บรรพบุรุษของจิตต์ ตั้งสิทธิ์ภักดี ทำมาค้าขายเรื่องทองคำมาหลายชั่วคน ตัวจิตติเองเป็นลูกจ้างในร้านทองของพี่ชายมาตั้งแต่อายุ
15 ปี เขาเรียนไม่สูง แต่ประสบการณ์เรื่องค้าทองกว่า 30 ปีทำให้เขากลาเยป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าทองอย่างหาตัวจับยาก
8 ปีก่อน เขาเปิดกิจการห้างค้าทองของตนเองขึ้นใจกลางย่านเยาวราช ชื่อ "ห้างขายทองจินฮั้วเฮง"
ไม่กี่ปีเขาเปิดสาขาที่สองไม่ห่างจากร้านแรก ไม่ถึงป้ายรถเมล์ ปี 2526 เขามีส่วนร่วมในการก่อตั้งสมาคมค้าทงอคำ
และปัจจุบันเขาก็เป็นอุปนายกอยู่ในสมาคมดังกล่าว
มีไม่กี่คนที่รู้ว่า จิตติเป็นหนึ่งในสองคนที่กำหนดและชี้ชะตาราคาทองคำร้านค้าทองในแต่ละวัน
อีกคนคือ ปราโมทย์ พสวงศ์ แห่งห้างขายทองฮั่วเซ่งเฮง ซึ่งเป็นนายกสมาคมเดียวกับจิตต์
"เช้า ๆ เราจะติดตามราคาตลาดต่างประเทศว่า มันขึ้นลงอย่างไรแล้วเราก็ปรับตัว
ราคาที่เปิดออกมาต้องผ่านการพิจารณาว่ายุติธรรม ให้มีความเป็นไปได้ที่จะมีการซื้อขายกัน
จะถูกเกินไปหรือแพงเกินไปไม่ได้ต้องให้พอดี ๆ หากราคาเคลื่อนไหวมากก็ต้องเปลี่ยนแปลงทุกวัน
หรือบางครั้งครึ่งวันก็เปลี่ยน" จิตติ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ราคาทองที่กำหนดนี้เป็นที่ยอมรับกันในวงการค้าทองคำ ซึ่งเป็นการรวมตัวกัน
ห้างขายทองยักษ์ใหญ่ย่านเยาวราช เช่น ฮั่วเซ่งเฮง โต๊ะกังเยาวราช เล่งหงษ์
ยู่หลงกิมกี่ บ้วนฮั่วล้ง เลี่ยงเซ่งเฮง และจินฮั้วเฮง ซึ่งล้วนแต่เป็นห้างที่มีอิทธิพลต่อตลาดค้าทองบ้านเรา
ในช่วง 2-3 ปีมานี้ เกิดวิกฤตการณ์ขาดแคลนทองคำเพื่อเป็นวัตถุดิบในการแปรรูปเป็นทองรูปพรรณในไทย
และมีการลักลอบนำทองคำเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายมากมายผิดสังเกต จิตติและสมาคมค้าทองคำ
ได้พยายามเข้าไปแก้ไขปัญหานี้ร่วมกับกระทรวงการคลังรวมทั้งสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ
รัฐบาลในสมัยจอมพล ป. พิบูลสมบูรณ์ ได้ออกกฎหมายควบคุมไม่ให้นำเข้าหรือส่งออกทองคำโดยเสรีมาตั้งแต่ปี
2494 เพราะทองคำเป็นสินค้าที่ใช้แทนเงินได้ง่าย เหมาะสำหรับการเก็งกำไร หากปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายเสรี
รัฐบาลเกรงว่าจะควบคุมลำบาก และถ้าเกิดมีการตุนทองคำเพื่อเก็งกำไรมาก ๆ จะส่งผลกระเทือนต่อเศรษฐกิจของประเทศ
นอกจากนี้ ยังเชื่อมโยงไปถึงทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อการสั่งทองคำจากต่างประเทศเข้ามาจะต้องจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศ
แต่มาตรการนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมาก เพราะปริมาณทองคำในเมืองไทยเพียงพอต่อการเป็นวัตถุดิบสกัดเป็นทองแท่งและทองรูปพรรณ
และคนไทยก็ชอบ "เล่นทอง" ซื้อง่ายขายคล่อง ทองรูปพรรณก็จะแปรเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่ในประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่
มาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วที่ปริมาณทองคำเริ่มลดลง กระทรวงการคลังจึงอนุมัติให้มีการประมูลบริษัทนำเข้าทองคำแท่งจากต่างประเทศ
ให้เวลาในการนำเข้างวดละ 2 ปีต่อหนึ่งบริษัท แต่ทำไปได้ไม่กี่ปีก็ไม่มีใครอยากนำเข้าอีก
เพระาเอามาแล้วขายไม่ค่อยออก ขาดทุนกันทุกบริษัท เนื่องเพราะกฎระเรียบการซื้อขายที่หยุมหยิมเกินไป
และความต้องการทองคำก็ยังไม่ได้รุนแรงมากมาเมื่อ 2-3 ปีมานี้เองที่ปริมาณทองคำไม่เพียงพอ
และทองเถื่อนก็ทะลักมาจากสิงคโปร์ ฮ่องกงอยู่เรื่อย ๆ มีคดีจับกุมผู้ลักลอบนำทองคำเข้าไม่ขาดระยะหลายสิบคดี
คราวนี้ กระทรวงการคลังแก้ปัญหาโดยการอนุมัติให้บริษัท "โมคัตตา แอนด์
โกลด์สมิท" เป็นผู้นำทองเข้าแต่ผู้เดียวตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้วเป็นเวลา
1 ปี ปริมาณทองคำที่นำเข้าคือ 7,400 กิโลกรัม มูลค่า 110 ล้านเหรียญสหรัฐ
โมคัตตา เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงในการทำธุรกิจค้าทองคำ และโลหะมีค่าทั่วโลกมากกว่า
3 ศตวรรษ ก่อตั้งโดยโมเสส โมคัตตา พ่อค้าชาวโปรตุเกส แต่ไปมีกิจการรุ่งเรืองในอังกฤษ
และเคยคุมตลาดทองในมือถือ 3 ใน 4 ของผลผลิตทั่วโลก แต่ในปี 2500 โมคัตตากลับประสบวิกฤตทางการเงิน
บรรดาหุ้นส่วนต้องขายกิจการให้กับฮัมโบรส์ แบงก์ พอปี 2516 ฮัมโบรส์ แบงก์
ก็ขายกิจการโมคัตตา ให้กับสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ แบงก์ แห่งอังกฤษ ซึ่งในปัจจุบันสแตนดาร์ด
ชาร์เตอร์ แบงก์ ก็ยังเป็นผู้ถือหุ้น 100% อยู่
ปัจจุบัน โมคัตตา ได้รับการยอมรับว่า เป็นบริษัทค้าโลหะมีค่ารายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก
มีสำนักงานอยู่ในลอนดอน นิวยอร์ก ฮ่องกง ไทย และอีกหลายประเทศ
แต่ในช่วง 1 ปีที่โมคัตตา เข้ามาทำกิจการในเมืองไทย โมคัตตาขายทองไปได้เป็นจำนวนน้อยมาก
คือ 790 กิโลกรัม ปัญหาที่โมคัตตาประสบ คือ เรื่องระเบียบและขั้นตอนที่กระทรวงการคลังกำหนดในการขายทอง
ซึ่งทำให้ผู้ค้าทองทั้งในประเทศและส่งออกเข็ดขยาดและหันไปสนใจกับทองเถื่อนที่มาจากสิงคโปร์
ฮ่องกงเหมือนเดิม
"ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ไปซื้อได้ต้องแสดงให้กระทรวงการคลังเขาดูว่า ใน 3
เดือนข้างหน้าจะมีการซื้อขายทองกันอีกเท่าไร ต้องไปจดทะเบียน "ผู้ค้าทอง"
กับกรมสรรพากร ขออนุมัติเสร็จต้องเอาแบงก์ไปการันตีส่วนมากพ่อค้าเขาไม่รู้จักไม่เข้าใจระเบียบพวกนี้
และโมคัตตาก็ไม่ประสานเรื่องนี้กับร้านค้าทอง แต่ละคนเขายังไม่รู้เลยว่า
มีโมคัตตาในไทย เรื่องการไปจดทะเบียนกับสรรพากรก็มีผล เพราะบางเจ้าเขาต้องถูกสอบภาษีย้อนหลัง"
จิตติยกตัวอย่างของปัญหาให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
ในที่สุด กระทรวงการคลังประนีประนอมตรงที่ให้สมาคมค้าทองคำและสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทย
และเครื่องประดับตั้งบริษัทตัวแทนขึ้นมาสองบริษัทเป็นผู้นำเข้าทอง โดยได้โควต้าบริษัทละ
6,000 กิโลกรัม ส่วนโมคัตตาได้โควต้าตามเดิมคือ 7,400 กิโลกรัม
จิตติเป็นตัวแทนของสมาคมค้าทองคำที่เข้าไปเจรจาและให้ข้อมูลแก่กระทรวงและเมื่อตั้งบริษัทนำเข้าทอง
เขาก็เป็นผู้จัดการของบริษัทแห่งนี้ซึ่งมีชื่อว่า "โกลด์ยูเนี่ยน"
ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกันระหว่างร้านขายทองที่เป็นสมาชิกของสมาคมจำนวน 20
แห่ง มีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท
จิตติ กล่าวว่า ที่ผ่านมา โมคัตตาไปมุ่งเน้นที่ตลาดส่งออก คือ บรรดาสมาชิกของสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ
ซึ่งในกลุ่มนี้เป็นผู้ส่งออกทองรูปพรรณรายใหญ่ปีหนึ่ง ๆ มีมูลค่าประมาณเกือบหมื่นล้านบาท
แต่แท้ที่จริงบริษัทใหญ่ที่ทำการส่งออกจะมีโรงงานคลังสินค้าทัณฑ์บนเป็นของตนเอง
เพื่อนำเข้าทองและส่งออกโดยเฉพาะอยู่แล้ว ดังนั้น ผู้ที่จะสั่งทองจากโมคัตตาน่าจะเป็นผู้ค้าทองเพื่อส่งออกรายย่อย
ๆ และบรรดาห้างขายทองตามเยาวราชที่มีโรงงานแปรรูปทองของตนเอง ซึ่งมุ่งเน้นเพื่อขายในประเทศ
"ตลาดเมืองไทยอยู่ที่นักท่องเที่ยว ทองเมืองไทยมีแบบให้เลือกมากมาย
ราคาก็ถูก ส่วนใหญ่พวกนี้เขามาซื้อทีละนิดทีละหน่อย แต่รวม ๆ แล้วมีจำนวนมาก
ซึ่งพวกนี้เราไม่มีตัวเลขที่กรมศุลกากรจะมีแต่ตัวเลขส่งออก แล้วคนไทยก็มีการซื้อขายมากขึ้น
ส่วนหนึ่งเพราะเศรษฐกิจดี คนซื้อไปเพื่อเป็นเครื่องประดับกับเก็งกำไร อันนี้แหละที่ทำให้ทองมันไม่พอ"
จิตติ แจกแจง
มูลเหตุใหญ่ ๆ สรุปง่าย ๆ ที่ทำให้คนชอบลักลอบทองคำเข้าเมืองไทย แต่นักท่องเที่ยวกลับแห่มาซื้อทองรูปพรรณออกไป
เพราะราคาทองเมืองไทยนั้นค่อนข้างตลกไปจากเมืองนอก คือ ไม่ได้ขึ้นลงไปตามภาวะราคาตลาดโลก
แต่ขึ้นกับอุปสงค์อุปทานในประเทศเป็นหลัก เพราะความเข้มงวดในการนำทองคำเข้าของกระทรวงและอัตราภาษีการค้า
3.3% จุดนี้ทำให้ทองคำในไทยราคาสูงกว่าทองคำต่างประเทศที่เคยสูงกว่ามากที่สุดนั้น
เคยสูงกว่าถึง 7-8% ส่วนปัจจุบันก็ยังสูงกว่าในระดับ 4%
แต่พอนำทองคำไปแปรรูปเป็นทองรูปพรรณขายตามห้างแถวเยาวราช ราคาทองเหล่านี้กลับถูกกว่าทองรูปพรรณในต่างประเทศ
เพราะค่าแรงงานของเราถูก ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เป็นต้นทุนก็ถูกกว่า และมีการซื้อขายกันในปริมาณมาก
ดังนั้นแม้กำไรต่อหน่วยจะน้อย แต่กำไรทั้งหมดก็มากเอาการ ซึ่งทั้งหมดตรงข้ามกับตลาดทองในต่างประเทศอย่างสิ้นเชิง
ทำให้นักท่องเที่ยวตื่นตัวที่จะมาซื้อทองแถวเยาวราชกันมาก แต่คนไทยกลับชอบแอบเหน็บทองแท่งมากับตัวอยู่บ่อย
ๆ
แล้วห้างขายทองที่กุมตลาดนี้อยู่ ส่วนใหญ่อยู่ในเยาวราช ซึ่งล้วนเป็นห้างที่สมาคมค้าทองคำมีอิทธิพลอยู่
ซึ่งแน่นอนที่ "โกลด์ยูเนียน" จะต้องเป็นผู้ขายทองให้กับห้างขายทองเหล่านี้
เพื่อนำไปแปรรูปต่อ
"ในส่วน 6,000 กิโลกรัม นี่ก็คิดว่า เพียงพอต่อลูกค้าที่เป็นสมาชิกของสมาคมแล้วที่เราตั้งใจไว้ก็คือ
ต้องไม่มีระเบียบหยุมหยิมมาก ใครต้องการไปซื้อก็ได้เลย ไม่ต้องไปขออนุญาต
เรื่องเช็คการันตีจากแบงก์ก็ไม่ต้อง มาซื้อก็เอาทองไปทันทีเลย ลูกค้าเรารู้จักกันทั้งนั้น
เครดิตแต่ละคนมันก็ดีพอสมควร" จิตติ อธิบายถึงความตั้งใจ แต่ทั้งนี้ข้อเสนอในเรื่องแก้ไขระเบียบยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง
ซึ่งจิตติ เชื่อว่า จากการที่ได้ถกเถียงและให้ข้อมูลมาแล้วคิดว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เพราะถ้าขืนยังใช้ระเบียบแบบเดิมอีก เรื่องการตั้งบริษัทก็ไม่มีความหมาย
เพราะทำไปก็เจ๊งแน่ ๆ
ที่น่าสนใจอย่างมาก คือ ซัพพลายเออร์ของโกลด์ยูเนียน คือ เครดิตสวิสส์ (หรือเครดิตซุยเซ
CREDIT SUISSE) ซึ่งตั้งอยู่ ณ ซูริค สวิตเซอร์แลนด์
เมื่อก่อนนี้ ตลาดซื้อขายทองคำที่สำคัญ ได้แก่ ตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก แต่ทุกวันนี้
ศูนย์กลางการซื้อขายทองคำของโลกกลับไปอยู่ที่ตลาดซูริค ทั้งที่ซูริคไม่มีผู้ค้าทองรายใหญ่สัญชาติสวิสส์อยู่เลย
แต่เป็นเพราะสวิสส์ได้เปรียบตลาดแห่งอื่นของโลกตรงที่ไม่มีกฎหมายควบคุมการค้าทองคำ
และมีระบบภาษีที่เอื้ออำนวย ประมาณว่ามูลค่าตลาดที่หมุนเวียนอยู่ในซูริคอยู่ในราว
140 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อไปหรือประมาณ 2 ใน 3 ของปริมาณทองคำทั้งหมด โดยการซื้อขายจะผ่านธนาคารใหญ่ที่สุด
3 แห่งของสวิสส์ คือ CREDIT SUISSE, SWISS BANK CORP. และ UNION BANK OF
SWITZERLAND
เดครดิตสวิสส์ก่อตั้งในปี 2399 เป็นธนาคาร 1 ใน 10 ที่อยู่ในขั้น "TRIPLE
A" ด้านผลดำเนินงานและความเชื่อถือมั่นคง สามารถถือครองตลาดค้าทองอยู่ในราว
20-30% ของการค้าทองทั่วโลก
"ผมไม่ห่วงเลยเรื่องคุณภาพหรือความมั่นคงในการนำเข้าทองครั้งนี้ เพราะเรามีซัพพลายเออร์ที่ใหญ่และดีมาก"
จิตติกล่าวอย่างเชื่อมั่น พร้อมทั้งเสริมว่า สาเหตุที่โกลด์ยูเนียนได้เครดิตสวิสส์มาตั้งนานแล้ว
เพื่อป้อนให้กับโรงงานทองที่ทำส่งออก ซึ่งรวมทั้งตัวเขาเองด้วย
"ในบรรดาห้างขายทองแถวเยาวราช จินฮั้วเฮงเป็นเจ้าเดียวที่ขายหน้าร้านด้วยกับมีโรงงานแปรรูปทองคำเพื่อส่งออกซึ่งมีตลาดใหญ่ที่อเมริกาเจ้าอื่นเขาไม่เกี่ยวข้อง
ใครค้าหน้าร้านก็ค้าไป มีโรงงานรับสั่งตามออร์เดอร์ก็แยกไปอาจถือว่าผมเป็นคนรุ่นใหม่
คือ ผมจัดว่าอายุน้อยในระดับพวกค้าทอง คนอื่นเขาอยู่มาเก่าแก่อายุเกิน 50
ปีไป ผมติดต่อต่างประเทศบ่อย เครดิตสวิสส์เขาเลยให้ผมเป็นเอเย่นต์ให้เขา
และเขาหวังว่า สักวันหนึ่ง ผมจะทำเรื่องการนำเข้าทอง ซึ่งเร่องนี้ผมก็เป็นคนดำเนินการมาแต่ต้น"
จิตติ กล่าวอย่างภาคภูมิใจ
คาดว่า ภายในเดือนเมษายนนี้ รายละเอียดและการเซ็นสํญญาอนุมัติอย่างเป็นทางการเพื่อให้บริษัทนำเข้าทองทั้งสามแห่งจะแล้วเสร็จ
และเมื่อถึงเวลานั้นโมคัตตาอาจจะต้องเรียนรู้ตลาดทองคำเมืองไทยให้มากขึ้น
เพราะอีกสองบริษัทที่เหลือก็จะยึดครองตลาดในกลุ่มของตนไว้อย่างแน่นอน ขณะที่โมคัตตาจะต้องหาตลาดรายย่อยอื่น
ๆ ที่กระจัดกระจายด้วยวิธีการที่ง่ายต่อความเข้าใจต่อผู้ค้าทอง ซึ่งก็คงต้องไปทำความเข้าใจและกระตุ้นกระทรวงการคลังกันเหนื่อยหน่อย
แต่สำหรับวันนี้ จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี กำลังทำให้ถนนสายเยาวราชไปบรรจบที่ซูริคอย่างเงียบเชียบและเหลือเชื่อ