108 ปี อังกฤษตรางู


นิตยสารผู้จัดการ( มิถุนายน 2543)



กลับสู่หน้าหลัก

บริษัท อังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด เป็นตัวอย่างของบริษัทหนึ่งในเมืองไทย ที่มีเส้นทางการเติบโต ที่ไม่โลดโผน แต่กลับสร้างความยั่งยืนมาได้ถึง 108 ปี ในเดือนมิถุนายน 2543 นี้ เป็นการครบ 9 รอบ ในปีงูใหญ่ที่ไม่ธรรมดา เพราะงูตัวนี้กำลังลอกคราบ และมีทิศทางเดิน ที่ชัดเจนขึ้น

แป้ง"ตรางู" สูตรของหมอล้วน ต้นตระกูลว่องวานิช คือ "มรดก" ชิ้นสำคัญ ที่มีส่วนทำให้ชื่อของบริษัทขายยา อังกฤษตรางูเป็นที่รู้จักมากขึ้น และเป็นสินค้า ที่เป็นฐานในการก้าวกระโดด เพื่อผลิตสินค้าตัวอื่นๆ ของบริษัทในเครือ ซึ่งขณะนี้ได้แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ Personal Care Products (ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว) และ Health Care Products (ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร และอาหารเสริม) หรือ ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า สินค้าประเภทแป้ง และยา

"แป้งตรางู เราขายปีละประมาณ 16 ล้านกระป๋อง รายได้เกือบ 300 ล้านบาทต่อปี ผมมั่นใจว่าตลาดแป้งของคนไทย หากไม่ใช่แบรนด์นอกเรามาเป็นอันดับ 1 " อนุรุธ ว่อง วานิช ประธานกรรมการบริหารคนปัจจุบันหลานชายคนโตของ ล้วน กล่าวยืนยันกับผู้จัดการ

ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ที่สินค้าแบรนด์ไทยเก่าแก่อย่างตรางู ที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปงูมีศรปักจะยังคงยืนหยัดอยู่ได้ เพราะเจ้าตลาดสำคัญของสินค้าแป้ง และยาในขณะนี้คือ บรรดายักษ์ใหญ่ข้ามชาติ ที่ล้วนแล้วแต่มีความพร้อมทั้งด้านเงินทุน และเทคโนโลยี ที่ทันสมัยในการผลิตทั้งสิ้น

แต่ดูเหมือนว่า วันนี้ผู้บริหารว่องวานิช ชุดปัจจุบัน"ไม่มีทางเลือก" และจำเป็นที่จะต้องก้าวต่อไปในธุรกิจ ที่ พวกเขามีความชำนาญดั้งเดิมมากที่สุด

ห้างขายยาอังกฤษตรางู เกิดขึ้นในเมืองไทยครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2435 โดยชาวอังกฤษ และอเมริกันกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นนายแพทย์ และเภสัชกร ในปี พ.ศ.2471 หมอล้วน ต้นตระกูลว่องวานิช ได้ซื้อ กิจการทั้งหมดมาจากเจ้าของเดิม และหลังจากนั้น ก็เริ่มมีการขยายตลาดมากขึ้น มีการผลิตสินค้าเองบางตัว เช่น แป้งควินนา แป้งเด็กเซนลุกซ์ แป้งตรางู เครื่องสำอางอาดอร่า และในยุคแรกนี้ก็ได้เริ่มมีการอิมพอร์ตยาจากเมืองนอกเข้ามาขายด้วย เช่น อีไล ลิลลี่ และบู๊ทส์ รวมทั้งเครื่องสำอางคริสเตียนดิออร์ เอลิซาเบธอาร์เดน

สินค้าหลายตัวเมื่ออาศัยห้างอังกฤษตรางู เป็นตัวแทนจำหน่ายจนเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในเมืองไทยแล้ว ก็ได้แยกตัวออกมาดำเนินการทางการตลาด และนั่นคือ ที่มาในการทำให้เกิดบริษัท แอล.พี.แสตนดาร์ด แลบบอราทอรีส์ขึ้น เพื่อผลิตสินค้าของตรางูอย่างเต็มที่ ในปี 2506 จนกระทั่งปัจจุบัน ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าจากต่างประเทศอีกต่อไป

หลังจากหมอล้วนถึงแก่กรรมในปี 2507 เพิ่มพูลผู้ภรรยา และลูกๆ ก็ได้ช่วยบริหารกิจการต่อมา โดยมีดร.บุญยง ว่องวานิช ลูกชายคนที่สอง เป็นผู้รับช่วงงานบริหารต่อไป และ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการที่ทำให้บริษัทได้ก้าวสู่ยุคทอง ในปี 2535 ซึ่งเป็นปีเดียวกับ ที่บริษัทได้ดำเนินกิจการมาครบ 100 ปี เป็นปีที่บริษัทได้จัดฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ท่ามกลางแขกเหรื่อระดับประเทศมากมาย

เป็นวันเดียวกับ ที่ ดร.บุญยง ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า จะค่อยๆ วางมือจากทางโลก และจะลาบวชตลอดชีวิตในเวลา อีก 3-4 ปีข้างหน้า

ในช่วงปีนั้น บริษัทอังกฤษตรางูได้ขยายกิจการจนรุ่งเรืองก้าวหน้ามีบริษัทต่างๆ ในเครือ ณ เวลานั้น ไม่ต่ำกว่า 17 บริษัท มีพนักงานในความดูแลกว่า 1,000 คนประกอบไปด้วย กลุ่มธุรกิจสำคัญ 4 กลุ่มใหญ่ โดยมีลูกๆ ทั้ง 4 คนแบ่งงานกันรับผิดชอบคือ ธุรกิจหลักยา และเครื่องสำอางมี ดร.อนุรุธ และดร.เพิ่มหญิง พี่ชายคนโต และน้องสาวคนเล็ก ที่อายุห่างกัน ประมาณ 4 ปี เป็นผู้รับผิดชอบ และช่วยกันบริหาร 2 กิจการทางด้านพัฒนา ที่ดิน และธุรกิจข้อมูลการบริการ มีล้วนชายลูกคนที่ 3 รับผิดชอบ ส่วนอัญญาลูกสาวคนโต และสามี กิตติพงษ์ เมธาธรรม จะดูแลเกี่ยวกับธุรกิจทางด้านอาหาร

ตึกว่องวานิช เอ และว่องวานิช บี อาคารสำนักงาน ที่โอ่อ่าทันสมัยบนถนนพระราม 9 สูง 22 ชั้น และ 35 ชั้น ฝีมือการบริหารของล้วนชาย คือ สถานที่ตั้งใหม่ของห้างอังกฤษ ตรางูในปีนั้น ยิ่งเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นปีทองของกลุ่มว่องวานิชให้ชัดเจนขึ้น ก่อน ที่จะได้ขายตึกว่องวานิช เอ ยกตึกให้กับกลุ่มวรสมบัติไปเพราะทนรับภาระดอกเบี้ยในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อปี 2540 ไม่ไหว

ในปี 2539 ดร.บุญยง ได้ตัดสินใจบวชตลอดชีวิตอย่างที่ตั้งใจไว้โดยมอบหมายให้อนุรุธ ลูกชายคนโต เป็นประธาน กรรมการบริหารคนต่อไป กิจการต่างๆ ที่กำลังก้าวหน้าในมือ ของผู้เป็นลูกเป็นเหตุสำคัญให้ผู้เป็นพ่อวางใจ

แต่หลังจากนั้น เพียงปีเดียวกระแสเศรษฐกิจโลกก็ เกิดวิกฤติตกต่ำอย่างหนัก คลื่นมรสุมลูกใหญ่ได้ถาโถมเข้าสู่บริษัทแห่งนี้ เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ เกือบทั่วโลก องค์กร ที่มีทั้งความ"ทันสมัย" และ"ความเก่าแก่" ผสมผสานกันอยู่อย่าง แยกไม่ออกนี้จึงเป็นที่น่าสนใจ ว่าจะวางกลเกมทางด้านธุรกิจ เพื่อความอยู่รอดได้อย่างไร

ผู้บริหารยุคใหม่ของตรางูนั้น ใช้ชีวิตในการศึกษามาจากต่างประเทศแต่มีวิถีชีวิตทางด้านการศึกษาธรรมะตั้งแต่เล็กๆอย่างน่าสนใจ และได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรทางด้านการปฏิบัติธรรม ที่ไม่เหมือนใคร (อ่านเรื่องเพิ่มในล้อมกรอบ) โดยเฉพาะอนุรุธนั้น ในทางธรรมคือ นายกยุวพุทธิกสมาคมแห่ง ประเทศไทยคนปัจจุบัน และดำรงตำแหน่งนี้มาแล้วถึง 11 ปี

"เกมธรรมะ" บอกว่าให้คน ลด ละ เลิก ให้ แต่ "เกมธุรกิจ" ต้องฉวยโอกาส ต้องเฉือนกำไรให้ได้มากที่สุด ไม่ควรมีธรรมะมาเกี่ยวข้อง แน่นอน ณ เวลานี้ผู้บริหารรุ่นใหม่ ของอังกฤษตรางูจำเป็นต้องใส่หมวก 2 ใบ

"เรื่องธรรมะเป็นเป็นเรื่อง ที่ต้องซื่อสัตย์ซื่อตรงการทำธุรกิจของบริษัท ที่ใช้ธรรมะนำมาตลอดก็ต้องมีเทคนิค แต่เป็นเทคนิคในการต่อรอง ขอร้อง ไม่ใช่เทคนิคของการฉ้อโกง ในขณะที่เราต้องทำอะไร เพื่อเห็นแก่ส่วนรวม เราต้องเห็นแก่ส่วนตนด้วยเช่นกันเพราะเรายังมีตัวตน" อนุรุธได้ยืนยันแนวคิดในการทำงานกับ"ผู้จัดการ"

ภาวะวิกฤติ ที่เกิดขึ้น คือ ที่มาของเกมการตลาดที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง และคือ ที่มาของการผ่าตัดองค์กรครั้งใหญ่ในบริษัทอังกฤษตรางู เพื่อจะสลัดภาพเก่าแก่ขององค์กรครอบครัว ที่อาจจะมีความเชื่องช้าในการทำงานพร้อมๆ กับการหาจุดยืน ที่ชัดเจนจึงเกิดขึ้น

อังกฤษตรางูเลือกใช้หนทางเดิม ที่มั่นคงมากว่า 100 ปี คือ ธุรกิจทางด้านสุขภาพ ซึ่งยา และ แป้งเป็นสินค้าหลักในขณะเดียวกันก็เริ่มงานใหม่โดยการส่งเสริมอาหารทางด้านสมุนไพร เครื่องสำอาง ที่มาจากสมุนไพร และอาหารเสริม เพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นทิศทางของกลุ่ม ที่จะขยายตัวออกไปในธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องกัน

อนุรุธได้อธิบาย ที่มาของความคิดนี้ว่า ปัจจุบันพฤติกรรมของคนได้เปลี่ยนไป ต่อไปคนจะดูแลตัวเองมากขึ้น เมื่อคนสุขภาพดีขึ้นก็จะส่งผลให้ยาขายได้น้อยลง สินค้าใหม่ ที่เกิดขึ้นจึงครอบคลุมในเรื่องสุขภาพทั้งหมดโดยเน้นไป ที่สินค้าสมุนไพร

"สมุนไพร" เป็นสินค้า ที่กำลังบูมอย่างมากๆ ตัวหนึ่ง ในปัจจุบันรัฐบาลเองก็ได้มีการส่งเสริมให้มีการผลิตยาสมุนไพร ทดแทนยานำเข้าบางประเภท มันจึงไม่ได้เป็นเพียงกระแสอย่างเดียว แต่มันมีความเป็นไปได้ แม้จะต้องใช้เวลา และ ปัจจุบันนี้มีผู้ผลิตยาสมุนไพรใหญ่ๆ หลายบริษัท รวมทั้งบริษัทสมุนไพรไทย ซึ่งเป็นบริษัท ที่มีองค์การเภสัชกรรมถือหุ้นใหญ่รวมอยู่ด้วย

จุดเด่นของอังกฤษตรางูก็คือ มีฐานทางด้านการทำวิจัย และฐานของการผลิต ที่มีอยู่แล้วเป็นการทำงานในสิ่งที่ชำนาญ และมีพื้นฐานดั้งเดิมแต่ทำให้มูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยใช้บริษัทอังกฤษตรางูเป็นฐานในการก้าว

ดังนั้น "ฟ้าทะลายโจร" แก้แพ้อากาศ แก้ร้อนใน แก้ต่อมทอมซิลอักเสบ "ขมิ้นชัน" แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ "อินทนิล" แก้เบาหวาน บัวบกบำรุงหัวใจ และสมุนไพร อีกหลายๆ ตัว ได้ถูกปรับรูปแบบเป็นแคปซูลให้รับประทานง่ายขึ้น และในแพ็กเกจ ที่ดูสวยงามทันสมัย และน่าเชื่อถือ ก็เลยเกิดขึ้น

จุดหนึ่ง ที่น่าสนใจคือ อังกฤษตรางู ไม่ได้เน้นสมุนไพรไทยอย่างเดียว จะเห็นได้จากสินค้าหลายตัวของ บริษัทเพอร์ เฟคเฮลธ์ โซลูชั่น ซึ่งเป็นบริษัทน้องใหม่ล่าสุดในเครืออังกฤษตรางูได้เกิดขึ้น เมื่อปี 2541 โดยมีล้วนชาย เป็นผู้รับผิดชอบ นั้น ได้มีการซื้อสารสกัดตัวสำคัญจากเมืองนอกแล้วนำมาผลิตในโรงงาน ที่ทันสมัยของบริษัทอังกฤษตรางู

"เราปฏิเสธสินค้าจากต่างประเทศไม่ได้ เพราะต้องยอมรับเหมือนกันว่าผลงานทางด้านวิจัยของเขาดีมาก และยังมี ระบบการผลิตจากเทคโนโลยี ที่ทันสมัย และผมก็เชื่อมั่นว่าคนไทยอีกจำนวนมาก ที่ยังยึดติดกับสินค้าจากต่างประเทศ" ล้วนชายอธิบายถึงความจำเป็นของการเป็นลูกผสมของบริษัท

ดังนั้น ช่องทางของบริษัทใหม่นี้จึงมี 2 อย่าง คือ 1. ปลุกปั้นสินค้าไทยออกนอก 2. สั่งสินค้านอกมาขายในไทยเพียงแต่สินค้าดังกล่าวจะถูกสั่งเข้ามาในลักษณะของสารสกัดตัว ที่สกัด

เครื่องสำอาง "อาดอร่า" เครื่องสำอางดั้งเดิมเมื่อสมัย 30 ปีที่แล้ว ที่เอามาปัดฝุ่นใหม่ เป็นอาดอร่า ภาค 2 สินค้าหลัก ตัวหนึ่งของเพอร์เฟคเฮลธ์ ซึ่งใช้สารสกัดจากถั่วเหลืองในประเทศ แต่สารประกอบ ที่สำคัญ เช่น แนชเชอรัล ซันบล็อค ก็ใช้ผลงานการวิจัยจากประเทศฝรั่งเศส และเอาสารนี้มาจาก ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ผสมกัน

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร "Genista" ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมตัวใหม่ ซึ่งมีโปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง สารสกัดจากเมล็ดองุ่น และโคเอ็นไซม์คิวเท็น ก็ได้มีการซื้อสารสกัดบางตัวสำคัญ จากต่างประเทศเข้ามาเช่นกัน

สินค้าทางด้านสมุนไพรของบริษัทแม่ และบริษัทลูกได้ถูกแยกไว้ค่อนข้างชัดเจนว่าบริษัทแม่จะผลิตในส่วนของยา ส่วนบริษัทลูกจะผลิตในส่วนของอาหารเสริม และเครื่องสำอาง

ในยุคที่มีการแข่งขันสูง เพอร์เฟ็คเฮลธ์จึงเปรียบเสมือนพาหนะใหม่ ที่เร็ว และมีประสิทธิภาพแรงด้วยแรงส่งจากบริษัทแม่ทั้ง 2 บริษัทนี้มีหน่วยงาน ที่เกื้อกูล ซึ่งกัน ไม่ใช่โมเดลบริษัท ใครบริษัทมันอีกต่อไป

"เป็นส่วนหนึ่งของอังกฤษตรางู แต่แทน ที่จะฝังใน เรา ก็แยกออกมา เพื่อให้การบริหารเกิดความคล่องตัว และความเป็นอิสระมากขึ้น เกิดความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น แต่ทุกอย่าง ยังอยู่ในความควบคุมดูแล และความช่วยเหลือจากบริษัทแม่" ล้วนชายอธิบาย

จะว่าไปแล้วล้วนชายไม่น่าจะถนัดกับเรื่องสินค้าของความสวยงาม เพราะมันเป็นประสบการณ์ ที่แตกต่างจากธุรกิจเดิม ที่เขาเคยรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง ล้วนชายจบปริญญาโทจากอเมริกา และเรียนต่อทางด้านพัฒนา ที่ดิน ดังนั้น งาน ที่เขาได้รับมอบหมายหลังจากเรียนจบมาคือ การพัฒนา ที่ดินของตระกูล ที่ ดร.บุญยง ซื้อเก็บไว้มากมายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ก่อนเกิดปัญหาทางด้านการเงินของประเทศ ล้วนชายได้ขยายเครือข่ายงานทางด้านพัฒนา ที่ดินออกไปหลายบริษัท โดยเฉพาะบริษัท วี.อินเตอร์เนชั่นแนล พร็อบเพอร์ตี้ ซึ่งพัฒนาตึกว่องวานิช เอ และบี ซึ่งต้องใช้เงินกู้ต่างประเทศจำนวนมาก จนทำให้ประสบปัญหาอย่างหนักในช่วงเงินบาทลอยตัว ขณะนี้บริษัทอยู่ในระหว่างการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ กับทางธนาคาร และเชื่อว่าคงอีกนานกว่ากลุ่มว่องวานิชจะลงมา ลุยงานทางด้านอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง

"ผมทำอะไรก็ได้ แล้วชอบคิดค้นงานใหม่ๆ" ล้วนชาย กล่าว ในบรรดาพี่น้องสี่คนล้วนชายเป็นจอมโปรเจกต์มากกว่าใคร นอกจากโปรเจกต์พัฒนา ที่ดินโครงการต่างๆ แล้ว ล้วนชายยังเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัท พี.ดี.เอส.เอ็น. (Pacific Data System Network) เมื่อปี 2535 เพื่อขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจการค้าข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยร่วมลงทุนกับกลุ่มบริษัท เอพีดาวโจนส์เทเลเลท สร้างเครือข่ายระบบขายข่าว และข้อมูลทางเศรษฐกิจการค้าผ่านคอมพิวเตอร์ และดาวเทียม แต่ในที่สุดก็ต้องหยุดไป

ความเป็นคนกล้าคิด กล้าริเริ่มในสิ่งใหม่ๆ อาจจะเป็นส่วนผสม ที่ลงตัวของล้วนชาย ที่ทำให้เขาเหมาะกับงานใหม่นี้ เพอร์เฟคเฮลธ์ เป็นบริษัทแรกในความรับผิดชอบของเขา ที่อยู่ในสายธุรกิจดั้งเดิมของบริษัทแม่ดังนั้น จึงเป็นโครงการที่ค่อนข้างมีทิศทางแน่นอน มีชื่อของอังกฤษตรางูเป็นแบ็กอัพที่ดีคอยให้ข้อมูลช่วยเหลือ มีโรงงานผลิต มีเทคโนโลยีของบริษัทแม่ และมีสายสัมพันธ์ที่ดีทางด้านการตลาด ทุกอย่างมันน่าจะง่ายกว่าธุรกิจ ที่เริ่มใหม่

ช่วงเวลา ที่ผ่านมา 2 ปี บทสรุปอย่างหนึ่ง ที่ล้วนชายได้มาก็คือ แม้จะมี "สูตรสำเร็จ" ข้างต้น แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ของการทำตลาด เช่นกัน เพราะตลาดใหม่นี้กำลังมีคู่แข่งมากมายทั้งสินค้าในประเทศเอง และสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ที่สำคัญตลาดของเฮลธ์โปรดักส์เป็นตลาดที่ไม่ยั่งยืน คือ เป็นตลาดที่สินค้าตัวหนึ่งๆ ติดลมบนได้ไม่เกิน 2 ปี ถ้าจะอยู่ในตลาดนี้ก็จำเป็นต้องคิดค้นสินค้าใหม่ๆ ตลอดเวลาเพราะเทคโนโลยีสามารถพัฒนาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคเช่นกัน ดังนั้น หากเพอร์เฟคเฮลธ์ "ไม่เร็ว" และ"ไว" พอก็มีสิทธิ์พลาดได้เช่นกัน

ถึงจะเป็นบริษัทเล็กๆ ที่ล้วนชายย้ำว่ามีความคล่องตัวสูง แต่ดูราวกับว่าครั้งนี้เขาก้าวย่างอย่างระมัดระวังขึ้น สินค้าใน เพอร์เฟคเฮลธ์ ทุกตัวไม่มีการทุ่มโฆษณาอย่างดุเดือด เพื่อช่วง ชิงความเป็นเจ้าตลาด แต่ถูกวางแผนให้ใช้ช่องทางการขายตรงเป็นหลัก ด้วยการผ่านทางไดเร็กต์เมล ไดเร็กต์ทีวี รวมทั้งวางขายในร้านค้าเฉพาะ มันอาจทำตลาดได้ช้า แต่ล้วนชายยืนยันว่ามันได้ผลที่แน่นอนกว่า และเมื่อสินค้าตัวใด ที่มีความเป็นไปได้สูงช่องทางในการโฆษณาในสื่อต่างๆ ก็จะตามมาเอง

"ต้องยอมรับว่าเรากำลังเข้าไปยังพื้นที่ใหม่ๆ ก็เท่ากับว่า เรายังเป็นน้องใหม่ น้องใหม่ ที่มีแต่ค่าใช้จ่าย ดังนั้น 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วง ที่เราต้องสร้างฐานให้มั่นคง ไม่ใช่เวลา ที่ต้องกอบโกยกำไร มันจำเป็นจะต้องไป และผมจำเป็นจะต้องมีหน้าที่ บุกทะลวง เพื่อวางตัวอยู่ในตลาดนี้ให้ได้ โดยในช่วงต้นไม่คำนึงถึงกำไร" ล้วนชายกล่าวยอมรับถึงสภาพปัจจุบัน

ในขณะที่สินค้าใหม่กำลังรอเวลา สินค้าเก่าภายใต้ แบรนด์เดิมก็มีการพัฒนาสินค้าตัวใหม่ๆ ขึ้นมา เพื่อขยายฐาน ลูกค้ารวมทั้งมีการเตรียมปรับแพ็กเกจจิ้งสินค้าในกลุ่มยาครั้งใหญ่ให้มีรูปแบบ ที่ทันสมัยมากขึ้น

ทางด้านฝั่งแป้ง ซึ่งเป็นเรื่องของสุขอนามัยนั้น ก็ได้มีการหาช่องทางการตลาดใหม่ๆ ด้วยการพัฒนาสินค้าตัวใหม่ขึ้นมาตลอดเวลาเช่นกัน เพื่อรองรับคนทุกระดับอายุ เช่น แป้ง เย็นนิวชอยซ์ เพื่อเจาะตลาดวัยรุ่น และคนรุ่นใหม่ แป้งสำหรับตลาดเด็ก อย่างเช่น แป้งเด็กเซนลุกซ์ หรือสินค้าใหม่ เช่น สบู่เย็นตรางู และยาสระผม

รูปแบบ ที่สวยงามคือ โจทย์สำคัญเรื่องหนึ่ง ที่ผู้บริหารรุ่นนี้ให้ความสำคัญในการปรับเปลี่ยน ในเร็วๆ นี้ สินค้าของอังกฤษตรางู บางส่วนจะอวดโฉมใหม่ ตามแนวความคิดการดีไซน์ของ ม.ล.จิราธร จิรประวัติ

"เราคงค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของสินค้า จะทำทีเดียวคงไม่ได้" อย่างไรก็ตามอนุรุธยืนยันว่าสินค้าบางตัวจะให้คงอยู่อย่างคลาสสิกในรูปแบบเดิมโดยเฉพาะแป้งตรางู

"นอกจากจะยังเป็นตำรับเดิมแล้วปู่ผมทำมาผมไม่เปลี่ยนหรอก อาจจะเปลี่ยนสูตรบ้าง แต่รูปแบบกระป๋องแป้งตรางูจะพยายามให้เป็นสินค้า ที่คลาสสิก ส่วนของใหม่จะปรับปรุงให้สีสวย รูปทรงแปลกใหม่อย่างไรก็ได้" อนุรุธกล่าว

แป้งเย็นตรางูได้มีการทำสำรวจวิจัยมาแล้วหลายครั้ง และได้พบว่ามีกลุ่มลูกค้ากลุ่มหนึ่ง ที่ยังนิยมอย่างเหนียวแน่น แล้วยังมียอดขายในระดับ ที่น่าพอใจ ส่วนสินค้าตัวอื่นๆ ที่ทำรายได้หลักก็คือ ยาแก้ไข้ แก้ไอ แก้หวัดเด็กตรางู ชุดเด็กตรางู ยาแก้ไอน้ำดำตรางู

ปัจจุบันสินค้าประเภทยาบริษัทยังได้มอบหมายให้บริษัทซิลลิค ฟาร์มาซี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัท ที่มีฐานตลาดค่อนข้างใหญ่ และกระจายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นตัวแทน จำหน่ายในขณะที่ฝั่งแป้ง ยังเป็นผู้แทนจำหน่ายเองทั้งหมดเช่นเดิม

ในขณะที่ล้วนชายดูแลหนักไปเรื่องนโยบาย และการบริหาร ดร.เพิ่มหญิง น้องสาวคนสุดท้อง ซึ่งจบทางด้านเภสัช กรรมจากมหาวิทยาลัยในแคลิฟอร์เนียได้มาเป็นผู้ช่วยดูแลในเรื่องของโรงงาน และการผลิต ดร.เพิ่มหญิง เป็นทายาทคนเดียวของ ดร.บุญยง ที่เรียนจบมาทางด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งตรง กับความต้องการของเขาอย่างมาก และเคยได้กล่าวถึงไว้ว่า "ลูกสาวคนนี้อยู่เมืองนอกถึง 14 ปี จึงมีนิสัยค่อนข้างจะเป็นชาวอเมริกันมากกว่า ที่เป็นคนไทย เป็นเด็ก ที่เรียนเก่ง พูดเก่ง"

ดร.เพิ่มหญิงได้กลับมาช่วยพี่ชายดูแลเรื่องการผลิต และดูโรงงาน ตั้งแต่ปี 2533 เธอจะทำงานครบ 10 ปีพอดีในปีนี้ เป็นว่องวานิชอีกคนหนึ่ง ที่กำลังเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และหยั่งรากลึกลงไปในธุรกิจ เพื่อช่วยกันสร้างความแข็งแรงให้เกิดขึ้น

ในปี 2532 บริษัทได้รับหนังสือรับรองมาตรฐานการผลิต GMP จากกระทรวงสาธารณสุข และในปี 2542 บริษัทได้หนังสือรับรอง GMP ครบ 6 หมวด คือ ยาน้ำ ยาเม็ด แคปซูล ยาผง ยาครีม และยาปราศจากเชื้อ และในปีเดียวกัน ก็ได้รับการรับรองระบบมาตรฐานคุณภาพ ISO 9002 และระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001

ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตในกลุ่มผลิตภัณฑ์แป้งโดยรวมเต็มที่ประมาณ 4,000 ตันต่อปี ซึ่งบริษัทสามารถผลิต ขณะนี้ประมาณ 3,000 ตันต่อปี กำลังการผลิต ที่เหลืออีก 1,000 ตัน บริษัทได้ทำในรูปของการรับจ้างผลิตให้กับบริษัทต่างๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ที่เข้ามาว่าจ้างผลิต เช่นมาเลเซีย และอินเดีย ซึ่งจะผลิตภายใต้แบรนด์ของประเทศนั้น ๆ

ตลอดเวลา ที่ผ่านมา เพราะความมั่นใจในคุณภาพ และ ชื่อเสียง ที่ได้สะสมมายาวนาน ทำให้อังกฤษตรางูไม่มีการทุ่ม งบประมาณทางด้านการประชาสัมพันธ์ จะมีบ้างก็เพียงในช่วงหน้าร้อนเท่านั้น ที่มีแผนงานประชาสัมพันธ์ออกมาบ้าง ซึ่งกลายเป็นจุดที่หลายคนมองว่าผู้บริหารรุ่นนี้ยังขาดความกล้าอีกมาก

"บางคนยังสับสนว่า เราเป็นบริษัท ที่ผลิตยาหรือแป้งกันแน่ เพราะเราไม่เคยออกมาพูดให้ชัดเจนว่าจริงๆ แล้วเราขายผลิตภัณฑ์ทางด้านสุขภาพ" ดร.เพิ่มหญิงกล่าวให้ความเห็น

ดังนั้น ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่ง ที่ค่อยๆ เกิดขึ้นในองค์กรแห่งนี้ก็คือ จะเป็นปีแรก ที่มีการทุ่มเม็ดเงินถึง 50 ล้านบาท เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ตัวองค์กรเอง และผลิตภัณฑ์ทุกตัว โดยมีลีโอเบอร์เนทท์เอเยนซีรายใหญ่เป็นผู้รับผิดชอบในการรังสรรค์ภาพลักษณ์ใหม่ของอังกฤษตรางู

ปัจจุบัน อังกฤษตรางูมียอดขายประมาณ 700 ล้านบาทต่อปี สัดส่วนรายได้ 35 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นรายได้จากการขายยา อีก 65 เปอร์เซ็นต์ คือ รายได้ ที่มาจากทางฝั่งของ แป้งในปีนี้ได้มีการตั้งเป้าไว้ว่า 5 ปีจากนี้ไป ยอดขายจะต้องทะลุ 1,500 ล้านบาท ตลาดต่างประเทศจึงเป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่ช่วยดันยอดขายให้เพิ่มขึ้น ตลอดเวลา ที่ผ่านมา ยอดขายในต่างประเทศเพียง 10% เท่านั้น แต่ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 15% ด้วยการวางแผนที่จะเปิดตลาดใหม่ ในอินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินเดีย และจีน โดยได้มีการเซ็นสัญญาตั้งตัวแทนจำหน่าย ที่เวียดนามในช่วงเดือนที่ผ่านมา

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นอกจากวางแผนรุกหนักทาง ด้านผลิตภัณฑ์แล้ว ผู้บริหารก็ยังต้องรับศึกหนักในการปรับโครงสร้างใหม่ ซึ่งอนุรุธได้กล่าวกับผู้ใกล้ชิดในช่วงเวลานั้น ว่า การลดคนเป็นงานหนักเรื่องหนึ่งในชีวิต เพราะ ที่ผ่านมาจะใช้ "ใจ" อย่างเดียวในการบริหาร "คน" แต่กลับต้องมาใช้ "สมอง" มากขึ้น เพื่อความอยู่รอดขององค์กร

บริษัท ที่มีอายุยาวนานมาถึง 108 ปีย่อมมีโครงสร้าง บริษัท และพนักงานจำนวนมาก การปรับลดพนักงานลงเหลือ เพียง 400 กว่าคน จากประมาณ 1 พันคน พนักงานหลายคนจำเป็นต้องให้ออกไปหรือโยกย้ายหน้าที่ ที่ยังอยู่ก็ต้องเปลี่ยน แปลงพฤติกรรมตัวเองจากเดิม มีการปรับโครงสร้างของบริษัทใหม่เหลือเพียงแต่บริษัทหลักๆ เท่านั้น เช่น บริษัทห้างขายยาอังกฤษ (ตรางู) จำกัด ในส่วนของธุรกิจค้าส่งได้รวมกับบริษัท แอล.พี. แสตนดาร์ดแลบบอราทอรีส์ จำกัด ภายใต้ชื่อใหม่ว่าบริษัทอังกฤษตรางู (แอล.พี.) จำกัด (ดูตารางประกอบ)

พร้อมๆ กันนั้น ก็ได้มีการรับพนักงานใหม่มาทดแทนคนเดิม ที่ออกไปในส่วนงาน ที่สำคัญ เช่น ฝ่ายตลาด ฝ่ายวิจัย ฝ่ายตรวจสอบคุณภาพ รวมทั้งเกิดหน่วยงานใหม่คือ สายแผนงาน และพัฒนาธุรกิจ ดูในเรื่องการค้าระบบใหม่ ขายผ่าน อินเทอร์เน็ต มีเชาว์ อ่อนละมัย เป็นผู้รับผิดชอบ ทวิช เกียรติ วรางกูล ก็เป็นมืออาชีพอีกคนหนึ่ง ที่ได้เข้ามาปรับระบบต่างๆ ในสายการผลิตให้คล่องตัวมากขึ้น

ในขณะที่อังกฤษตรางูต้องการภาพลักษณ์ใหม่ให้เป็นคนรุ่นใหม่ ที่กระฉับกระเฉงมากขึ้น ด้วยการจัดอบรมในหลักสูตรทางด้านวิชาการทั้งปี เช่น QC-circle Productivity QC Performance evaluation แต่สายงานหนึ่ง ที่ยังคงอยู่เช่นกันคือ "แผนกพัฒนาจิตใจ" ซึ่งมีพจนา ประกาศเวชกิจ ลูกน้องเก่าแก่กว่า 30 ปีของบริษัทนี้เป็นคนดูแล โดยขึ้นอยู่กับสำนักประธาน ที่มีอนุรุธควบคุมใกล้ชิด

หน้าที่หลักของฝ่ายนี้ก็คือ จัดอบรมปฏิบัติธรรมตลอด ทั้งปีที่ธรรมสถานว่องวานิช ซึ่งพนักงานสามารถเข้าร่วมได้ โดย บริษัทไม่ถือว่าเป็นการขาดงานแต่อย่างใด เช่น ในวันที่ 21-24 มิถุนายน 2543 มีโครงการฝึกวิปัสสนากรรมฐานเบื้องต้น โดย พระครูเกษมธรรมทัติ วัดมเหยงคณ์ อยุธยา วันที่ 7-10 กันยายน 2543 หัวข้อ "เจริญสติ เพื่อพัฒนาตน และพัฒนางาน" โดย รศ.จำเนียร ช่วงโชติ วันที่ 22-24 พฤศจิกายน 2543 โครงการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน โดยพระครูภาวนานุกูล วัดอัมพวัน สิงห์บุรี

ปรากฏการณ์เหล่านี้ อาจจะยืนยันได้ว่าเป็นวัฒนธรรม องค์กร ที่มีเพียงแห่งเดียวในเมืองไทยเช่นเดียวกับสมัยหนึ่ง บริษัทแปลนเอสเตท ได้จัดออกค่ายทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับชาวบ้านในขณะที่การแข่งขันทางเรียลเอสเตทกำลังรุนแรง และธีพล นิยม กรรมการผู้จัดการก็เคยยอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่า พนักงานบางคนรับไม่ได้

แต่ดูเหมือนอังกฤษตรางูมีเจตนารมณ์แน่วแน่ ที่จะผสมผสานวัฒนธรรมในการทำงานทั้ง 2 อย่างนี้ให้ไปด้วยกัน

วันนี้การจัดทัพภายในเสร็จสรรพ แนวทางรบใหม่กำลังเดินเครื่อง และรอจังหวะในการพุ่งทะยาน แต่จะมี ความสำเร็จเพียงไร แค่ไหน 4 พี่น้องคงต้องรวมพลังกันอย่างที่สุด



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.