กว่าจะพ้นหุบเหวแห่งวิกฤต IRI


นิตยสารผู้จัดการ( เมษายน 2532)



กลับสู่หน้าหลัก

กาลครั้งหนึ่ง…รัฐวิสาหกิจ ISTITUTO PER LA RICOSTRUZIONE INDUSTRIALE หรือ ไออาร์ไอ ของอิตาลี ได้ชื่อว่า ผลิตสินค้าตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ คือ ไล่ดะไปแล้วเกือบครบทุกประเภทสินค้า ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ซอสมะเขือเทศ ถนนแบบเก็บค่าผ่านทาง รายการทีวี เรือเหล็กกล้า เครื่องป้องกันขโมย จรวดแบบยิงจากอากาศสู่อากาศ ฯลฯ

มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นที่ไออาร์ไอทำไม่ได้…เงิน !

แต่บริษัทยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของอิตาลี เริ่มพลิกสถานการณ์ขึ้นมาทำกำไรได้ยุคอยู่ภายใต้การบริหารของ "โรมาโน โพรดิ" ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านบรรษัทอุตสาหกรรม จากที่เคยขาดทุนปีละกว่า 7,000 ล้านลีร์ ช่วงปี 1982 - 1985 ก็ลกับมามีกำไรกว่า 300,000 ล้านลีร์ในปี 1986 และนับเป็นการทำกำไรครั้งแรกนับจากปี 1973 เป็นต้นมาด้วย

ต่อไปนี้ จึงเป็นเรื่องราวที่เขียนโดยศาสตราจารย์โพรดิ กล่าวถึงข้อเท็จจริงและเหตุการณ์ที่เป็นสาเหตุแห่งความล้มเหลวของไออาร์ไอ ตามด้วยยุทธวิธีที่เขานำมาฟื้นฟูกิจการไออาร์ไอในช่วงปลายทศวรรษ 1980 จนพ้นจากภาวะขาดทุนมาได้

วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจปี 1929 ส่งผลกระทบรุนแรงมากต่อระบบการธนาคารอิตาเลียน ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญควบคุมอุตสาหกรรมของประเทศทั้งระบบอีกต่อหนึ่ง

หลังจากรัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือการธนาคารทั้งระบบแล้ว 4 ปีเต็ม เบนิโต มุสโสลินี ผู้นำจอมเผด็จการยุคนั้นก็ก่อตั้งไออาร์ไอขึ้นเมื่อปี 1933 เพื่อเข้ามารับผิดชอบภาระหนี้ของแบงก์ไว้ทั้หงมด ไออาร์ไอจึงมีสภาพเป็นโฮลดิ้งคัมปะนีของรัฐที่ควบคุมทั้งระบบแบงก์ อุตสาหกรรม และบริการ รวมทั้งเชื่อมประสานอำนาจและอิทธิพลเข้าด้วยกัน

อัลเบอร์โต เบเนดิวซ์ ประธานคนแรกของไออาร์ไอดูเหมือนจะรู้ซื้อถึงความจำเป็นในการก่อตั้งบริษัทนี้ดีว่า ต้องการใช้เป็นเครื่องมือเข้าแทรกแซงกิจการของรัฐที่ยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ ทำให้ไออาร์ไอเป็นองค์กรแปลกกว่าชาวบ้าน คือ เป็นทั้งโฮลดิ้งคัมปะนี และรัฐวิสาหกิจ แต่บริหารและควบคุมภายใต้กรอบของกฎหมายเอกชน

ลักษณะการผสมผสานภาครัฐ-เอกชนเข้าด้วยกันนี้ เพื่อให้ผู้บริหารมีอิสระเต็มที่ในการดำเนินงาน คือ เมื่ออยู่ในตลาดที่มีสภาพการแข่งขันสูงก็กระโจนลงต่อกรได้เต็มที่ หรือเมื่อตลาดมีสภาพผูกขาดโดยธรรมชาติก็ยังต้องดำเนินงานด้วยประสิทธิภาพและเพื่อผลกำไร เพราะยังมีนักลงทุนภาคเอกชนเป็นผู้ถือหุ้นค้ำคออยู่ พวกเขาล้วนมีสิทธิเต็มในเงินปันผลของบริษัท

ระหว่างไม่กี่ปีแรกหลังการก่อตั้ง คือ 1933 - 1936 ไออาร์ไอเข้าไปมีส่วนในกิจกรรมทางธุรกิจทุกอย่างที่อยู่ในความควบคุม แต่พอถึงปี 1936 ที่มีการประกาศใช้กฎหมายการธนาคารฉบับใหม่ กิจการแบงก์ถูกลดบทบาทลงเหลือแค่มีหน้าที่ปล่อยสินเชื่อตามปกติเท่านั้น

แต่หลังปี 1945 ไออาร์ไอเข้าไปมีบทบาทสำคัญในงานปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมหลังสงครามโลกด้วยการติดตั้งระบบโทรศัพท์แห่งชาติ ตั้งสถานีโทรทัศน์ของรัฐ ก่อตั้งสายการบินแห่งชาติ (ปี 1957) ควบคุมการสร้างเครือข่ายทางหลวงแบบเก็บค่าผ่านทาง (ปี 1961) รวมทั้งพัฒนาอุตสาหกรรมเดินเรือและเหล็กกล้าของอิตาลี

เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่ออิตาลีทั้งประเทศอีกครั้งในปี 1974 ไออาร์ไอต้องเข้ามามีบทบาทอีกในฐานะสถาบันที่มีหน้าที่โอบอุ้มและกู้สถานการณ์ให้กิจการที่ประสบปัญหามากมาย ทำให้ไออาร์ไอเองมียอดขาดทุนบานเบอะ จากที่ต้องเข้าไปโอบอุ้มกิจการมีปัญหาหลายแห่งเอาไว้ เพื่อช่วยพยุงให้ชาวอิตาลเยนมีงานทำกันต่อไป

ต้นทศวรรษ 1980 ไออาร์ไอจึงกลายสภาพเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดของประเทศ มีกิจการในเครือถึง 1,000 บริษัท รวมทั้งบริษัทผลิตเหล็กกล้ายักษ์ใหญ่หมายเลข 1 ของยุโรป กิจการแบงก์ราว 1 ใน 5 ของทั้งประเทศ สถานีโทรทัศน์ของรัฐ บริษัทผลิตรถอัลฟ่า โรมิโอ สายการบินแห่งชาติอลิทาเลีย และกิจการอาหารแปรรูปที่มีกำลังผลิตรวมกันได้ 20% ของกำลังผลิตทั้งประเทศ จึงมีพนักงานในความควบคุมถึง 535,000 คน หรือกว่า 3% ของการจ้างงานทั้งประเทศ

ทั้ง ๆ ที่เป็นเจ้าของสินทรัพย์มหึมาอย่างนี้ ไออาร์ไอกลับมียอดขาดทุนสุทธิสูงถึง 8% ของยอดขายรวมยอดหนี้ที่สร้างขึ้นมาก็สูงกว่ายอดขายประจำ คือ สูงถึง 27,000,000 ล้านลีร์ ไออาร์ไอมีความจำเป็นต้องขอสินเชื่อสุทธิคิดเป็น 12% ของสินเชื่อทั้งระบบที่ปล่อยให้ลูกหนี้รายย่อยและภาคธุรกิจ

สมมุติว่า ไออาร์ไอล้มครืนลง เศรษฐกิจของอิตาลีจะมีสภาพอย่างไร ?

ผมจึงรับงานอันหนักอึ้ง คือ พยายามฉุดดึงให้ไออาร์ไอพ้นขึ้นมาจากปากเหวแห่งวิกฤตตั้งแต่ปี 1981 หลังจากนี้ 2 ปี ผมใช้แผนฟื้นฟูกิจการ 5 ปีพร้อมคำขวัญว่า "กิจการต้องอยู่ในสภาพแข่งขันได้" แล้วเริ่มหานักบริหารจากบริษัทเอกชนเข้ามาแทนพวกอยู่ก่อนที่ได้รับแต่งตั้งเข้ามา เพราะการเมืองและใช้มาตรการปลดพนักงานส่วนเกินออก จนถึงทุกวันนี้ ไออาร์ไอมีสต๊าฟน้อยลงถึง 60,000 คน แต่ก็ยังรั้งตำแหน่งบริษัทที่มีพนักงานมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากเจเนอรัล มอเตอร์ของอเมริกาอยู่ดี

พนักงานระดับบริหารที่จะร่วมงานกับผมได้ต้องยอมเดินตามนโยบายที่ผมวางไว้ ไม่งั้นก็ต้องลาออกเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทน กรณีนี้มีถึง 70% ของผู้บริหารทั้งหมดที่ไม่ได้มาตรฐานของผม จากนั้นผมก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในหมู่นักการเมืองอิตาเลียน เมื่อเริ่มมาตรการแบ่งขายสินทรัพย์ของไออาร์ไอ และเป็นช่วงที่ยุโรปทั้งทวีปกำลังเห่อการแปรรูปรัฐวิสาหกิจพอดี

มาถึงตอนนี้ เมื่อแผนฟื้นฟูกิจการ 5 ปีของไออาร์ไอสิ้นสุดลงก็เห็นผลทันตา เมื่อกิจการก้าวสู่จุดคุ้มทุน โดยไออาร์ไอ ทำยอดขายรวมปี 1986 ราว 47,600,000 ล้านลีร์ เทียบกับ 32,900,000 ล้านลีร์ในปี 1982 ทำให้ติดอันดับบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับ 14 ของโลก และติดอันดับ 3 ในบรรดาบริษัทที่ไม่ใช่อเมริกัน นอกจากนี้ ภาระหนี้ที่เคยสูงถึง 16% ของยอดขายรวมเมื่อปี 1982 ก็ยังสามารถลดลงครึ่งหนึ่งในปัจจุบัน ที่สำคัญสถานการณ์ทุกอย่างกำลังกระเตื้องขึ้นเรื่อย ๆ

ไอออาร์ไอทุกวันนี้ยังความเป็นองค์กรซับซ้อนที่มีลักษณะเป็นโฮลดิ้งคัมปะนีอยู่ตรงศูนย์กลาง แล้วควบคุมแบงก์ต่าง ๆ อาทิ แบงก้า คอมเมอร์เชียลี่ อิทาเลียน่า, เครดิโต อิทาเลียโน, แบงกโก ดิ โรมา, แบงโก เดอ ซานโต สปิริโต, เมดิโอเบงก้า นอกจากนี้ ยังมีกิจการที่ถือหุ้นใหญ่ เช่น ฟินเมคคานิก้า, สเตท, ฟินซิเออร์, อิตัลสตัท, ฟินแคนทิเอรี่, ฟินมารี่, ฟินซีล และสายการบินอลิทาเลีย ซึ่งถ้ามองในแง่การบริหารแล้ว ครอบคลุมอุตสาหกรรม 3 แขนงด้วยกัน คือ บริการ, การผลิต และวิศวกรรม

หรือถ้ามองในแง่ความครอบคลุมของบริการที่บริษัทในเครือไออาร์ไอมีอยู่จะเห็นเด่นชัดว่า "เอสไอพี" คุมด้านโทรคมนาคมของอิตาลี 82%, "อลิทาเลีย" คุมด้านการจราจรทางอากาศ 91%, "ฟินมารี" คุมการขนส่งทางน้ำ 21% และ "ออโตส์เทรด" คุมธุรกิจทางหลวง 45%

หรือมองในแง่การผลิตแล้ว "ฟินซิเดอร์" สร้างผลผลิตเหล็กกล้าได้ 55% ของทั้งประเทศ, "ฟินเคนทิเอรี่" คุมอุตสาหกรรมอู่ต่อเรือ 70%, "แอนซัลโด" ป้อนชิ้นส่วนสำหรับโรงไฟฟ้า 60%, "แซเลเนีย" และ "แอริทาเลีย" คุมด้านอวกาศ 55% : "อิตัลเทล" คุมส่วนแบ่งตลาดสวิทช์ทีแอลซี 50% และ "เอสจีเอส" ครองส่วนแบ่งตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 98%

ด้านวิศวกรรมมี "แอนซัลโด" ครองส่วนแบ่งตลาดภาคการพลังงาน 65%, "อิตาลิมปิอันติ" คุมภาคอุตสาหกรรม 25% และกลุ่มบริษัท "อิตัลสตัท" คุมภาคโครงสร้างพื้นฐานและการป้องกันสภาพแวดล้อม 17%

ยุทธวิธีฟื้นฟูกิจการกลุ่มที่มีการขยายแนวธุรกิจกว้างขวางครอบคลุมขนาดนี้จึงเน้นที่

- ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม

- ปรับโครงสร้างทางการเงิน

- แปรรูปรัฐวิสาหกิจ

- หุ้นส่วน

- สู่ความเป็นสากล

ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม…ปัจจุบันอุตสาหกรรมสำคัญหลายแขนง เช่น อวกาศและวิศวกรรมทีแอลซี อาทิ กิจการบริษัทแอนซัลโด, แอริทาเลีย, เซเลเนีย, อิตัลเทล ซึ่งเคยขาดทุนในปี 1982 กลับฟื้นตัวขึ้นมามีกำไรแล้ว แม้จะยังมีกิจการที่ขาดทุนหลงเหลืออยู่ แต่ส่วนใหญ่จะกำจัดวงอยู่ในแขนงอุตสาหกรรมที่ประสบภาวะวิกฤตทั่วยุโรป เช่น เหล็กกล้า ต่อเรือ

เราใช้วิธีเปลี่ยนแปลงการบริหารและต้องเจ็บปวดเพราะการลดจำนวนจ้างงานอย่างหนัก เราตั้งเกณฑ์ไว้ว่า ผู้จัดการระดับอาวุโสที่ไม่สามารถทำกำไรให้เข้าเป้าต้องถูกปลดออกแล้วหาคนใหม่มาแทน ซึ่งมีอยู่ราว 70% ของทั้งหมด แต่วิธีนี้ช่วยแก้ปัญหาได้ราบรื่นพอสมควร ไม่ก่อให้เกิดคดีฟ้องร้องใหญ่โตอะไร ส่วนหนึ่งเพราะความช่ำชองในการเจรจาต่อรอง และการที่ฝ่ายสหภาพแรงงานมีสัญญาคุมความประพฤติกับเราที่เรียกว่า PROTOCOLLO IRI ทำให้สถานการณ์ด้านแรงงานสัมพันธ์ในไออาร์ไอดีกว่าของบริษัทอื่น เป็นต้นว่า ถ้าเกิดกรณีพิพาททั้งฝ่ายพนักงานและบริหารต้องเข้าพบปะเจรจากันหลายครั้งก่อนที่ฝ่ายสหภาพจะดำเนินการขั้นสไตร๊ค์ได้ ทำให้เราไม่เกิดปัญหาเสียเวลาทำงานเพราะการสไตร๊ค์

ปรับโครงสร้างทางการเงิน…ไออาร์ไอเจอวิกฤตทางการเงินอย่างรุนแรงในปี 1980 โดยเฉพาะสภาพเงินสดหมุนเวียนที่เริ่มฝืดเคืองมาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1970 นั้น ยิ่งเลวร้ายลงจนเกือบติดลบในช่วงปี 1978 - 1981 เพราะไออาร์ไอขาดแคลนแหล่งเงินทุนภายใน ในส่วนที่ได้รับการสนับสนุนจากทางการก็ไม่เพียงพอ จึงต้องดิ้นรนหาแหล่งเงินกู้จากภายนอก ซึ่งโดยมากอยู่ในรูปเงินสกุลดอลลาร์มูลค่ามหาศาล และจะรีรออีกต่อไปไม่ได้ ต้องใช้มาตรการพื้นฐาน 3 อย่างเข้ามาเยียวยาปรับปรุงฐานะการเงินอย่างเร่งด่วนที่สุด คือ

1. ขอเงินสนับสนุนก้อนโตจากรัฐบาลและรับเงินนั้นในรูปของการวางแผนฟื้นฟูกิจการที่ทำให้สามารถใช้กระบวนการเพิ่มทุนได้ ปัจจุบันเงินช่วยเหลือในส่วนนี้ลดลงไปมากแล้ว

2. ไออาร์ไอพยายามลดยอดหนี้ลงตามเปอร์เซ็นต์ของยอดขาย และหันมาพึ่งแหล่งเงินในประเทศมากกว่าต่างประเทศ

3. หาแหล่งเงินเข้ามาอีกทางหนึ่งด้วยการขายกิจการในเครือที่ไม่ถือว่าอยู่ในยุทธวิธีหลักของไออาร์ไอ รวมทั้งการออกหุ้นของบริษัทในเครือขายในตลาดหลักทรัพย์เพราะหวังว่า นักลงทุนจะสนใจ

แปรรูปรัฐวิสาหกิจ…ในที่นี้การขายบริษัทในเครือออกไปก็คือ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั่นเอง เรามีหลักพิจารณาว่า กิจการที่ต้องขายทิ้งต้องอยู่ใน 3 ประเภทด้วยกัน ประเภทแรกเป็นกิจการที่ทำแล้วแทบไม่คุ้มทุน แถมยังไม่เกี่ยวข้องกับกิจการที่ต้องขายทิ้งต้องอยู่ใน 3 ประเภทด้วยกัน ประเภทแรกเป็นกิจการที่ทำแล้วแทบไม่คุ้มทุนแถมยังไม่เกี่ยวข้องกับกิจการในเครือเดียวกัน และไม่อยู่ในข่ายแผนงานสำคัญของไออาร์ไอ

ประเภทที่สอง เป็นบริษัทที่ประสบปัญหาขาดทุน แต่ยังสามารถฟื้นฟูใหม่ได้ ถ้าขายให้คนอื่นดำเนินงาน

และประเภทสุดท้ายเป็นบริษัทที่มีแววทำกำไรได้ แต่เผอิญดูท่าไปได้ไม่สวยนัก ถ้าพิจารณาในแง่วัตถุประสงค์ระยะยาวของไออาร์ไอ

ผมจึงตั้งเป้าหมายต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ถ้าต้องการให้ไออาร์ไอฟื้นตัวขึ้นมาก็ควรบริหารในลักษณะของบริษัทเอกชน

เริ่มจากปี 1983 จนถึงปัจจุบัน ไออาร์ไอจึงขยายบริษัทในเครือขนาดต่าง ๆ ออกไปแล้ว 23 บริษัท นับตั้งแต่บริษัทขนาดใหญ่อย่าง "อัลฟ่า โรมิโอ" ไปจนถึงกิจการเล็ก ๆ อย่าง "อัลฟ่า โรมิโอ" ไปจนถึงกิจการเล็ก ๆ อย่าง "ดูคาติ" หรือแบงก์และบริษัทผู้ผลิตแว่นตาหรือเครื่องซักผ้า โดยกระบวนการขายกิจการในเครือเริ่มชะลอตัวลงในช่วงปลายปี 1985 แต่มาคึกคักอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม 1986 เมื่อการเมืองสนับสนุนให้ขาย "อัลฟ่า โรมิโอ" อย่างกว้างขวาง เพราะบริษัทนี้ประสบปัญหากำลังผลิตไม่คงที่ และไม่สามารถทำกำไรมากกว่า 10 ปีแล้ว ในที่สุด ไออาร์ไอจึงตกลงขายบริษัทผู้ผลิตรถสปอร์ตให้เฟียตไปเมื่อ 1 มกราคม 1987 ในราคาประมาณ 1,600,000 ล้านลีร์ และถ้าไม่นับเงินจากการขายอัลฟ่า โรมิโอ แล้วไออาร์ไอสามารถหาเงินทุนจากการขายกิจการในเครือนับจากปี 1983 เป็นต้นมาราว 1,000,000 ล้านลีร์

จาก 23 บริษัทที่ขายออกไปมีถึง 18 บริษัทรวมทั้งสายการบินอลิทาเลียและองค์การโทรศัพท์เอสไอพีที่กลายเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์มิลาน ซึ่งปัจจุบันบริษัทเหล่านี้มีมูลค่าหุ้นคิดเป็น 22% ของทั้งตลาด และคิดเป็น 11% ของจำนวนบริษัทสมาชิกในตลาดทั้งหมด แต่เมื่อดูในแง่เงินปันผลคิดเป็น 35% ของยอดเงินปันผลทั้งตลาด

การที่ไออาร์ไอทำอย่างนี้เพราะมีเป้าหมายหลัก เพื่อกระจายความเป็นเจ้าของบริษัทเหล่านั้นในกรณีที่หุ้นอยู่ในมือของคนกลุ่มเดียวมากเกินไป

ไออาร์ไอมีวิธีออกหุ้นขายในตลาดหลักทรัพย์ 3 วิธีด้วยกัน…วิธีแรก คือ นำบริษัทในเครือเข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์เป็นสมาชิกรายใหม่ ซึ่งเริ่มเมื่อปี 1985 ที่ฝ่ายบริหารใช้วิธีการนี้ค่อนข้างช้า ทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่า มีบริษัทในเครือมากมายอยู่ในฐานะพร้อมจะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะสภาพตลาดหุ้นในประเทศช่วงก่อนหน้านั้นค่อนข้างซบเซาไม่เหมาะกับการเสนอขายหุ้นครั้งแรก จนกระทั่งถึงกรกฎาคม 1985 สถานการณ์จึงกระเตื้องขึ้นและเหมาะกับการนำบริษัทในเครือเข้าตลาดหลักทรัพย์ 5 บริษัทด้วยกัน คือ บริษัทโทรคมนาคม "เซอร์ติ", บริษัทวิจัยด้านอวกาศ "แอริทาเลีย", สถาบันการเงิน "เครดิโต โฟเนียริโอ", บริษัทสร้างทางหลวง "ออโตส์เทรด" และบริษัทวิศวกรรมจักรกล "แอนซัลโด ทราสปอร์ติ"

วิธีที่สอง ด้วยการออกหุ้นเพิ่มในกิจการที่เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว คิดเป็นมูลค่ากว่า 2,100,000 ล้านลีร์ในปี 1985 และเพิ่มอีกกว่า 800,000 ล้านลีร์ในปีถัดมา โดยเน้นขายที่ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นของ "แบงก้า คอมเมอร์เชียลี่ อิทาเลียน่า" มูลค่า 230,000 ล้านลีร์ และ "สเตท" มูลค่า 180,000 ล้านลีร์ ที่เสนอขายกับตลาดหลักทรัพย์ระหว่างประเทศเมื่อปี 1985

การทำตามวิธีการที่สองนี้ ทำให้ลักษณะความเป็นเจ้าของหุ้นของไออาร์ไอ และบริษัทในเครือเปลี่ยนรูปแบบไปบ้าง โดยเฉพาะในส่วนของกิจการในเครืออย่างเอสไอพี, อิตัลเคเบิ้ล หรือซิเมนเทียร์ ซึ่งไออาร์ไอลดปริมาณการครอบครองหุ้นลงอยู่ที่ระดับให้เพียงพอกับการคงไว้ซึ่งเสียงข้างมากในการตัดสินใจเท่านั้น นอกเหนือจากนี้แล้วก็ออกหุ้นขายหมด

และวิธีสุดท้ายด้วยการออกพันธบัตรแปลงสภาพได้ และหุ้นกู้พร้อมตราสาร ซึ่งเป็นวิธีออกหุ้นขายแก่มหาชนทางอ้อมคิดเป็นมูลค่า 600,000 ล้านลีร์

จากข้อมูลง่าย ๆ พวกนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นธรรมชาติของหุ้นไออาร์ไออย่างเด่นชัดว่า ไม่ได้เป็นประเภทน่าซื้อไว้เก็งกำไร เพราะไม่มีวันราคาพุ่งปรู๊ดปร๊าดเด็ดขาด แต่ที่ประสบความสำเร็จในหมู่นักลงทุน เพราะผลประโยชน์ระยะยาวที่พวกนี้เชื่อมั่นว่า ต้องได้เงินปันผลงานแน่ ไออาร์ไอจึงทำเงินจากการขายหุ้นกิจการในเครือได้กว่า 4,400,000 ล้านลีร์ และยังสามาถคุมอำนาจการบริหารในทุกบริษัทด้วย

หุ้นส่วน…ตัวผมเองรู้สึกวิตกเรื่องการแข่งขันทั่วโลกที่อยู่ในสภาพเข้มข้นมาก โดยเฉพาะในธุรกิจด้านไฮ-เทค ผมจึงบรรจุหนทางแก้ปัญหาที่ว่านี้ลงอยู่ในส่วนหนึ่งของแผนการฟื้นฟูกิจการด้วย โดยใช้วิธีแสวงหาและเข้าเป็นหุ้นส่วนหรือเข้าร่วมทุนในธุรกิจเหล่านี้ เพื่อให้ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการจะเข้าตลาดหรือรักษาตลาดที่มีอยู่เดิมเอาไว้ ตัวอย่างน่าสนใจในกรณี คือ บริษัท "SEIAF" ที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างไอบีเอ็ม - เอลเอสเอจี เพื่อผลิตอุปกรณ์อัตโนมัติสำหรับใช้ในโรงงานและในสายการผลิตที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์

จากนโยบายหาหุ้นส่วนนี้เองที่นำมาสู่ยุทธวิธีด้านการขอลิขสิทธิ์ โครงการร่วมทุนและการรับเหมาช่วงโดยแอริทาเลียเข้าไปร่วมมือกับบริษัทผลิตเครื่องบินอเมริกัน คือ ทั้งแม็คดอนเนล ดักกลาส และโบอิ้ง ขณะที่บริษัทในเครือของสเตท ซึ่งเป็นโฮลดิ้งคัมปะนีด้านโทรคมนาคมของไออาร์ไอก็มีโครงการร่วมทุนผลิตอุปกรณ์อัตโนมัติสำหรับใช้ในโรงงานกับ "ยักษ์สีฟ้า" ไอบีเอ็ม

ธันวาคม 1986 เอสจีเอสผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ของไออาร์ไอ และทอมสันยักษ์ใหญ่แห่งฝรั่งเศสตกลงในโครงการร่วมทุนมูลค่า 500,000 ล้านลีร์ผลิตหน่วยความจำประสิทธิภาพสูง และยังมีโครงการผนวกอิตัลเทลผู้ผลิตโทรศัพท์และอุปกรณ์โทรคมนาคมอันดับ 1 ของอิตาลีกับเทเลตตร้า บริษัทในเครือเฟียต ซึ่งมีกิจการในแขนงเดียวกัน เป็นโครงการที่อยู่ในระหว่างพิจารณา และถ้าทุกอย่างตกลงด้วยดีจะได้บริษัทใหม่ ชื่อ "เทลิท" ซึ่งจะได้ชื่อว่า ยักษ์ใหญ่ในวงการผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมยุโรปรายหนึ่ง

สู่ความเป็นสากล…เป็นหนึ่งในยุทธวิธีฟื้นฟูกิจการของไออาร์ไอ เห็นได้จากปี 1985 ที่ยอดส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 26% ของยอดขายทั้งหมด แต่มีข้อน่าสังเกตอยู่ที่ความเปลี่ยนแปลงของทำเลตลาดที่รองรับสินค้าไออาร์ไอ จากปี 1981 ที่ 50% ของสินค้าส่งออกไปลงแถบประเทศกำลังพัฒนา และอีก 42% สู่ประเทศพัฒนาแล้ว พอถึงปี 1985 ยอดส่งออกกลับพลิกผันสู่ประเทศพัฒนา 54% ขณะที่การส่งออกสู่ประเทศกำลังพัฒนาลดลงเหลือเพียง 35% ของทั้งหมด เฉพาะในตลาดแถบยุดรปตะวันออกและจีนสามารถเพิ่มยอดส่งออกรวมกันจาก 8% เป็น 11%

ซึ่งระดับการก้าวสู่ความเป็นสากลอย่างที่ไออาร์ไอเป็นอยู่ทุกวันนี้สามารถสรุปได้จาก

- ถ้านำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกทั้งหมดมาพิจารณาด้วย (ยกเว้นเครือข่ายโทรศัพท์และทางหลวงแห่งชาติ) ไออาร์ไอจะทำรายได้จากต่างประเทศราว 40% ของยอดขายทั้งหมด

- รายได้เหล่านี้มาจาก 120 บริษัทในเครือ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในอิตาลี โดยทำยอดส่งออกราว 10,000,000 ล้านลีร์และจาก 90 บริษัทที่มีสำนักงานในต่างประเทศ ซึ่งทำยอดขาย 2,000,000 ล้านลีร์

- ไออาร์ไอเข้าไปถือหุ้นส่วนน้อยใน 30 บริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ

จึงไม่มีข้อสงสัยเลยว่า ความร่วมมือในระดับระหว่างประเทศจะสำคัญกับไออาร์ไอขนาดไหน และเราก็ทำงานกันอย่างหนักเพื่อความร่วมมือที่เพิ่มมากขึ้น เพราะเราตระหนักดีว่า โดยขนาดของบริษัทเพื่อการผลิตในเครือไออาร์ไอเท่าที่เป็นอยู่นั้น ไม่อาจอยู่รอดหรือพัฒนาขึ้นมาได้ยกเว้นแต่จะมีขนาดและความซับซ้อนเท่าบริษัทคู่แข่ง และเมื่อนั้นถึงจะสามารถเข้าไปสร้างส่วนแบ่งตลาดที่สูสีได้

เราจึงมีงานใหญ่รอให้สะสาง เป็นต้นว่าแม้โครงการผนวกกิจการอิตัลเทลกับเทเลตตร้าจะสำเร็จลง ไออาร์ไอก็ยังได้ชื่อว่า "กระจอก" ในธุรกิจโทรคมนาคมระหว่างประเทศอยู่ดี เช่นเดียวกับที่เอาเอสจีเอสไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์อย่างอเมริกัน ยุโรป หรือญี่ปุ่น ก็เหมือนมวยคนละรุ่นยังไงยังงั้น

แม้ว่ายักษ์ใหญ่ไออาร์ไอซึ่งถูกแปรรูปรัฐวิสาหกิจไปบางส่วนแล้วจะแข็งแกร่งและมีอิสระมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังไม่วายถูกมรสุมการเมืองกระหน่ำอยู่ดี เพราะยังมีนักการเมืองอิตาเลียนอีกมากที่ยังหัวชนฝาอยากให้ออาร์ไอเป็นรัฐวิสาหกิจในความควบคุมของรัฐ 100%

การเามืองจึงเข้าไปมีผลกระทบต่อยอดขายของบางบริษัทในเครือไออาร์ไอ อาทิ เมื่อครั้งรัฐบาลไม่อนุมัติให้ขายบริษัท เอสเอ็มอีให้ "เดอ เบเนเด็ตตี้" จอมอิทธิพลแห่งยักษ์คอมพิวเตอร์โอลิเว็ตตี้ เพราะอดีตนายกรัฐมนตรีแคร็กซี่ของอิตาลี อยากขายให้คนอื่นที่สนับสนุนพรรคโซเชียลิสต์ของเขามากกว่า

แม้ว่าความพยายามของเราที่มุ่งมั่นทุ่มเทให้กับโครงการบริหารไออาร์ไอเหมือนบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง จะพบแต่อุปสรรคและความยุ่งยากมาตลอด แต่ทุกคนก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ผลประกอบการของไออาร์ไอในช่วงนี้ดีขึ้นผิดตา และเราเชื่อว่า ความสำเร็จต้องยืนอยู่ข้างเรามากกว่านี้ด้วย เพราะแม้แต่ธนาคารโลกยังร่วมมือกับการฟื้นฟูกิจการครั้งนี้เต็มที ด้วยการหยิบยกกรณีของไออาร์ไอให้เป็นตัวอย่างแก่ประเทศกำลังพัฒนาที่พยายามกู้สถานภาพรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนป่นปี้

มันจึงเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เรากำหนดอนาคตของไออาร์ไอที่ได้รับการวางรากฐานมาแล้วเมื่อ 3 ปีก่อน จนถึงเดี๋ยวนี้ อนาคตของไออาร์ไอยิ่งเด่นชัดขึ้น ว่าต้องพัฒนาไปใน 3 แนวทาง คือ พัฒนาในแง่เครือข่ายขนาดใหญ่ วิศวกรรม และการผลิตด้วยระบบไฮ-เทค

เรามีตัวอย่างเป็นตุ๊กตาให้เห็นกันจะจะถึงพันธะสัญญาที่รร่วมกันกำหนดขึ้น อาทิ ในอีก 4 ปีข้างหน้า "แอนซัลโด" ต้องมีอัตราการเติบโตปีละ 13% หรือในด้านไฮ-เทค ก็ตั้งเป้าให้บริษัทวิจัยอวกาศอย่าง "แอริทาเลีย" และ "เซเลเนีย" ขยายตัว 20% ต่อปี และ "เอสจีเอส" ที่เน้นไมโครอิเล็กทรอนิกส์ หรือ "อิตัลเทล" ซึ่งเน้นการผลิตสวิทช์ควรขยายตัวปีละ 14%

หรือถ้าจะมองในแง่การเน้นให้ความสำคัญกับกิจกรรมของบริษัทในเครือแล้ว จะเห็นว่า ในปี 1981 ไออาร์ไอให้ความสำคัญด้านไฮ-เทคเพียง 28% เทียบกับ 52% ในปี 1985 และปัจจุบันไออาร์ไอยังมีโครงการกระโจนสู่อุตสาหกรรมผลิตวัสดุที่ใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้วย

ปี 1986 บริษัทในเครือไออาร์ไอทุ่มงบกว่า 1,400,000 ล้านลีร์ให้กับงานวิจัยและพัฒนา (สูงกว่าปี 1985 ราว 20%) และแม้จะเพิ่มการจ้างงานในส่วนนี้ราว 12,000 คน แต่เมื่อเทียบกับสภาพการแข่งขันในตลาดโลกที่ทั้งเข้มข้นดุเดือดแล้ว ต้องถือว่ากำลังคนขนาดนี้ยังจิ๊บจ๊อยมาก

ข้อมูลเหล่านี้เป็นเครื่องชี้ให้เราต้องหวนกลับไปหากลยุทธ์ "แปรรูปรัฐวิสาหกิจ" อีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ในแง่มุมใหม่ คือ ต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศสูงมาก เพราะเรารู้สึกว่า คงก้าวไปข้างหน้าพร้อมประสบความสำเร็จสวยหรูในอนาคตอันใกล้นี้ไม่ได้แน่ ถ้าเรายังเก็บตัวและขังตัวเองอยู่แต่ในโลกแคบ ๆ อย่างนี้

ขณะเดียวกัน เราก็เห็นอุปสรรคสำคัญขวางกั้นอยู่ข้างหน้าด้วย อย่างแรกคือปัญหาคนว่างงาน แม้ที่เป็นอยู่จะสูงกว่าระดับเฉลี่ยของประเทศยุโรปอื่น ๆ ไม่มากนัก แต่ปัญหาของอิตาลีหนักหน่วงตรงคนว่างงาน โดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาวจะเทไปทางตอนใต้ของประเทศเป็นส่วนใหญ่

อย่างที่สอง เป็นปัญหาที่เกิดจากภาคใต้ของประเทศทั้งแถบ ทำให้รัฐบาลต้องกำหนดมาตรการใหม่ ๆ หลายอย่างเพื่อสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้บริเวณนี้ให้ได้ รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาความเป็นอุตสาหกรรม การประกอบการ ท่องเที่ยว และการศึกษา จึงเป็นความท้าทายและโอกาสให้บริษัทในเครือไออาร์ไอหลายแห่งที่มีกิจการตรงกับที่รัฐสนับสนุน

และจุดบอดประการสำคัญอยู่ที่ตัวรัฐบาลเอง ซึ่งยังมีปัญหาขาดดุลงบประมาณมหาศาล ต้องดำเนินมาตรการลดค่าใช้จ่ายภาครัฐบาลกันอุตลุด

จะอย่างไรก็แล้วแต่ เรายังเชื่อมั่นว่า ต้องสามารถพัฒนาความก้าวหน้าต่อไปได้ เพราะความแข็งแกร่งภายในผนวกกับบรรยากาศทางเศรษฐกิจของประเทศเองก็เริ่มกระเตื้องขึ้นโดยทั่วไป

โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อมั่นในอนาคตของไออาร์ไอเอามาก ๆ เพราะ

- อิตาลีสามารถวบคุมปัญหาร้ายแรงจากลัทธิก่อการร้ายได้แล้ว

- อิตาลีลดปัญหาเงินเฟ้อลงมาอยู่ที่ระดับควบคุมได้

- ปัญหาแรงงานที่เคยหนักหน่วงก็บรรเทาเบาบางลง เห็นได้จากจำนวนชั่วโมงสไตร๊ค์โดยเฉลี่ยของคนงานแต่ละคนลดลงเหลือแค่ 1 ใน 4 ของปี 1982

- อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างสกุลลีร์ของอิตาลีกับเงินยุโรปสกุลอื่น ๆ อยู่ในระดับค่อนข้างทรงตัว

- นับจากปี 1985 เป็นต้นมา ตลาดเงินทั้งประเทศของอิตาลีมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างมาก

หรือถ้าจะพูดให้ครอบคลุมแล้ว ผมเชื่อมั่นทั้งอนาคตของไออาร์ไอและประเทศอิตาลี และเห็นว่าบริษัทในเครือจะสามารถขยายกิจการ รวมทั้งพัฒนาความก้าวหน้าก็ด้วยการขยายขอบข่ายในระดับระหว่างประเทศ ซึ่งเท่าที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในอิตาลีเสมอ เห็นได้จากปี 1985 ที่มีต่างชาติเข้าลงทุนในกิจการอิตาเลียนกว่า 1,200 บริษัท ทำให้มียอดจ้างงาน 500,000 คน และทำยอดขายราว 72,000,00 ล้านลีร์ หรือเกือบ 7% ของยอดขายทั้งประเทศ

จึงไม่น่าแปลกที่สื่อมวลชนระหว่างประเทศจะหยิบยกเอา "ความมหัศจรรย์" ของอิตาลีขึ้นมาตีแผ่ให้ทั่วโลกรับรู้ โดยเฉพาะในแง่การแปรรูปรัฐวิสาหกิจแล้ว เรามองแค่ว่า มันเป็นเพียงเครื่องมืออย่างหนึ่งเท่านั้น ยังไม่ใช่ข้อยุติแห่งการแก้ปัญหาแน่ และเรื่องราวของไออาร์ไอนี้ คงเป็นข้อพิสูจน์ถึงกำลังใจของคนอิตาเลียนว่า แกร่งพอที่จะชุบชีวิตใหม่ให้รัฐวิสาหกิจขนาดมหึมาแต่งุ่มง่ามและเน่าเฟะนี้ได้ !



กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.