจิที่มีอำนาจในการกำหนดราคาเสนอขายได้ มีผลประกอบ การเติบโตสูง และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่แท้จริงที่น่าสนใจ เช่น กลุ่ม เกษตร พลังงาน และโรงพยาบาลจะเป็นกลุ่ม แรกที่โดดเด่น หลังจากนั้นกลุ่มต่อมาคือ กลุ่มเทเลคอม
ทั้งนี้ หุ้นที่บริษัทแนะนำลงทุนในเดือน มิถุนายนนี้ คือ บริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน)หรือ AH บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)หรือ AMATA บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)หรือ BANPU บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BGHบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน)HANAบริษัท อินโดรามา โพลีเมอร์ส จำกัด (มหาชน)หรือ IRP บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน)หรือ KSL บริษัท สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)หรือ SAT
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/51 คาดว่าจะมีความผันผวนสูงจากเงินเฟ้อที่สูงและจากปัญหาทางการเมืองโดยจะทำให้ดัชนีในช่วงไตรมาส 3/51 แกว่งตัวในกรอบ 800-920 จุด โดยบริษัทคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้จะอยู่ที่ 983 จุด ซึ่งมีค่า P/E 13 เท่า จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะดีขึ้นเมื่อแรงกดดันเงินเฟ้อส่งสัญญาณผ่อนคลายและบรรยากาศทางการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้น ในไตรมาส4/51 นี้
ราคาหุ้นจูงใจเข้าซื้อ
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจาก ราคาน้ำมันดิบที่เริ่มลดลง โดยราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปรับลดลง 3.45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ประกอบกับไม่มีปัจจัยลบเข้ามาใหม่ ขณะที่สถานการณ์การเมืองทรงตัว รวมถึงเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น หลังประธานเฟดเผยว่าไม่มีแนวโน้มที่จะปรับลดดอกเบี้ยลงอีกในปีนี้ ส่งผลให้ค่าเงินในภูมิภาคอ่อนค่าลง ซึ่งเป็นผลดีต่อกลุ่มส่งออก
รวมถึงการที่นักลงทุนต่างชาติลดพอร์ต การลงทุน ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับลงมาในระดับราคาที่จูงใจให้มีการเก็งกำไรเข้ามาในภาวะที่ตลาดไม่มีปัจจัยลบใหม่เข้ามา แต่การ ที่ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสินเชื่อตึงตัวและเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงปัจจัยในประเทศ อาทิ ปัญหาการ เมือง การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร พาณิชย์ และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นได้เพียง 2 จุด
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวลดลง เนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ ยังคงกดดันตลาดอยู่ โดยประเมินแนวรับที่ 800 จุด และแนวต้านที่ 818 จุด ส่วนกลยุทธ์การลงทุน แนะนำเก็งกำไรรายตัวในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยมองว่าหุ้นส่งออกมีความน่าสนใจจากเงินบาทที่อ่อนค่าลง และจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวดลลง ส่งผลให้กลุ่มขนส่งและกลุ่มวัสดุก่อสร้างน่าสนใจ รวมถึง กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มแบงก์
หุ้นวันนี้อาจร่วงอีก
นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวในกรอบแคบๆ สลับกันทั้งแดนบวกและลบ แต่สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากดัชนีได้ปรับตัวลดลงติดต่อกันมาหลายวัน ทำให้เกิดแรง เก็งกำไรกลับเข้ามา และจากการที่รัฐบาล ปรับ เปลี่ยนกลยุทธ์กับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยไม่ใช้ท่าทีที่แข็งกร้าว ชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่หันมาเร่งทำงานแก้ไขปัญหา ทำให้ความกังวลว่าจะเกิดการเผชิญหน้าระหว่าง 2 ฝ่ายลดลง
ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เพราะนักลงทุนยังคงมีความกังวลปัญหาทางเศรษฐกิจหลังอัตราเงินเฟ้อ เดือน พ.ค.อยู่ที่ระดับ 7.6% ส่งผลกระทบกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ขณะเดียวกันถูกซ้ำเติมด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ซึ่งกระทบกับต้นทุนของผู้ประกอบการและกำลังซื้อของผู้บริโภค ทำให้ภาพเศรษฐกิจข้างหน้าดูไม่ค่อยดี รวมถึงการเมืองในประเทศ แม้รัฐบาลมีท่าทีประนี ประนอมมากขึ้น แต่ความเสี่ยงตรงนี้ก็ยังคงอยู่
นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ติดลบกว่า 100 จุด หลังมีข่าวว่าเลห์แมน บราเธอร์ส จะต้องเพิ่มทุนอีก 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้เกิดความกังวลว่าปัญหาภาคการเงินสหรัฐฯ จะยังไม่จบเร็ว หรืออาจจะลากยาวออกไปกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้(5 มิ.ย.) คาดว่าดัชนีมีโอกาสปรับตัวลง เนื่อง จากความเสี่ยงจากปัจจัยลบที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ยังคอยกดดันบรรยากาศการลงทุนช่วงนี้อยู่ โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ สถานการณ์การเมืองในประเทศ ทิศทางราคาน้ำมันดิบ และปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประเมินแนวรับดัชนีที่ 800 จุด และแนวต้านที่ 815 จุด
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|