จับกระแสฝรั่งไหลเข้าดันดัชนี-ค่าเงินบาทแข็ง


ผู้จัดการรายสัปดาห์(2 มิถุนายน 2551)



กลับสู่หน้าหลัก

นักวิเคราะห์ มองค่าเงินบาทยังมีสัญญาณว่าจะกลับมาแข็งค่าต่ออีก เหตุเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้น ดันเม็ดเงินไหลเข้าตลาดเอเชีย แรงซื้อฝรั่งดันตลาดหุ้นไทยรับอานิสงส์ มองสิ้นปีดัชนี 950 จุด ชี้เงินบาทแข็งปัจจัยบวกกับดัชนี แต่เป็นปัจจัยลบกับกลุ่มส่งออก

สิริณัฎฐา เตชะศิริวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ไซรัส กล่าวว่า ค่าเงินบาทเปรียบเทียบกับสกุลเงินดอลล่าร์ในช่วงต่อจากนี้ไปยังมีทิศทางที่จะแข็งค่าต่อเนื่องตามค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย แม้ในขณะนี้จะเป็นช่วงจังหวะพักตัวบ้าง แต่ก็คาดว่าจะสามารถกลับไปแข็งค่าต่อได้อีก

โดยค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเกิดจากตลาดหุ้นเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวเนื่องจากนักวิเคราะห์และนักลงทุนคาดการว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะคงระดับอัตราดอกเบี้ย 2%ในการประชุมเฟดวันที่ 24-25 มิ.ย.นี้ ประกอบกับไตรมาส 2/2551 ปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) จะอยู่ในจุดพีคสุด หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐเข้าไปอัดฉีดสภาพคล่องถึง 70-80 % ซึ่งทำให้ปัญหาดังกล่าวเริ่มคลี่คลายลง แต่มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ฟื้นตัวในปีนี้ ทำให้มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยและเอเชียมากขึ้น และเป็นแรงส่งให้ค่าเงินบาทปลายปีมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเช่นกัน

สำหรับการแข็งของค่าเงินบาทจะเป็นปัจจัยบวกต่อดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เพราะเป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่าฝรั่งนำเงินเข้ามาลงทุน แต่ก็ไม่พบว่าจะส่งผลดีกับหุ้นกลุ่มใดเป็นพิเศษ

"ถ้าเป็นเมื่อก่อนมีสัญญาณว่าค่าเงินบาทแข็ง ผู้ลงทุนก็มักจะแห่ไปเล่นหุ้นตัวที่มีหนี้ต่างประเทศมาก แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่บริษัทพวกนี้ก็ใช้วิธีเฮดจ์ป้องกันความเสี่ยงกันหมดแล้ว เลยไม่มีหุ้นกลุ่มใดที่จะได้ประโยชน์เป็นพิเศษ แต่การที่ค่าเงินบาทแข็งนี้จะเป็นผลลบต่อกลุ่มส่งออกเพราะราคาสินค้าส่งออกจะแพงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ และมีกำไรในรูปเงินบาทลดลง"

คาดการณ์ว่าแนวโน้มตลาดหุ้นจะปรับฐานดีขึ้นในไตรมาส 2/2551 โดยคาดว่าดัชนีไตรมาส2/2551 อยู่ที่ 900 จุด และทั้งปีแตะ 950 จุด โดยคาดว่าปีนี้บจ.จะมีกำไรเติบโต 20% จากไตรมาส1/2551 ทำได้แล้ว 33% มองว่าจะผลักดันให้ตลาดหุ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/2551 คึกคัก และมีแรงซื้อเข้ามาจำนวนมาก สำหรับหุ้นแนะนำ "ซื้อ" ได้แก่ PTT, UMS, PHATRA และTMB

โดย บมจ.ปตท(PTT) ให้ราคาเป้าหมายที่ 419 บาท โดยคาดว่ากำไรในไตรมาส 2 ยังน่าจะดีต่อเนื่อง ราคาพลังงานที่ยังสูงเป็นผลเชิงบวก โดยเฉพาะต่อ ปตท.สผ.ภาระการอุดหนุนราคาก๊าซหุงต้มปี 2551 ประมาณ 3.2 พันล้านคาดว่าจะได้รับการชดเชยจากกองทุนน้ำมัน รวมทั้งบริษัทย่อยโรงกลั่นน่าจะฟื้นตัวตามค่าการกลั่น

สำหรับ บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) ให้ราคาเป้าหมายที่ 37.50 บาท มองว่ามีอัพไซด์อีกค่อนข้างมาก ขณะที่ความเสี่ยงการลดลงของราคาถ่านหินมีความเป็นไปได้น้อยกว่า คาดว่ากำไรในไตรมาส2/2551ยังดีต่อจากปริมาณและราคาขายที่เพิ่มขึ้นแม้จะมีปัจจัยเสี่ยงจากการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ๆ แต่ประเมินว่าบริษัทยังมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนและฐานลูกค้า

ด้าน บมจ.หลักทรัพย์ ภัทร (PHATRA) ให้ราคาเป้าหมาย 44 บาท โดย เมอร์ริลลินซ์ ยังส่งคำสั่งผ่านภัทรอยู่ คาดการณ์กำไรไตรมาส 2/2551 รายได้ค่าธรรมเนียมจะสูงกว่า 150 ล้านบาทเนื่องจากบันทึกรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินขาย IPO หุ้น ESSO และยังมีลูกค้าที่ปรึกษาเตรียม IPO รายใหญ่อีกไม่ว่าจะเป็น BTS, เบทาโกร รวมถึงการเตรียมขยายธุรกิจอนุพันธ์โดยมีแผนออก structural note, derivative warrants และรายได้ค่านายหน้าจากการ ้อขายสัญญาล่วงหน้า

ขณะที่ บมจ.ธนาคาทหารไทย(TMB) ให้ราคาเป้าหมาย 1.86 บาท เนื่องจากราคาซื้อขายในกระดานปัจจุบันยังต่ำกว่าต้นทุนของ ING ที่ 1.60 บาท ธนาคารมีระดับเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง 10.52% เงินกองทุนรวม 14.35% ใกล้เคียง SCB และ KBANK โดยที่ผ่านมามีค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง 57% และคาดว่าจะทรงตัวในระดับต่ำ ด้วยความที่มีอัพสูงจึงน่าสนใจที่สุดเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด

ส่วนหุ้นอื่นๆในกลุ่ม น้ำมัน, เดินเรือ และบริษัทหลักทรัพย์นั้น ถ้าจะเล่นก็ควรจะเป็นในลักษณะเทรดดิ้งจะดีกว่า


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.