|
BAFSวอนรัฐอุ้มหวังดันรายได้โต5%
ผู้จัดการรายวัน(25 มีนาคม 2551)
กลับสู่หน้าหลัก
BAFS คาดปีนี้รายได้โต 5% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2.26 พันล้านบาท โดยพยายามรักษา Net Profit Margin ที่ 24% เหตุภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลง บวกกับคาดการณ์ปริมาณการเติมน้ำเพิ่มขึ้น 5% ขณะที่ไตรมาสแรกโตเพียง 4.9% ระบุเป็นเรื่องยากหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในช่วงไตรมาส 2-3 ด้านผู้บริหารเชื่อการเข้ามาของ Petro China จะทำให้ปริมาณการเติมน้ำมันเพิ่มขึ้น เผยปีนี้ยังไม่ขึ้นอัตราค่าบริการเติมน้ำมันที่ 4.33% พร้อมเล็งปรับอัตราค่าบริการที่เก็บจากสายการบินต้นทุนต่ำ เหตุไม่ยุติธรรมกับลูกค้ารายใหญ่
นายฉัตรธัย พันธัย ผู้จัดการฝ่ายการเงินและบัญชี บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS กล่าวว่าบริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตประมาณ 5% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2,258 ล้านบาท โดยจะพยายามรักษา Net Profit Margin ให้เท่ากับปีก่อนที่ประมาณ 24% เท่ากับปีที่แล้ว หลังจากบริษัทมีภาระดอกเบี้ยลดลง เนื่องจากได้ทยอยชำระไปแล้ว และมีแผนจะชำระหนี้เพิ่มอีก 521 ล้านบาท จากมูลหนี้ทั้งหมด 3.4 พันล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ลดลงใกล้เคียง 1.2 เท่า จากปัจจุบันที่ 1.4 เท่า
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าการเติบโตของปริมาณการใช้น้ำมัน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในปีนี้จะเติบโต 5% และ BAFS จะพยายามรักษาส่วนแบ่งการตลาดของการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานไว้ไม่ต่ำกว่า 85% โดยในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ปริมาณการใช้น้ำมัน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเติบโต 4.9% ซึ่งใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ที่เป็นช่วง Low Season รวมถึงผลกระทบที่ทั่วโลกได้รับจากปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ซึ่งอาจส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางเข้ามาในประเทศไทยลดลง ดังนั้นโอกาสที่จะเห็นปริมาณการเติมน้ำมันเติบโตเท่ากับที่คาดการณ์ไว้ต้องได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลในการกระตุ้นการท่องเที่ยว
"เราคาดหวังว่าทางภาครัฐบาลจะมีนโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัว ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีกับจำนวนเที่ยวบินที่จะเข้ามาในประเทศเพิ่มมากขึ้น" นายฉัตรธัย กล่าว
สำหรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวน BAFS ได้ทำการปรับโครงสร้างรายได้เปลี่ยนเป็นสกุลเงินบาทจากเดิมเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยปัจจุบันรายได้ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ประมาณ 20% ส่วนอีก 80% เป็นรายได้ในรูปเงินบาท ซึ่งหากเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่องก็จะมีส่วนกดดันรายได้ของบริษัทเช่นกัน
อย่างไรก็ดี การที่ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นไม่ได้กระทบกับบริษัท เนื่องจากว่าเป็นเพียงผู้รับจ้างเติมน้ำมันให้กับสายการบินเท่านั้น เพราะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นบริษัทน้ำมันก็จะไปจัดเก็บอัตราค่าธรรมเนียมน้ำมันเพิ่มกับสายการบิน ซึ่งสายการบินก็อาจเฉลี่ยต้นทุนตรงนี้ไปที่ราคาตั๋วโดยสาร โดยระบุในส่วนที่เป็นราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่การเข้ามาให้บริการเติมน้ำมันของ Petro China ซึ่งนับเป็นรายที่ 11 นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีในแง่ภาพลักษณ์ของประเทศ และมีส่วนเพิ่มปริมาณการเติมน้ำมัน เนื่องจากสายการบินแต่ละประเทศก็จะให้การสนับสนุนบริษัทในประเทศ โดยปัจจุบัน Petro China จ่ายค่าพรีเมียม 50% ของค่าคลังให้แก่บริษัท ซึ่งหากในอนาคต Petro China เห็นว่าการจ่ายค่าพรีเมียมดังกล่าวทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง ก็สามารถยื่นเรื่องกับบอร์ด BAFS เพื่อพิจารณาให้ Petro China เข้ามาถือหุ้นของ BAFS จำนวน 2 % เหมือนในกรณีที่บอร์ด BAFS อนุญาตให้ 3 ผู้บริการรายล่าสุดที่เข้ามาให้บริการต้องถือหุ้นของ BAFS จำนวน 2 %
โดยในปีนี้บริษัทจะยังไม่มีการขึ้นอัตราค่าบริการเติมน้ำมันที่ปัจจุบันเก็บอยู่ที่ 4.33% ส่วนการจัดเก็บค่าบริการกับสายการบินต้นทุนต่ำหรือ Low Cost นั้น ปัจจุบันบริษัทจัดเก็บเป็นลิตรในอัตราเดียวไม่ว่าจะเติมมากหรือน้อย ซึ่งไม่ยุติธรรมกับลูกค้ารายใหญ่ที่เติมเป็นจำนวนมาก ๆ ซึ่งทางบริษัทกำลังพิจารณาปรับเปลี่ยนเกณฑ์ โดยอาจจะแบ่งเป็นลำดับขั้นตามปริมาณที่เติม ขณะที่หากการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) อนุมัติสร้างสุวรรณภูมิเฟส 2 บริษัทคาดว่าจะงบการลงทุนในการก่อสร้างเบื้องต้นในส่วนของ TARCO ประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินที่แน่นอนนั้นต้องดูระยะทางของท่ออีกครั้งหนึ่ง
กลับสู่หน้าหลัก
ผลงานนี้ ใช้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 3.0 ประเทศไทย
(cc) 2008 ASTVmanager Co., Ltd. Some Rights Reserved.
|