ยูโอบีออกกองรับกระแสสินค้าโภคภัณฑ์ฮอต


ผู้จัดการรายสัปดาห์(2 มิถุนายน 2551)



กลับสู่หน้าหลัก

บลจ.ยูโอบีแจ้งเกิดกอง commodity รับกระแสขาขึ้น ให้ผลตอบแทนเกาะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 6 ชนิดใน 4 หมวด หลัก ทั้ง พลังงาน โลหะมีค่า โลหะอุตสาหกรรม และ สินค้าเกษตร แนะข้อดีเป็นการกระจายความเสี่ยง-สู้ศึกเงินเฟ้อ

วนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ยูโอบี(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดขายหน่วยลงทุนกองทุนเปิด ยูโอบี สมาร์ท คอมมอดิตี้ (UOB Smart Commodity Fund) หรือ UOBSC มูลค่า 1.4 พันล้านบาท เน้นลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity)

ทั้งนี้กองทุนเปิด UOBSC จะเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) ได้แก่ กองทุน DB Platinum Commodity Euro หรือ Master Fund ซึ่งบริหารและจัดการโดยบริษัท DB Platinum Advisors ที่จดทะเบียนในประเทศลักเซมเบิร์ก

โดยกองทุนหลักจะมีนโยบายเน้นสร้างผลตอบแทนให้เป็นไปตามดัชนี Deutsche Bank Liquid Commodity Index Mean Reversion (DBLCI-MR) ที่บริหารจัดการโดยดอยช์แบงก์ โดยจะลงทุนในตราสารหนี้และสัญญาสวอปเพื่อแลกเปลี่ยนผลตอบแทนที่ได้รับให้เป็นไปตามดัชนี ซึ่งจะเน้นลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ 4 หมวดใหญ่ ได้แก่ หมวดพลังงาน หมวดโลหะมีค่า หมวดโลหะอุตสาหกรรม และหมวดสินค้าเกษตร โดยแบ่งย่อยเป็น สินค้า 6 ชนิด ได้แก่ น้ำมันดิบ น้ำมันเตา ทองคำ อะลูมิเนียม ข้าวสาลีและข้าวโพด

ด้านสภาพคล่องและการจัดพอร์ตลงทุนนั้น กองทุนหลักจะมีการปรับพอร์ตลงทุนทุกวันอัตโนมัติ ด้วยวิธีที่เรียกว่า Mean-Reversion ซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสมกับวัฏจักรราคาสินค้าโดยตรง และจะจัดพอร์ตการลงทุนจากหมวดที่ราคาถูกที่สุดไปหาหมวดสินค้าที่แพงที่สุด ซึ่งจะคำนวณราคาทุกวันโดยจะดูราคาเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี เปรียบเทียบราคาเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี

"จุดเด่นของดัชนี DBLCI-MR คือกลไกการปรับน้ำหนักการลงทุนในสินค้าทั้ง 6 ชนิด โดยจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนให้กับสินค้าที่มีราคาถูก และลดน้ำหนักการลงทุนในสินค้าที่มีราคาแพง โดยจะปรับน้ำหนักการลงทุนทุกวัน ซึ่งเป็นจุดเด่นที่จะช่วยปรับเพิ่มหรือลดน้ำหนักการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ให้กับนักลงทุนไปในตัว"

ด้านความเสี่ยงของกองทุนนี้คือ กรณีที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตัวใดตัวหนึ่งปรับตัวขึ้นสูงแล้ว ดัชนีได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนลง แต่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตัวนั้นยังปรับตัวขึ้นต่อ หรือกรณีที่สินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลง ดัชนีมีการปรับน้ำหนักการลงทุนเพิ่มขึ้น แต่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ยังปรับตัวลงต่อ อาจจะทำให้ผลการดำเนินงานของดัชนี DBLCI-MR ออกมาไม่ดีได้เช่นเดียวกัน

สำหรับพอร์ตการลงทุนของกองทุนหลัก ณ วันที่ 1 เมษายน 2551 ประกอบด้วยอะลูมิเนียม 32.50% น้ำมันดิบ 28.80% น้ำมันเตา 16.20% ทองคำ 10.8% ข้าวโพด 9.10% และข้าวสาลี 2.70% โดยมีผลตอบแทน ในรูปสกุลเงินบาทย้อนหลัง ตั้งแต่ต้นปี 2551 อยู่ที่ 12.58% ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ของ S&P ที่ 11.53%

ในมุมมองของ วนา ประเมินว่าการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ยังเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากดีมานด์ยังมากกว่าซัพพลาย ซึ่งจะส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในระยะยาว อีกทั้งการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์ ยังป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อได้ด้วย เพราะการขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นปัจจัยสำคัญผลักดันให้เกิดเงินเฟ้อ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุนได้ด้วย เพราะผลตอบแทนของสินค้าโภคภัณฑ์กับหุ้น หรือตราสารหนี้ไม่ได้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน จึงมีความสัมพันธ์กันน้อยเหมาะกับการกระจายความเสี่ยง


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.