ค่าเงินดอลลาร์อ่อน การเคลื่อนย้ายเงินทุนเริ่มคึกคักอีกครั้ง
และตลาดหุ้นเป็นเป้าหมายลำดับต้นๆ สำหรับการแสวงหาผลตอบแทน
ชดเชยความสูญเสียจากความไม่ไว้วางใจค่าเงินดอลลาร์
วิกฤติเศรษฐกิจช่วงปี 2540 ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยไหลรูดลงไปถึงจุดต่ำสุด
249 จุด จากนั้นเริ่มทรงตัวและค่อยๆ ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและหยุดพักที่ระดับ
340 จุด แล้วปรับตัวลดลงอีกครั้งสู่ 256 จุด ก่อนทะยานขึ้นมาที่ 347 จุด
ลักษณะความเคลื่อนไหวดังกล่าว ในเชิงเทคนิคเรียกว่า ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะขาขึ้นโดยสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม การประเมินความสดใสของตลาดหุ้นไทยไม่สามารถพิจารณาเชิงเทคนิคมิติเดียว
องค์ประกอบที่สำคัญต่อการเติบโตและเป็นคำถามสำหรับนักลงทุนใน ปัจจุบันและอนาคต
คือ ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนแข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำให้ตลาดสดใสต่อเนื่องและยั่งยืนได้หรือไม่
ทันทีที่ MSCI ปรับน้ำหนักการลงทุนของประเทศไทยตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่องจากระดับ
2.6% เป็น 2.9% เมื่อตลาดรับรู้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นทันที 20 จุด และสามารถยืนเหนือ
400 จุดได้
"เดือนดังกล่าวนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิประมาณ 4,500 ล้านบาท และในอนาคตคาดว่า
MSCI จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในไทยอีก และเม็ดเงินจะไหลเข้ามามากพอสมควร"
วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.ทรีนีตี้กล่าว
ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้บรรยากาศ ตลาดหุ้นไทยคึกคักในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
เกิดจากการประเมินค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนตัวในระยะยาว เนื่องเพราะรัฐบาลกลางสหรัฐฯ
มีหนี้สูง และขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง ก่อ ให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนไปยังสกุลเงินที่แข็งกว่า
โดยยุโรปเป็นตลาดแรกที่บรรดากองทุนโยกเงินเข้าไป ตามด้วยออสเตรเลีย ไต้หวัน
เกาหลีใต้ และไทย
อีกทั้งคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีการลดดอกเบี้ยลงอีกครั้งภายในปีนี้
ส่งผลให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนถูกเร่งให้เร็วมากยิ่งขึ้น ผลที่ตามมา ก็คือ
บรรดาคู่ค้าของ อเมริกา เช่น อังกฤษ กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ต้องลดดอกเบี้ยตามไปด้วย
"ค่าเงินของประเทศคู่ค้าจะอ่อนตัวเมื่อเทียบค่าเงินของประเทศในภูมิภาคเอเชีย"
วิศิษฐ์ชี้ "สิ่งที่เกิดขึ้น เงินบาทแข็งค่าขึ้นไปอีก"
หากเฟดลดดอกเบี้ย คำถามก็คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถรับ ความกดดันกับค่าเงินบาทแข็งได้มากน้อยเพียงใด
ซึ่งตลาดคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยจะลดลงตามไปด้วยในช่วงเดือนสิงหาคม นี้อย่างน้อย
25 basis point หลังจากรัฐบาล ชำระหนี้คืนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
งวดสุดท้ายจำนวน 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐภายในสิ้นเดือนนี้
หลังจาก ธปท.ลดดอกเบี้ยส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ด้อยค่าลง
เป็นเหตุผลเพียงพอที่การลงทุนในตลาดหุ้นถูกจับตามองจากผู้ฝากเงิน บางคนที่ทนทุกข์กับระดับผลตอบแทนไม่ได้จึงย้ายเงินไปหาผลตอบแทนที่สูงกว่า
ซึ่ง ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินออมประมาณ 3-5%
ความเชื่อมั่นเงินบาทที่แข็งค่าในระยะยาว นอกเหนือไปจากปัจจัยภายนอกแล้ว
เดือนสิงหาคมนี้เชื่อว่าประเทศไทยจะได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit
Rating) จาก S&P และ Moody's ด้วยเหตุผลเสถียร ภาพของประเทศโดยรวมดีขึ้น
"จากนี้ไปไทยดูมีความน่าสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศมากยิ่งขึ้น" วิศิษฐ์บอก
"เม็ดเงินจะไหลเข้าตลาดหุ้นอีกในครึ่งปีหลัง" รวยหรือจน
หลังจากบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดประกาศผลประกอบการไตรมาส 1 ปีนี้ออกมาสร้างความประทับใจให้กับนักลงทุนพอสมควร
เมื่อโชว์อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) เฉลี่ยอยู่ที่ 32% และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน
21.3% โดยมีหนี้สินสุทธิต่อทุน (D/E Ratio) 1.1 เท่า และผลตอบแทน ต่อผู้ถือหุ้น
(ROE) 22.7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
เมื่อเทียบรายได้ของบริษัทจดทะเบียน กับดัชนีตลาดหุ้นไทย ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจดัชนีพุ่งทะยานขึ้นไปไม่หยุดยั้งโดยไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับ
แต่หลังจากความล่มสลายผ่านพ้นไปจนถึงปัจจุบันราคาหุ้นถูกกว่า ปัจจัยพื้นฐาน
หากพิจารณาหุ้นขวัญใจนักลงทุนแล้ว กลุ่มธนาคารพาณิชย์ยังคงติดอันดับต้นๆ
สม่ำเสมอโดยมีธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เนื่องจากไตรมาสแรกมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย
2.56% และ 2.10% ตามลำดับ
"เป็นตัวเลขที่ดีที่สุดของธนาคารขนาดใหญ่ แสดงถึงความสามารถในการทำกำไร"
ชาลี กือเย็น ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้กล่าว
อีกทั้ง SCB มีค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับรายได้ต่ำที่สุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ที่ระดับ
46.1% ส่วน KBANK อยู่ที่ 56.9% "ความโดดเด่นของ KBANK จะมีสูงขึ้นหลังจากไถ่ถอน
Slips เพราะทำให้ต้นทุนทางการเงินและดอกเบี้ยจ่ายลดลงทันที" เธอบอก "ส่วน
SCB ต้องรอความสามารถในการหาพันธมิตรให้ได้"
สำหรับหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและพลังงานได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะบมจ.อะโรเมติกส์ (ATC) เพราะตัวเลขกำไรเพียงไตรมาสแรกปีนี้มากกว่ากำไร
5 ปีย้อนหลังรวมกัน
ขณะที่ บมจ.ปตท. หรือ PTT แม้ว่ากำไรไตรมาสที่ 2 จะออกมาไม่น่าประทับใจ
"แต่ในระยะยาวกำไรแข็งแกร่งและมั่นคงอย่าง มาก เนื่องจากธุรกิจแต่ละประเภทอยู่ในทิศ
ทางเติบโต" กิติชาญ ศิริสุขอาชา นักวิเคราะห์ หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
กล่าว
ด้าน บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรี (RATCH) เป็นหุ้นที่จ่ายเงินปันผลอยู่ในระดับน่าสนใจและผลประกอบการโดดเด่น
แต่ตลาดยังรอบทสรุปของการขยายการลงทุน "เรามองโลก ในแง่ดีของแผนการซื้อโรงไฟฟ้า
TECO, BLCP และ UPDC ลดลง เนื่องจากระดับราคา อาจจะสูงเกินไป" อิฐพงษ์ แสงทับทิม
นักวิเคราะห์ หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าว
ส่วนหุ้นกลุ่มสื่อสารนั้น บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) โดดเด่นที่สุด
จากความเป็นผู้นำการให้บริการโทรศัพท์ มือถือ เพียงแค่ไตรมาสแรกยอดผู้ใช้บริการเติบโตถึง
30% คาดว่าสิ้นปีนี้บริษัทจะมียอดสมาชิก 3 ล้านเลขหมาย
"พวกเราคาดว่าปีนี้กำไรจะเติบโตจาก ปีที่แล้วถึง 44%" ตุลยา เพ็งนิติ นักวิเคราะห์
หลักทรัพย์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ชี้ "ผู้บริหาร ADVANC เปิดเผยว่าหากราคาหุ้นยัง
ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าอยู่มาก อาจจะซื้อหุ้นคืน จำนวนหนึ่งเพื่อทำให้ราคาหุ้นปรับตัวดีขึ้น"
สำหรับหุ้นกลุ่มเกษตรสามารถลงทุนได้ในปัจจุบันคือ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร
(CPF) และ บมจ.จีเอฟพีที (GFPT) แม้ว่าไตรมาสแรกของปีนี้ทั้งสองบริษัทจะมีตัวเลขกำไรขาดทุนจากการดำเนินงาน
แต่หลังจากญี่ปุ่นประกาศยกเลิกการนำเข้าไก่ทั้งหมดจาก จีน เนื่องจากตรวจพบโรคไข้หวัดนก
รวมไปถึงเนเธอร์แลนด์ต้องฆ่าไก่ทิ้ง 45 ล้านตัวจากโรคดังกล่าว
ส่งผลให้ CPF และ GFPT ได้ประโยชน์อย่างมาก โดยมีคำสั่งซื้อไก่เข้ามาจนถึงสิ้นปี
และราคาไก่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก 1,300 เหรียญสหรัฐต่อตันในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
"ปีนี้ทั้งสองจะไม่ขาดทุน ทำให้หุ้น ถูกจับตามองจากนักลงทุนอย่างใกล้ชิด
แต่พวกเรายังคงแนะนำให้ลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว" วชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย
ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้บอก