กองทุนรวมเริ่มฟื้นตัวQ3 พ.ร.บ.เงินฝากดันAUMโต


ผู้จัดการรายวัน(17 เมษายน 2551)



กลับสู่หน้าหลัก

บลจ.ยูโอบี เชื่อตลอดทั้งปีอุตสาหกรรมกองทุนจะเติบโตเพิ่มขึ้น แม้ไตรมาส1เม็ดเงินลงทุนจะปรับลดลง มั่นใจตั้งแต่สิงหาคม หรือQ3 ภายหลังพ.ร.บ.คุมครองเงินฝากประกาศใช้ ประชาชนจะหันมาให้ความสำคัญกองทุนรวมเพิ่มขึ้น ดันเม็ดเงินลงทุนทั้งระบบขยายตัว

นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ว่า มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของระบบกองทุนรวมปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 1.576 ล้านล้านบาท ลดลงจากต้นปี 2551 ที่มีอยู่ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท หรือปรับตัวลดลงประมาณ 2.15% ว่าเป็นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น และจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ เนื่องจากในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนั้น พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากจะมีการประกาศใช้ออกมาอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ แม้พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก ที่เริ่มใช้ในช่วงแรกจะยังคุ้มครองวงเงินเต็มจำนวนหรือ 100% ก็ตาม แต่เชื่อว่าภายหลังจากที่พ.ร.บ.ดังกล่าวประกาศใช้ออกมาได้ระยะเวลาหนึ่ง จะทำให้มีนักลงทุนหันมาเข้ามาลงทุนฝ่ายกองทุนรวมเพิ่มขึ้น และจะขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนการคุ้มครองเงินฝากลดลงเหลือเพียง 1 ล้านบาท ซึ่งหมายถึงภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป จะมีการขยายตัวไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้นมากกว่านี้ โดยเฉพาะกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล

ส่วนสาเหตุที่ส่งผลให้ยอดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมกองทุนรวมในไตรมาส 1 ปรับตัวลดลงนั้นมาจาก การที่ธนาคารพาณิชย์หันมาปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งมีลักษณะเป็นเหมือนการสวนทางตลาด ที่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยยังอยู่ในช่วงปรับตัวลดลง จึงทำให้มีเม็ดเงินบางส่วนจากจำนวน 3.4 หมื่นล้านบาท ถูกโยกไปฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ ส่วนที่เหลือบางส่วนได้ไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง

“แต่เดิมตัวเลขเงินลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสาเหตุที่ทำให้เม็ดเงินลงทุนในไตรมาส1ที่ผ่านมาปรับตัวลดลงนั้น น่าจะเป็นอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว นั่นคือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแบบพิเศษของธนาคารพาณิชย์ที่ให้สูงขึ้นกว่าปกตื รวมทั้งการออกพันธบัตรของภาครัฐที่มีเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันน่าจะมาจากความไม่มั่นใจในการลงทุนของนักลงทุนด้วย เพราะมีนักลงทุนบางรายสับสนกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากหลายฝ่ายคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยว่าจะปรับตัวลดลง แต่จากที่แบงก์ได้ออกแคมเปญดอกเบี้ยเงินฝากพิเศษที่สูงขึ้นทำให้เกิดคสวามสับสนได้ จนมีนักลงทุนส่วนหนึ่งพักเงินลงทุนโดยฝากไว้กับธนาคารเพื่อรอดูท่าทีที่ชัดเจนมากกว่านี้ ดังนั้นจึงว่าเมื่อทุกอย่างมีความชัดเจนมากขึ้นเม็ดเงินดังกล่าวก็จะกลับมาสู่อุตสาหกรรมกองทุนีรวมอีกครั้ง”

ขณะเดียวกัน จากการที่มีกองทุนรวมที่เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้สถาบันการเงินของยุโรป (Euro commercial Paper : ECP) นั้นเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้ยอดเงินลงทุนผ่านกองทุนรวมทั้งระบบปรับตัวลดลงเช่นกัน เนื่องจากกองทุนประเภทนี้มีเม็ดเงินลงทุนรวมกันอยู่ในจำนวนที่สูงมาก และได้เริ่มทยอยหมดอายุมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมาโดยขณะนี้ บริษํทจัดการกองทุนหลายแห่ง พยายามที่จะออกกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เข้ามาดแทนกองทุนรวมที่ลงทุนในยECP ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม 2551 ทั้งนี้เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนเก่าไม่ให้ไหลไปฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ โดยที่ผ่านมากองทุนรวมพันธบัตรเกาหลีใต้สามารถระดมทุนได้ประมาณ 3.54 หมื่นล้านบาท ทำให้เชื่อว่าแนวโน้มในปีนี้จะมีเม็ดเงินไหลจากกองทุนรวม ECP เข้ามาในกองทุนรวมพันธบัตรเกาหลีใต้เพิ่มมากขึ้น

ส่วนการลงทุนในพันธบัตรไต้หวันนั้น นายวนา กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่มีความน่าสนใจเท่ากับพันธบัตรเกาหลีใต้ เพราะว่าพันธบัตรเกาหลีใต้สามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าพันธบัตรรัฐบาลไทย เมื่อเปรียบเทียบกับไต้หวัน ปัจจุบัน มูลค่าสินทรัพย์สุทธิกองทุน ECP ของ บลจ.ยูโอบีมีประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทจะไม่เสนอขายกองทุนรวมพันธบัตรเกาหลีใต้ แต่จะหันมาเน้นให้ความสำคัญกับกองทุนเปิดยูโอบี ชัวร์ เดลี ซึ่งกองทุนนี้จะได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากการที่ พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากมีการประกาศใช้ โดยต้นปีนี้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิอยู่ที่ 1.25 หมื่นล้านบาท และล่าสุดมูลค่าสินทรัพย์สุทธิเพิ่มเป็น 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการเพิ่มขึ้นประมาณ 60% นอกจากนี้ กองทุนนี้ยังเป็นตัวแทนของการฝากเงินแบบออมทรัพย์ด้วย

“ที่ผ่านมา กองทุนรวมยังมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีในสายตาของนักลงทุน โดยยังมองว่าการลงทุนในกองทุนรวมยังมีความเสี่ยงกว่าการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปนำเสนอสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ให้กับนักลงทุนได้รู้จักมากขึ้น โดยบริษัท โดยจะมีการจัดสัมมนา โรดโชว์ และงานอีเวนท์ ตามสาขาของธนาคารยูโอบี (ไทย) ทั่วประเทศ และจะออกโปรโมชั่นในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อส่งเสริมให้นักลงทุนมีความใกล้ชิดกับกองทุนรวมมากขึ้น”

ส่วนการที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกกฎให้บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมได้นั้น เรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นช่องทางใหม่ ที่จะช่วยในการขยายฐานลูกค้าของกองทุนรวม เพื่อให้ลูกค้าโบรกเกอร์มาพักเงินลงทุนในกองทุนรวมได้

สำหรับกองทุนเปิด ยูโอบี ชัวร์ เดลี เป็นกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ ที่มีการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (Specific Fund) มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท ไม่กำหนดอายุโครงการ และได้รับอนุมัติให้จัดตั้งและจัดการกองทุนรวมเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2549 ดดยจะเน้นลงทุนในตราสารแห่งหนี้ภาครัฐ ได้แก่ ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล ตราสารแห่งหนี้ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ออก ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน และเงินฝากธนาคาร ทั้งนี้ จะไม่ลงทุนในหรือมีไว้ซึ่งหลักทรัพย์หรือตราสารที่เสนอขายในต่างประเทศ ตราสารหนี้ที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับตัวแปร (Structured Notes) และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivative)

ทั้งนี้ สัดส่วนการลงทุนของกองทุนดังกล่าว ณ วันที่ 28 มีนาคม 2551 ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ 100.48% ลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันการเงิน 1.93% และลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ อีก -2.42%

ขณะที่ ผลการดำเนินงานของกองทุน ณ วันที่ 28 มีนาคม 2551 สามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2.74% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2.33% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลังตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 8.37% ผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.74% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 2.33% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลัง 3 เดือนอยู่ที่ 8.37% ผลตอบแทนย้อนหลัง 6

เดือนอยู่ที่ 2.72% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 2.35% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ 4.55% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 2.89% ขณะที่ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 2.45% และผลตอบแทนจากดัชนีกองทุนตราสารหนี้ย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ 3.24%

นายวนา กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทจะออกกองทุนตราสารหนี้ที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเป็นตัวแปร (สตรักเจอร์โน้ต) ในปีนี้น้อยลง เพราะจากการที่อัตรราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ทำให้กองทุนไม่สามารถให้คุ้มครองเงินต้นได้ และผลตอบแทนไม่สูง โดยจะนำส่วนที่เหลือจากประกันเงินต้นมาซื้อออปชั่นได้น้อยลง ส่งผลให้ผลตอบแทนน้อยลงตามไปด้วย จนเป็นเหตุให้กองทุนสตรักเจอร์โน้ตไม่น่าสนใจ


กลับสู่หน้าหลัก

Creative Commons License
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย



(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.