Hope in a Jar

โดย ธีรภาพ วัฒนวิจารณ์
นิตยสารผู้จัดการ( กรกฎาคม 2546)



กลับสู่หน้าหลัก

ประโยคนี้เป็นถ้อยคำที่ชาร์ล เรฟสัน สรุปถึงความหมายของผลิตภัณฑ์ที่เขาขายให้กับสาวๆ ในสหรัฐอเมริกา คุณผู้อ่านอาจจะยังนึกไม่ออกว่าผลิตภัณฑ์นั้นคืออะไร แต่หากผมบอกว่านายเรฟสันผู้นี้คือ ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องสำอางที่มีชื่อว่าเรฟลอน ท่านทั้งหลายคงถึงบางอ้อว่าผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้คืออะไร

บทความในดิอิโคโนมิสต์ฉบับปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีรายงานพิเศษเกี่ยวกับธุรกิจความสวยงามว่าเป็นธุรกิจที่น่าจับตามองเพียงใด หากพิจารณาถึงธุรกิจทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ เฮลท์คลับ ไปจนถึงศัลยกรรมความงามทั้งหลาย เราจะพบว่ามูลค่าโดยรวมของธุรกิจกลุ่มนี้อยู่ที่ 160 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขที่อาจจะมากกว่างบประมาณของประเทศหลายประเทศ

ว่าไปแล้วหากมองย้อนกลับไปในอดีตเราจะพบว่า เรื่องของความรักสวยรักงามเป็นสิ่งที่มีมาแต่โบราณ ในอดีตเราพบว่าหญิงสูงศักดิ์ในยุคกลาง (Medieval) รับประทานสารหนูและเลือดของค้างคาวเพื่อความเยาว์วัย ในขณะที่ในศตวรรษที่สิบแปด ปัสสาวะใหม่สดของเด็กหนุ่มกลายเป็นของที่มีราคา เพราะหญิงชาวอเมริกันใช้มันเป็นส่วนผสมในการกำจัดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า หรือแม้กระทั่งในยุควิคตอเรียน หญิงสาวต่างยอมเจ็บตัวด้วยการตัดซี่โครงบางส่วนออก เพื่อให้ตนเองมีเอวที่คอดกิ่วเหมือนมดตะนอย ในขณะที่การเปิดเผยอวัยวะส่วนที่เหนือข้อเท้าขึ้นไปถือว่าเป็นสิ่งรัญจวนใจแก่ชายที่พบเห็น

ตำรับสำหรับเสริมความงามเป็นสิ่งที่มีประจำในแต่ละครอบครัว ในยุโรปแต่ละครอบครัวจะมีสูตรลับของตนเองในการประทินโฉมของหญิงสาว สิ่งเหล่านี้มากลายเป็นธุรกิจทำเงิน ก็ในศตวรรษที่ผ่านมาที่ทุกอย่างในระบบทุนนิยมสามารถกลายเป็นสินค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นแรงงานหรือภาพพจน์และความงาม

ในช่วงเริ่มต้นของศตวรรษที่ 20 ยูยีน ชูลเลอร์ ก่อตั้งบริษัทเปลี่ยนสีผมขึ้นในฝรั่งเศส ซึ่งกลายมาเป็น L'Oreal ในปัจจุบัน อีกสองปีต่อมาจึงมีการกำเนิด ขึ้นของผลิตภัณฑ์นีเวียที่เรารู้จักกันดีโดย Beiersdorf ในเยอรมัน ช่วงเวลาเดียว กันก็มีการเกิดขึ้นของสินค้าประเภทโลชั่นบำรุงผิวในญี่ปุ่นและกลายมาเป็นชิเชโดในปัจจุบัน

หลังจากนั้นหลายแบรนด์เนมที่เรารู้จักกันดี ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็น Rubinstein, Arden, Max Factor และ Revlon ต่างกระโดดเข้าสู่ธุรกิจนี้ และปัจจุบันสินค้ากลุ่มฟุ่มเฟือยต่างก็หันมาจับตลาดนี้มากขึ้น แม้แต่ในตลาดกลางจนถึงตลาดล่าง อุตสาหกรรมนี้ก็ไปได้ดีเช่นกัน เราสามารถเห็นสินค้าประเภทครีมนวดผม หรือโลชั่นถนอมผิว โดยบริษัทอย่างพรอคเตอร์แอนด์ แกมเบิล หรือในบ้านเราเองตลาดล่างที่เรารู้จักกันดีก็คงจะเป็นครีมแก้สิวฝ้าประเภทตลับละสิบบาท ที่บรรดาสาวโรงงานนิยมใช้กัน ในขณะที่บรรดาวัยรุ่นหรือชนชั้นกลางใช้ครีมประเภทเดียวกันในระดับราคาเรือนร้อย

ข้อมูลจากโกลด์แมน แซคส์ ประมาณว่าธุรกิจความสวยงาม นี้ (Beauty business) หากพิจารณาเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภท เครื่องสำอาง มูลค่าทั้งหมดทั่วโลกอยู่ที่ 95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อพิจารณาตามมูลค่าผลิตภัณฑ์จะพบว่า เซกเตอร์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงดูแลรักษาเส้นผมสูงสุดคือ 38 พันล้านดอลลาร์ และรองลงมาคือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง คือ 24 พันล้านดอลลาร์ และธุรกิจกลุ่มนี้กำลังเติบโตด้วยอัตราร้อยละ 7 ต่อปี นั่นคืออัตราการเติบโตของธุรกิจกลุ่มนี้เป็น 2 เท่าของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่พัฒนาแล้ว

นั่นบ่งถึงการแข่งขันที่สูงในธุรกิจนี้ ทำให้แนวโน้มต่อไปของบริษัทผลิตเครื่องสำอางเหล่านี้จะเน้นเข้าหาผลิตภัณฑ์ประเภท cosmaceutical คือมีส่วนผสมระหว่างเครื่องสำอางและยา เช่นชิเชโดอ้างว่าผลิตภัณฑ์เจลตัวใหม่ของตน ซึ่งมีส่วนผสมของพริกไทยและน้ำมันจากเกรฟฟรุต สามารถละลายไขมันจากผิวหนัง 1.1 กิโลกรัม ในการใช้เป็นเวลาหนึ่งเดือน หลังจากผลิตภัณฑ์ออก วางตลาดเมื่อปีที่แล้วประมาณว่า ทุก 3.7 วินาทีจะมีลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์นี้หนึ่งราย

สิ่งที่น่าตกใจคือ ในขณะที่อุตสาหกรรมทางด้านยาใช้งบประมาณ 15% ในการทำการวิจัยสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในธุรกิจ กลุ่มนี้งบประมาณเพียง 2-3% ของยอดขายถูกใช้ไปกับงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ในขณะที่งบประมาณสูงถึง 20-25% ถูกใช้ไปกับการโฆษณาดังที่เราเห็นกันอยู่

ดิอิโคโนมิสต์สรุปว่า การเติบโตที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วของธุรกิจในกลุ่มนี้ มีปัจจัยสำคัญมาจากอุปสงค์ที่เกิดขึ้นในกลุ่มของผู้มีรายได้สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เกิดในยุคเบบี้บูมในตะวันตก ในส่วนตะวันออกเองการเกิดขึ้นของกลุ่มชนชั้นเศรษฐีใหม่ และการขยายตัวและเพิ่มจำนวนของชนชั้นกลางเป็นรากฐานที่สำคัญของการเติบโตในธุรกิจนี้ จีน รัสเซีย และเกาหลีใต้ เป็นตลาดที่กำลังโตอย่างมาก แม้แต่ในประเทศที่เศรษฐกิจมีปัญหาอย่างบราซิล จำนวนสาวเอวอนกว่าเก้าแสนคนนั้นมากกว่าจำนวนชายและหญิง ในกองทัพบราซิล

แต่การเพิ่มจำนวนของอุปสงค์คงไม่ใช่คำตอบ คำถามควร จะเป็นว่า ทำไมกลุ่มคนเหล่านี้จึงมีอุปสงค์เกี่ยวกับเรื่องความสวยงาม

บางคนเปรียบเปรยว่าความรักสวยรักงามของคนเรานั้นเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมของมนุษยชาติ นั่นคือทุกคนหากไม่สวย ก็ขอให้ได้สิ่งที่สวยงาม มีการศึกษาวิจัยในเด็กอายุสามเดือนพบว่า เด็กจะยิ้มให้กับใบหน้าที่ผู้ใหญ่เห็นว่าเป็นใบหน้าที่มีเสน่ห์ บางทีสิ่งนี้อาจจะอยู่ในยีนส์ของคนเราก็เป็นได้

ในส่วนของปัจจัยส่วนบุคคลนั้น การรักสวยรักงามเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ การศึกษาของ เดวิด บัสส์ พบว่า ในการสอบถามจากบุคคลจำนวนหนึ่งหมื่นคน จากวัฒนธรรมที่ต่างกัน 37 กลุ่ม เขาพบว่าปัจจัยสำคัญในการเลือก คู่ครองของฝ่ายชายถูกกำหนดจากรูปร่างหน้าตาของฝ่ายหญิงว่ามีเสน่ห์เพียงใด ปัจจัยนี้เป็นคำตอบที่ได้จากชายทุกคนในการศึกษานี้ พูดง่ายๆ คือรูปร่างหน้าตาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

แต่นั่นอาจจะเป็นเพียงมุมมองในแง่ของการสืบเผ่าพันธุ์ของยีนส์กลุ่มนี้ แต่หากลองศึกษาในเชิงวัฒนธรรมข้อมูลที่อาจจะทำให้ เราตกใจกันก็คือ ความสวยงามกลายเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความลำเอียง หรือการถือปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกัน

การศึกษาในกลุ่มคนทำงานพบว่าคนที่ "ดูดี" มักจะได้ งานดีกว่า เงินเดือนสูงกว่า และการปฏิบัติจากคนรอบข้างที่ดีกว่า แม้กระทั่งในกรณีของรถยนต์ที่มีปัญหายางแตก หญิงสาวที่สวยกว่าจะได้รับการช่วยเหลือก่อน ความสวยงามหรือมีเสน่ห์ทำให้คนกลุ่มนี้มีความมั่นใจในตนเองสูงกว่า ดังนั้นคนกลุ่มนี้มักจะเชื่อมั่นว่าตนเองควรได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าคนอื่น อีกทั้งคนกลุ่มนี้มักจะมีความอดทนในการรอคอยน้อยกว่า

ตัวอย่างที่ชัดเจนในบ้านเราเห็นจะเป็นเรื่องของนักเรียนที่สอบติดคณะพยาบาลศาสตร์แห่งหนึ่งแล้ว ในตอนแรกถูกปฏิเสธการรับเข้าเป็นนักศึกษาด้วยเหตุผลว่า ความอ้วนของเธอจะเป็นอุปสรรคต่อความคล่องตัวในการช่วยเหลือผู้ป่วยในภาวะวิกฤติ แต่ก็มีเสียงกระซิบตามมาว่าแล้วบรรดาฟลอเรนซ์ ไนติงเกลที่บินไม่ขึ้นทั้งหลายจะปลดระวางดีหรือไม่

แม้กระทั่งในกระบวนการกฎหมายที่เราเชื่อกันว่าไม่ลำเอียงนั้น การศึกษาในออสโลพบว่า นักศึกษาจะตัดสินลงโทษผู้กระทำผิดที่ "ดูดี" ด้วยโทษที่เบากว่านักโทษคนอื่นในคดีแบบเดียวกัน 20%

นั่นคือเรื่องความสวยงามเป็นเรื่องที่มนุษย์เราสามารถทำความรู้จักกันได้ในระยะไกล คือเห็นด้วยสายตา เมื่อเข้าใกล้มากขึ้นก็เป็นเรื่องของกลิ่นตัว สัมผัส และสุดท้ายคือการพูดคุย เพื่อรู้จักความคิดเห็นและนิสัยใจคอ นั่นคือรูปลักษณ์ภายนอก เป็นด่านแรกที่จะทำให้คนอื่นประทับใจเราหรือไม่

แม้ภาษิตที่เรารู้จักกันดีจะย้ำเตือนอยู่เสมอว่า "Don't judge the book by the cover" หรือคำกลอนของเราเองก็บอกว่า "ดำแต่นอกในแผ้ว ผ่องเนื้อนพคุณ" แต่แน่นอนว่ารูปลักษณ์ภายนอกต้องสำคัญ หากเราคิดว่าคนแต่ละคนเปรียบเสมือนสินค้า สิ่งห่อหุ้มภายนอก หรือรูปลักษณ์ที่เห็นได้ชัดเจน จึงเป็นตัวตัดสินเบื้องต้นว่าลูกค้าจะแลหรือหยิบสินค้าหรือไม่ แต่ในระยะยาวแล้วแน่นอนว่าคุณภาพของสินค้าเป็นตัวชี้ขาด

แนนซี่ เอดคอฟ นักจิตวิทยาสรุปไว้ในหนังสือ "การอยู่รอดของผู้สวยที่สุด" ว่า สำหรับผู้หญิงแล้ว ความสวยของเธอเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด (ที่สามารถแลกเปลี่ยนได้) เธออาจใช้มันเพื่อเลื่อนสถานะทางสังคม แลกเปลี่ยนเงินตรา หรือ แม้กระทั่งความรัก แต่ความสวยงามเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตามอายุขัย ดังนั้นมันเป็นทรัพย์สินที่ว่าไปแล้วมีการเสื่อมค่าได้ นี่อาจจะเป็นข้อสรุปที่ใช้ได้ดีสำหรับทั้งหญิงและชาย และเหตุผลว่าทำไมธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความสวยงามจะยังคงเติบโตไปเรื่อยๆ



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.