นอกจากจะเป็นผู้ผลิตกระป๋องบรรจุอาหารและผลไม้รายใหญ่ของเมืงอไทยแล้ว เมตัลบ๊อกซ์ยังเป็นผู้นำเข้ากระป๋องบรรจุน้ำอัดลมจากสิงคโปร์เพื่อมาขายให้กับ
บริษัทเสริมสุข และไทยน้ำทิพย์ด้วย โดยสั่งเข้ามาจากเมตัลบ๊อกซ์ สิงคโปร์
ตั้งแต่ปี 2529 ในปริมาณปีละ 40 ล้านกระป๋อง
แต่สั่งเข้ามาได้ปีเดียวก็เริ่มมีปัญหาระหว่างปี 2530 - 2531 ว่า เมตัลบ๊อกซ์
สิงคโปร์ ตั้งแต่ปี 2529 ในปริมาณปีละ 40 ล้านกระป๋อง
แต่สั่งเข้ามาได้ปีเดียวก็เริ่มมีปัญหาระหว่างปี 2530 - 2531 ว่า เมตัลบ๊อกซ์
สิงคโปร์ ไม่มีกระป๋องพอที่จะส่งให้ได้ตามความต้องการ ทำให้ลูกค้ารายใหญ่อย่างโค้กและเป๊กซี่เกิดความหงุดหงิดในอารมณ์ที่สั่งของไปแล้วได้ไม่ครบ
ช่วงก่อนปี 2530 เป็นระยะที่ตลาดน้ำอัดลมในสิงคโปร์ตก เพราะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย
ประกอบกับในช่วงหน้าหนาวของยุโรปและออสเตรเลียทุก ๆ ปี ยอดขายน้ำอัดลมจะตก
มีกระป๋องเหลือมาก ผู้ผลิตน้ำอัดลมกระป๋องในสิงคโปร์จะสั่งกระป๋องเข้ามาจากสองทวีปนี้
เพราะมีราคาถูกกว่าทำเอง เนื่องจากไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า สิงคโปร์จึงมีกระป๋องส่วนเกินมากพอที่จะส่งมาขายในไทยได้
หลังจากนั้น ตลาดผู้ดื่มในสิงคโปร์กระเตื้องขึ้น และญี่ปุ่น ซึ่งมีปัญหาค่าเงินเยนสูงเลยหันมาใช้กระป๋องจากสิงคโปร์
ทำให้ส่งให้เมตัลบ๊อกซ์ ประเทศไทย ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนก่อน ทางเมตัลบ๊อกซ์
เวิลด์ ไวด์ บริษัทแม่เลยมีความคิดที่จะตั้งโรงานผลิตเองในประทเศไทยหลังจากที่ศึกษาดูตลาดน้ำอัดลมกระป๋องแล้ว
เห็นว่า จะเป็นตลาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคตแน่นอน
เมตัลบ๊อกซ์ เวิลด์ไวด์ ตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาในชื่อ เมตัลบ๊อกซ์ เอเชียแปซิฟิค
เพื่อลงทุนในโครงการผลิตกระป๋องน้ำอัดลมนี้ และชักชวนผู้ใช้รายใหญ่ในเมืองไทย
คือ บริษัทเสริมสุข ไทยน้ำทิพย์ กรีสปอต และบุญรอดบริวเวอรี่ที่มีโครงการจะผลิตเบียร์กระป๋องมาถือหุ้นด้วย
การเจรจาทำท่าว่าจะไปได้สวย แม้ว่าการเจรจายังไม่ลงเอยเรียบร้อย แต่เมตัลบ๊อกซ์ก็ประกาศตัวออกมาเมื่อต้นปี
2531 ว่า เอาแน่กับโครงการนี้ โดยจะลงทุนเป็นเงิน 600 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตกระป๋องที่มีกำลังการผลิตปีละ
250 ล้านใบ โดยได้ซื้อที่ดิน 17 ไร่ที่นวนคร เพื่อเป็นที่ตั้งโรงงานเรียบร้อยแล้ว
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ความหวังที่เมตัลบ๊อกซ์จะได้ผู้ใช้มาร่วมหุ้นเพื่อเป็นหลักประกันในด้านตลาดให้อุ่นใจไว้ชั้นหนึ่งก่อนก็สลายหายไป
เมื่อผู้ผลิตน้ำอัดลมทั้งสามรายและบุญรอดบริวเวอรี่ปฏิเสธที่จะร่วมกับเมตัลบ๊อกซ์
เพราะได้ตกลงร่วมกับทางบริษัทฝาจีบและกลุ่มโตโยไซกังของญี่ปุ่นสร้างโรงงานทำกระป๋องอีกโรงหนึ่ง
คือ บริษัทบางกอกแคนส์
โตโยไซกังนั้น คือ ผู้ผลิตกระป๋องอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นและอันดับสองของโลก
เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ทุกอย่างทั้งกระป๋องและกล่อง และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทฝาจีบโดยมีหุ้นอยู่
34.43 เปอร์เซ็นต์ ทั้งเสริมสุข ไทยน้ำทิพย์ และบุณรอดบริวเวอรี่ ต่างก็มีหุ้นอยู่ในฝาจีบด้วยเหมือนกัน
โตโยไซกังจึงมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับผู้ใช้กระป๋องน้ำอัดลมมาก่อนในลักษณะนี้
ความจริงแล้ว โตโยไซกังเองมีโครงการที่จะตั้งโรงงานทำกระป๋องน้ำอัดลมนี้มาก่อนหน้านี้
มีการเจรจากับผู้ใช้ทางฝ่ายไทยกับบริษัทฝาจีบมาก่อน และเชิญไปดูโรงงานที่ญี่ปุ่นด้วย
แต่เก็บเงียบเอาไว้ ไม่แพร่งพรายออกมาก่อนตามสไตล์ของญี่ปุ่นที่จะประกาศตัวต่อเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพแล้ว
ต่อเมื่อทางเมตัลบ๊อกซ์ประกาศตัวออกมา ทางโตโยไซกังจึงต้องเผยโฉมบ้าง และดำเนินการอย่างรวดเร็ว
โดยจดทะเบียนตั้งบริษัทบางกอกแคนส์ขึ้นเมื่อเดือนเมษายน 2531 ด้วยเงินทุนจดทะเบียน
75 ล้านบาท เป็นหุ้นของโตโยไซกัง 50 ล้านบาทที่เหลือแบ่งกันระหว่างไทยน้ำทิพย์
ฝาจีบ เสริมสุข กรีนสปอต และบุญรอดบริวเวอรี่ รายละ 5 ล้านบาท
โรงงานของบางกอกแคนส์อยู่ที่รังสิต คลอง 2 ในเนื้อที่ 40 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินของฝาจีบ
โรงงานนี้มีกำลังการผลิตวันละ 1 ล้านกระป๋อง หรือปีละประมาณ 350 ล้านกระป๋อง
ใช้เงินลงทุน 400 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่าโรงงานของเมตัลบ๊อกซ์ เพราะว่าใช้เครื่องจักรเก่าที่ผ่อนถ่ายมาจากโรงงานของโตโยไซกังที่ญี่ปุ่น
ทั้งเมตัลบ๊อกซ์และโตโยไซกังนั้น มีความร่วมมือกันทางเทคโนโลยีอยู่บ้าง
และถึงแม้จะอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่ก็ไม่เคยปะทะกันโดยตรง เพราะทั้งคู่ต่างมีตลาดคนละภูมิภาค
เมตัลบ๊อกซ์ครอบครองตลาดในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ในขณะที่โตโยไซกังเป็นเจ้าตลาดในญี่ปุ่น
ครั้งนี้จึงเป็นการปะทะกันโดยตรง โดยมีตลาดกระป๋องน้ำอัดลมในประเทศไทยเป็นเดิมพัน
!!
เมตัลบ๊อกซ์นั้นเมื่อถูกปฏิเสธจากผู้ใช้กระป๋องก็จำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป
"ถ้าเราไม่ทำก็จะสูญเสียโอกาสในตลาดนี้ไป"
โครงการผลิตกระป๋องน้ำอัดลมของเมตัลบ๊อกซ์จึงเป็นการลงทุนของเมตัลบ๊อกซ์เองล้วน
ๆ ในชื่อบริษัท เมตัลบ๊อกซ์ เบเวอร์เรจ แคนส์ (ประเทศไทย) มีทุนจดทะเบียน
200 ล้านบาท เมตัลบ๊อกซ์ ประเทศไทย ถือหุ้น 40% อีก 60% ที่เหลือเป็นส่วนของเมตัลบ๊อกซ์
เเชียแปซิฟิค มีโรงงานอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมบางกระดี่ หลังจากเจอปัญหาเรื่องข้อกำหนดน้ำเสียจนต้องย้ายโรงงานจากนิคมอุตสาหกรรมนวนคร
ตลาดกระป๋องบรรจุน้ำอัดลมในประเทศไทย มีความต้องการปีละ 60 - 70 ล้านใบ
และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 20% ในขณะที่กำลังการผลิตทั้งสองโรงงานรวมกันแล้วเท่ากับ
600 ล้านกระป๋องต่อปี แม้ว่าในขั้นแรกนี้ทั้งสองฝ่ายจะผลิตไม่เต็มกำลัง คือ
เมตัลบ๊อกซ์จะผลิตเพียง 100 ล้านกระป๋อง และบางกอกแคนส์ผลิต 200 ล้านกระป๋องต่อปี
รวมกันแล้วยังมีส่วนเกินอีกกว่า 200 ล้านกระป๋อง
ใครจะต้องเป็นฝ่ายเจ็บตัวในสงครามแย่งตลาดครั้งนี้ ??
บางกอกแคนส์เป็นต่ออยู่หลายขุมในตอนนี้ที่การผลิตยังไม่ได้เริ่มขึ้นทั้งสองฝ่าย
ประการแรกนั้น โรงงานของบางกอกแคนส์เดินหน้าไปจนเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว
และจะเดินเครื่องผลิตกระป๋องออกมาได้ในหลายปีนี้ ขณะที่ฝ่ายเมตัลบ๊อกซ์ออกตัวช้ากว่ามาก
เพราะเจอปัญหาเรื่องย้ายที่ตั้งโรงงาน คาดว่ากว่าจะเสร็จทำการผลิตได้เป็นอย่างเร็วก็กลางปี
2533
ความได้เปรียบอีกอย่างหนึ่งของบางกอกแคนส์ คือ มีผู้ใช้ในเมืองไทยเข้ามาถือหุ้นด้วย
เท่ากับเป็นการดึงตลาดเข้ามาไว้ในมือแล้ว ตั้งแต่ยังไม่ได้เดินเครื่องจักรด้วยซ้ำ
แต่ทางเมตัลบ๊อกซ์ก็เชื่อว่า ผู้ใช้ที่เป็นบริษัทน้ำอัดลมและบุญรอดบริวเวอรี่คงไม่ยอมผูกติดกับผู้ผลิตเพียงรายเดียวในเมื่อมีอีกรายหนึ่งให้เลือกด้วย
ถึงแม้ว่าจะมีหุ้นอยู่ในบางกอกแคนส์ด้วย แต่ก็แค่รายละ 5 ล้านบาทเท่านั้น
"ผมไม่คิดว่า ผู้ใช้จะอยู่ในมือเขาทั้งหมด เพราะแต่ละรายถือหุ้นน้อยมาก
เงินห้าล้านบาทสำหรับไทยน้ำทิพย์เป็นเรื่องเล็ก ทำไมเขาไม่ลงทุนมากกว่านี้
ถ้าจะใช้กระป๋องของบางกอกแคนส์เต็มที่" ผู้บริหารคนหนึ่งของเมตัลบ๊อกซ์แสดงความมั่นใจว่า
สถานะของตนนั้นไม่เป็นรองบางกอกแคนส์แน่ พร้อมกับยกตัวอย่างกรณีบุญรอดบริวเวอรี่ที่มีหุ้นใหญ่อยู่ในบางกอกกลาส
แต่ก็ยังซื้อขวดบรรจุเบียร์จากโรงงานไทยกลาสด้วย
เมตัลบ๊อกซ์ เชื่อว่า คุณภาพ การบริการ การส่งมอบกระป๋องได้ทันตามกำหนด
จะเป็นจุดแข็งของตนที่ทำให้ผู้ใช้หันมาใช้กระป๋องของตน รวมทั้งเรื่องราคา
ซึ่งเมตัลบ๊อกซ์ เชื่อว่า กระป๋องของตนจะถูกกว่าบางกอกแคนส์ เพราะใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด
ต้นทุนของกระป๋องที่สำคัญ คือ แผ่นอะลิมูเนียมมที่ใช้เป็นวัตถุดิบ เครื่องจักรที่ใหม่
ทันสมัย มีความเที่ยงตรงสูง สามารถทำกระป๋องให้บางลงได้ ทำให้ใช้วัตถุดิบน้อยลง
และต้นทุนจะต่ำกว่าคู่แข่ง คือ บางกอกแคนส์ ซึ่งใช้เครื่องจักรเก่าของโตโยไซกัง
จุดที่จะเป็นปัญหาทำให้ผู้ใช้เลือกใช้กระป๋องของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไปเลย แทนที่จะกระจายการซื้อไปให้ทั้งสองรายก็คือ
ตัวฝากระป๋อง ซึ่งแยกผลิตจากตัวกระป๋อง สเป็กฝากระป๋องของทั้งสองโรงงานมีความแตกต่างกัน
เมตัลบ๊อกซ์ใช้ฝากระป๋องที่เล็กกว่า บางกว่าฝากระป๋องของบางกอกแคนส์เพื่อลดต้นทุน
ถ้าผู้ใช้ซื้อกระป๋องและฝาจากทั้งสองโรงงานจะต้องปรับเครื่องบรรจุทุกครั้งที่เปลี่ยนฝา
จะให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นผู้ผลิตฝาแต่เพียงรายเดียวก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเท่ากับเป็นการยกธุรกิจส่วนหนึ่งให้กับคู่แข่ง
ปีหน้าเมื่อทั้งสองโรงงานเริ่มเดินเครื่องผลิต สงครามน้ำดำ-น้ำขาว ระหว่างโค้กกับเป๊ปซี่ที่กำลังดุเดือดก็จะมีศึกกระป๋องระหว่างเมตัลบ๊อกซ์
กับบางกอกแคนส์มาเป็นคู่มวยประกอบรายการที่เข้มข้นไม่น้อยไปกว่ากัน !!